ขณะที่พูด เมื่อเขาเห็นว่าม้วนกระดาษไม่สามารถจุดได้เพราะมันหนาเกินไป เขาก็ตบหน้าลู่เห้าเทียน ด่าว่า: “แม่งเอ๊ย แกสูบสิ ถ้าแกไม่สูบ ฉันจะจุดยังไง?!” ปากของลู่เห้าเทียนเต็มไปด้วยกระดาษม้วนนี้ ในใจรู้สึกอายและโกรธ แต่ก็ทำได้เพียงพยายามดูดอย่างเชื่อฟัง แต่ควันจากกระดาษเหลืองนี้ มันจะไปเทียบกลิ่นกับคูบาซิการ์ได้อย่างไร สูดเข้าไปครั้งแรก ลู่เทียนก็ถูกควันหนาและไอสำลัก น้ำตากับน้ำมูกไหลออกมาพร้อมกัน เย่เฉินมองเขา ยิ้มอย่างเย็นชาและพูดว่า: “ซิการ์เมื่อวานที่เอาไป พ่นควันต่อหน้าฉัน ท่าทางที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างเต็มที่ ทำไมไม่มีแล้วล่ะ??” ลู่เห้าเทียนคิดถึงท่าทางกำเริบเสิบสานของตัวเอง อดไม่ได้ที่จะตัวสั่น เย่เฉินมองเห็นท่าทางที่เขากลัว พูดต่อ: “อย่าลืมล่ะ แกใช้ซิการ์ฆ่าผู้รักษาความปลอดภัยของตระกูลเย่ไปคนหนึ่ง! แม้ว่าแค่ชีวิตแลกชีวิต วันนี้ฉันก็จะฆ่าแก!” พูดจนถึงตรงนี้ เย่เฉินหยุดเล็กน้อย และพูดต่อ: “แกอยากมีชีวิตรอดไม่ใช่หรือ? สูบซิการ์มวนนี้ก่อนสิ สูบเสร็จ ฉันค่อยพิจารณาอีกทีจะว่าไว้ชีวิตสุนัขอย่างแกไหม แต่ถ้าแกสูบไม่หมด ขอโทษด้วย วันนี้คนที่ตายเป็นคนแรก ก็เป็นของแกเพียงผู้เดียว!” ได้ยินดังนี้ ในใจลู่เห้าเทียนหมดหวังแล้ว ขอเพียงแค่ทำทุกอย่างเพื่อเอาชีวิตรอดต่อไป แต่ทว่า เขาทำได้แค่พยายามเท่านั้น ใช้แรงดูดกระดาษเหลืองหนาๆนั่นอย่างแรง ทั้งตัวสำลักควันหนาทึบจนเกือบจะทรุดลง แต่ว่า เขาไม่กล้าเมินเฉยต่อสิ่งใดเลย ทำได้เพียงพยายามอย่างเต็มกำลัง สูดควันเข้าสู่ร่างกาย เหล่าทหารของสำนักว่านหลงในที่เกิดเหตุตกตะลึงอย่างมาก พวกเขารู้ว่าลู่เห้าเทียนชอบคูบาซิการ์ แต่ใครก็คิดไม่ถึงว่า ลู่เห้าเทียนจะมีจุดจบอย่างเช่นวันนี้? ลู่เห้าเทียนพยายามอย่างดีที่สุด และพยายามมาเป็นเวลานาน รอจนกว่าเขาจะสูบม้วนกระดาษสีเหลืองจนหมด ร่างกายของเขากำลังจะทรุดลงและตายไป และเมื่อมันไหม้จนหมด กระดาษสีเหลืองที่มีเปลวไฟ ก็เผารอบๆริมฝีปากของเขา และทำให้เกิดแผลพุพอง จนในที่สุดลู่เห้าเทียนที่พยายามฝืนยืนหยัด มองไปที่เย่เฉิน และถามเสียงเบาว่า: “คุณ……คุณเย่……ฉันสูบหมดแล้ว ไว้ชีวิตฉันได้ไหม?” เย่เฉินยิ้มเย็นชาและพูดว่า: “ไม่ได้แน่นอน! แกคิดอยากจะมีชีวิตรอด มันไม่ง่ายขนาดนี้หรอก! ทั้งหมด ต้องดูอารมณ์ของฉัน!” ลู่เห้าเทียนทรุดตัวลงอย่างสมบูรณ์ ครั้นแล้วเขาจึงหันศีรษะ และมองดูว่านพั่วจวินทั้งน้ำตาที่ไหลอาบเหมือนเด็ก สำลักและพูดขอร้อง: “ประมุข……ช่วยฉัน……ช่วยฉันด้วยประมุข……” หัวใจของว่านพั่วจวินเต็มไปด้วยความสิ้นหวังเช่นกัน ไม่คิดไม่ฝันมาก่อน ขึ้นมาบนภูเขาเย่หลิงซาน จะเป็นแบบนี้ได้ เขามองลู่เห้าเทียนเจ็บปวดอย่างสิ้นหวัง แล้วคิดถึงความแข็งแกร่งอันหาที่เปรียบมิได้ของเย่เฉิน ในใจรู้สึกหดหู่ไปแล้ว เขารู้ว่าตัวเอง การแก้แค้นของตัวเองนั้นสิ้นหวังไปเลย ครั้นแล้ว เขากลืนน้ำลาย น้ำเสียงมีความเคารพ และเสียงของเขาแหบเล็กน้อยและพูดว่า: “เย่เฉิน……ขอให้คุณปล่อยเขาไปเถอะ! คุณปล่อยเขา ฉันสำนักว่านหลงจะแยกย้ายไปทันที ชาตินี้ จะไม่เป็นปริปักษ์กับตระกูลเย่อีกแล้ว!” เย่เฉินฟังดังนั้นหัวเราะเสียงดัง: “ว่านพั่วจวิน! แกคิดว่าสุสานบรรพบุรุษของตระกูลเย่ของฉัน เป็นสถานที่ที่แกอยากมาหรืออยากไปเมื่อไหร่ก็ได้งั้นหรือ?” ว่านพั่วจวินกัดฟัน ถามเขาว่า: “แล้วคุณคิดว่ายังไง??” เย่เฉินยิ้มอย่างเย็นชา: “ที่ฉันคิดคือ หนามยอกเอาหนามบ่ง!” ว่านพั่วจวินถามอย่างตึงเครียดว่า: “คุณ……คุณหมายความว่าไง?” เย่เฉินมองไปที่โลงศพทั้งสองที่อยู่ด้านหลังเขา และยิ้ม: “แกไม่ได้ขู่ว่าจะเอาขี้เถ้าของพ่อแม่ของฉันมาทำลายเหรอ? โลงศพของพ่อแม่แกอยู่ที่นี่พอดี ให้พวกเขาสัมผัสไอเดียดีๆของแกหน่อยสิ!”