ใครจะไปคาดคิดว่า เหตุการณ์จะเปลี่ยนแปลงมาเป็นแบบนี้ แล้วใครจะไปคาดคิดว่า พละกำลังทั้งหมดของนักบู๊หกดาว ในสายตาของเย่เฉิน จะเป็นเพียงแค่ “ไร้เรี่ยวแรงอ่อนปวกเปียกเหมือนพวกสาวๆ” ประเมินอย่างคาดไม่ถึงแบบนี้! ลู่เห้าเทียนถึงขั้นกับไม่มีเวลาโมโห เขาเพียงแค่จ้องมองไปที่กำหมัดของตัวเองอย่างโง่ๆ พูดพึมพำว่า : “นี่……นี่มันเป็นไปไม่ได้……นี่ไม่มีทางเป็นไปได้แน่นอน……” ว่านพั่วจวินก็ตะลึงงันแล้ว แม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจว่าเย่เฉินทำได้อย่างไรกันแน่ แจ่เขาตระหนักถึงได้ว่า เย่เฉินคนนี้ไม่ธรรมดาแน่ๆ! และในเวลานี้ สมาชิกตระกูลเย่ และผู้คนที่เข้ามาช่วยเหลือเย่เฉิน แม้ว่าจะตกใจเหมือนกัน แต่ในใจลึกๆ ก็เริ่มดีใจมีความสุขแล้ว! นักบู๊หกดาวคนหนึ่ง จู่ๆก็ไม่สามารถทำอะไรเย่เฉินได้ นี่ก็พิสูจน์ได้ว่าเย่เฉินมีความมั่นใจมากจริงๆ! เย่เฟิงในเวลานี้แทบไม่สนใจความไม่พอใจของตัวเองที่มีต่อเย่เฉินตลอดมาเลย พูดกับเย่ฉางโคงด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า : “เย่เฉินเขา……เขารู้เรื่องศิลปะการต่อสู้จริงๆ?! ฉันว่าคนๆนี้ไม่สามารถทำอะไรเขาได้เลย!” เย่ฉางโคงพยักหน้าติดต่อกัน สีหน้าผ่อนคลายขึ้นเยอะ เอ่ยปากพูดว่า : “ดูแบบนี้แล้ว เย่เฉินไอ้หมอนี่กลับว่าค่อนข้างมีความสามารถจริงๆ!” พูดแล้ว เย่ฉางโคงรีบพูดสั่งด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า : “เฝ้าสังเกตอีกหน่อย ถ้าหากเย่เฉินจัดการสำนักว่านหลงได้จริงๆ ก็รีบเก็บชุดไว้ทุกข์อีกครั้ง ห้ามให้คนอื่นเห็น!” เย่โจงฉวนในเวลานี้ก็ตื่นเต้นอย่างมาก เขามองด้านข้างใบหน้าของเย่เฉิน ในใจหวนนึกถึงท่าทางที่เร่าร้อนฮึกเหิม ถืออาวุธในมือของเย่ฉางอิงในตอนนั้น เบ้าตาเต็มไปด้วยน้ำตาโดยไม่รู้ตัว ในใจของเขาอดไม่ได้ที่จะถอนใจ : “ตอนนั้น ตระกูลเย่ไม่กล้าพยายามต่อสู้อย่างหนักร่วมกันกับฉางอิง จนกระทั่งฉางอิงโมโหและออกไป สุดท้ายก็เสียชีวิตห่างไกลจากบ้านเกิด……” “สำหรับเรื่องนี้ ก็เกือบ 20 ปีแล้ว ในใจของฉันตำหนิตัวเองและรู้สึกผิดมาตลอด……” “วันนี้ เห็นท่าทางที่เย่เฉินยืนกั้นอยู่ด้านหน้าของสมาชิกตระกูลเย่และหน้าสุสานตระกูลเย่ ในมือถืออาวุธ ทำให้ฉันได้เห็นถึงเงาของฉางอิงอีกครั้ง……” “บางที นี่ก็อาจจะหมายความว่า ชายชราอย่างฉัน ถึงเวลาที่จะสละตำแหน่งให้เขาแล้ว……” ในเวลานี้ คนอื่นๆของสำนักว่านหลงก็ไม่สามารถเข้าใจภาพฉากที่อยู่ตรงหน้าได้เลย ชายผิวสีดำที่อยู่ในนั้นคนหนึ่ง ถามว่านพั่วจวินด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า : “ประมุข พละกำลังของพญาเสือแพรขาวยังคงอยู่เหนือกว่าผม การโจมตีของเขาเมื่อกี้นี้ก็สุดยอดมากแล้วจริงๆ เผชิญกับไอ้หมอนั่นมันถูกกำจัดออกได้ยังไงกัน ?” ว่านพั่วจวินมีสีหน้าที่เคร่งขรึม กำจัดได้อย่างไร? เขาก็ไม่รู้เหมือนกัน เขารู้แค่ว่า ครั้งนี้ลู่เห้าเทียน อันตรายแล้ว! และตัวเองเคยสัญญาต่อหน้าดวงวิญญาณที่อยู่บนสวรรค์ของพ่อแม่ตัวเอง และพ่อแม่เย่เฉินว่า สำนักว่านหลงไม่ว่าใครก็ห้ามขึ้นไปช่วยเหลือทั้งนั้น นี่ก็หมายความว่า ลู่เห้าเทียนจะต้องเผชิญหน้ากับเย่เฉินเพียงลำพัง ดังนั้น เขารีบตะโกนใส่ลู่เห้าเทียนทันทีว่า : “เห้าเทียน!จะต้องนำพลังที่มีออกมาใช้ทั้งหมด!” ลู่เห้าเทียนสีหน้าท่าทางบิดเบี้ยว บ่นพึมพำในใจว่า : “เมื่อกี้ฉัน……ฉันใช้พลังทั้งหมดที่มีแล้ว……หรือว่าจะให้ฉันสู้กับเขาจนสุดชีวิตเลยงั้นเหรอ?” เย่เฉินเห็นลู่เห้าเทียนอึ้งอยู่นาน อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วแน่น ตามมาด้วย จู่ๆเขายกมือขึ้น ตบเข้าไปที่หน้าของลู่เห้าเทียนฉาดหนึ่ง พูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า : “มัวอึ้งแม่งอะไรอยู่?ฉันให้แกมาอีกรอบ แกไม่ได้ยินเหรอ?” ลู่เห้าเทียนถูกตบเข้าไปฉาดหนึ่งจนงงแล้ว ระดับพละกำลังที่เย่เฉินใช้กลับว่าไม่ได้เยอะมาก แต่กลับว่าดูถูกเหยียดหยามมาก ลู่เห้าเทียนไม่มีการตอบสนองใดๆเลย ยอมก้าวเข้าไปเพราะตบฉาดนี้ อัปยศอดสูอย่างมากไปโดยปริยาย ดังนั้น เขาถอยหลังสองก้าว คำรามอย่างโมโหและอับอายว่า : “ฉันจะฆ่าแก!!!” พูดจบ ทันใดนั้นร่างกายก็จมดิ่งทันที กระดูกทั่วทั้งร่างกายเกิดเสียงดังคมชัดตามๆกัน ทันใดนั้นกำลังภายในราวกับว่าเดือดพลุ่งพล่านเลยยังไงอย่างนั้น เคลื่อนย้ายไปทั้งสองแขนอย่างรวดเร็ว ว่านพั่วจวินเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ สีหน้าท่าทางตกตะลึงทันที เขารู้อย่างชัดเจนว่า ลู่เห้าเทียนสู้สุดชีวิตแล้วจริงๆ