กล่าวถึงตรงนี้ เย่โจงฉวนก็ถอนหายใจออกมายาวเหยียด ก่อนจะกุมมือกล่าวว่า “แต่ใครจะไปคิดถึงว่าสมาชิกสาขาเจ็ดร้อยกว่าคนของตระกูลเย่ในวันนี้ ถึงกับขาดสมาชิกทั้งหมด! ส่วนลูกหลานสายตรงของฉันเย่โจงฉวน ถึงกับใส่ชุดไว้ทุกข์เพื่อคนอื่น! ฉัน……ฉันละอายใจต่อบรรพบุรุษจริงๆ ถึงขนาดที่ว่าไม่มีหน้าจะอ่านบทกล่าวไว้อาลัยฉบับนี้ออกมา……”

“นอกจากนี้ ขั้นตอนการไหว้บรรพบุรุษที่เตรียมไว้แต่เดิม ตอนนี้แทบจะหยุดไว้หมดแล้ว และฉันก็ไม่รู้ว่าควรจะอธิบายให้กับบรรพบุรุษฟังอย่างไร……”

เย่โจงฉวนกล่าวจบ อารมณ์ก็พลันรู้สึกสั่นไหวเล็กน้อย เขาสะอึกสะอื้นอยู่หลายครั้ง ยากที่จะพูดต่อได้

เขาเป็นคนที่รักในตระกูลอย่างลึกซึ้งคนหนึ่ง อย่างน้อยก็แข็งแกร่งกว่าทายาทของตระกูลเย่ที่คุกเข่าอยู่ตรงที่เดิมเหล่านั้น

พอนึกถึงงานไหว้บรรพบุรุษที่สิบสองปีมีครั้ง ถึงขั้นซอมซ่อและหดหู่เช่นนี้ ในใจเขาจึงยากจะรับได้เป็นอย่างยิ่ง

เมื่อเขานึกถึงบรรพบุรุษตระกูลเย่มากกว่าร้อยคนที่นอนอยู่ที่นี่ ความรู้สึกของเขาก็ยิ่งเจ็บปวดมากขึ้นไปอีก

เขาผ่านวัยล่วงรู้ชะตาไปนานแล้ว คนชราในวัยนี้ ทะนุถนอมชีวิตมากขึ้น และเกรงกลัวบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วมากขึ้น

ในวัยเยาว์คนที่ไม่หวาดกลัวแค่ไหน ไม่มีความเชื่อเพียงใด พอถึงยามที่ไม้ไกล้ฝั่งเข้าจริงๆ ก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงบิดามารดาของตนเอง นึกถึงบรรพบุรุษของตนเอง นึกถึงตนเองหลังตายไปจะได้พบกับพวกเขาในอีกโลกหนึ่งหรือไม่ หากได้พบพวกเขา ตนควรเผชิญกับพวกเขาอย่างไร

พอคนตระกูลเย่เห็นท่าทางที่คุณท่านสะอื้นไห้ ก็แทบจะก้มศีรษะด้วยความละอาย

จากนั้นเย่เฉินก็หยิบบทกล่าวไว้อาลัยที่เขาเขียนขึ้นมา ก่อนจะฉีกมันเป็นชิ้นๆ แล้วเอ่ยปากพูดด้วยสีหน้ามั่นคง “คุณปู่ครับ ในเมื่อบทกล่าวไว้อาลัยไม่เหมาะสม อย่างนั้นฉีกมันทิ้งก็ใช้ได้แล้ว อย่าโทษตัวเองมากเกินไปนักเลย”

พูดจบ เย่เฉินก็กล่าวอีกว่า “คำโบราณกล่าวไว้ว่าประเทศชาติตกอยู่ในสภาวะลำบาก สำหรับตระกูลหนึ่งแล้วพูดได้ว่า ก็เป็นเช่นเดียวกัน! หนนี้แม้ว่างานไหว้บรรพบุรุษจะซอมซ่อและเรียบง่ายไปบ้าง แต่ก็ยังช่วยให้เรามองเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของคนที่เรียกว่าญาติได้ชัดเจนมากขึ้น!”

“ตระกูลเย่ในอนาคต จะไม่เชื่อถือสายเลือดอีกต่อไป เชื่อเพียงการกระทำที่แท้จริงเท่านั้น! สมาชิกสายตรงรวมถึงสาขาสายรองทั้งหมด ต่อไปหากต้องการได้รับประโยชน์จากตระกูลเย่ พวกเขาก็ต้องแสดงการกระทำที่แท้จริงออกมา!”

“หากใครยังคิดที่จะร่วมสุขแต่ไม่ร่วมทุกข์ อย่างนั้นก็ต้องขออภัย ฉันเย่เฉินจะต้องทำให้เขาได้ชดใช้อย่างแน่นอน!”

เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ เย่เฉินก็มองไปทางถังซื่อไห่ ก่อนจะถามเขาว่า “พ่อบ้านถัง สมาชิกสายรองที่หลบหนีไปกลางดึกเหล่านั้น ยังติดต่อไม่ได้อีกหรือ?”

ถังซื่อไห่กล่าวอย่างกระดากใจว่า “เรียนคุณชาย พวกเขายังปิดเครื่องหรือไม่อยู่ในพื้นที่ให้บริการอยู่เลยครับ คาดว่าก่อนที่ยังไม่ได้รับช่าวที่เชื่อถือได้ของเรื่องในวันนี้จากโลกภายนอก พวกเขาคงไม่มีทางเปิดเครื่อง”

เย่เฉินขมวดคิ้ว ก่อนจะเอ่ยปากกล่าวว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อีกเดี๋ยวเมื่อสำนักว่านหลงแพร่ข่าวออกไปภายนอก บอกเรื่องในวันนี้ที่ตระกูลเย่ยอมแพ้กับโลกภายนอก พวกเขาจะต้องขีดเส้นแบ่งกับตระกูลเย่อย่างชัดเจนใช่ไหม?”

“ควรจะเป็นอย่างนั้นครับ” ถังซื่อไห่กล่าวอย่างนอบน้อม “คุณชาย ที่จริงแล้ว คุณไม่จำเป็นต้องใส่ใจกับคนของสาขารองมากเกินไปนัก พวกเขาไม่ได้มีส่วนช่วยอะไรตระกูลเย่อย่างแท้จริงเลย กลับกันยังต้องการแบ่งผลประโยชน์ส่วนหนึ่งไปจากตระกูลเย่ด้วยซ้ำ สำหรับตระกูลเย่แล้ว คนเหล่านี้ก็เหมือนประเทศเล็กๆ เหล่านั้น เมื่อใดที่ทุกประเทศมาประชุมกัน ทุกครั้งก็จะรีบรุดมากราบไหว้ พูดขึ้นมาก็ดูเหมือนเคารพอย่างมาก แต่ทุกๆ คนล้วนต้องการกินดื่มจนอิ่มหนำในประเทศสวรรค์ของเรา จากนั้นก็จะหยิบฉวยผลประโยชน์บางส่วนจากไปถึงจะพอใจ การขีดเส้นแบ่งอย่างชัดเจนกับพวกเขา มันจะเป็นการดีสำหรับตระกูลเย่”

ยามนี้เย่โจงฉวนก็เอ่ยปากกล่าวขึ้นเช่นกันว่า “ที่ซื่อไห่พูดมาถูกต้อง ส่วนใหญ่สาขารองอาศัยแหล่งทรัพยากรของตระกูลเย่หล่อเลี้ยงมาโดยตลอด ธุรกิจเดียวกัน หากมอบหมายให้ผู้อื่นทำอาจขอเพียงแค่ร้อยล้าน หากมอบให้ตระกูลสาขารองของตระกูลเย่ไปทำ อาจขอร้อยยี่สิบล้าน เหมือนอย่างสาขารองเช่นนี้ ต่อไปขีดเส้นแบ่งอย่างชัดเจนก็ดี”

เย่เฉินกล่าวเสียงเย็นชาว่า “ขีดเส้นแบ่งอย่างชัดเจนแน่นอนว่าต้องขีด แต่ไม่อาจให้พวกเขาจากไปโดยที่ไม่เสียอะไรเลยแบบนี้ได้”

พูดจบ เขาก็มองไปทางว่านพั่วจวิน พร้อมกับเอ่ยปากกล่าวว่า “พั่วจวิน อีกเดี๋ยวค่อยให้คนของนายปล่อยคำพูดออกไป! บอกว่าสำนักว่านหลงได้รายชื่อทั้งหมดของคนที่มาร่วมงานไหว้บรรพบุรุษในครั้งนี้ของตระกูลเย่แล้ว คนตระกูลเย่ทั้งหมดที่ไม่อยู่ที่นี่ในวันนี้ จะต้องมารวมตัวกันที่เชิงเขาเย่หลิงซานก่อนพรุ่งนี้แปดโมงเช้า ใครกล้าไม่มา ก็รับผลที่ตามมาเองแล้วกัน!”