“งั้นก็ตกลง” เย่เฉินเอ่ยปากพูดว่า “ในเมื่อเป็นคุณ งั้นคุณก็รั้งอยู่แล้วกัน ตอนนี้ต้นตระกูลมีหลายสิ่งที่ตองทำ เป็นเวลาสำคัญที่ต้องการใช้คนพอดี และทายาทของต้นตระกูลเหล่านั้น ภายในสามปีต้องอยู่ไว้ทุกข์ที่เย่หลิงซาน ดังนั้นจึงต้องการสมาชิกตระกูลย่อยอย่างพวกคุณอุทิศตนให้กับต้นตระกูลพอดี”

พอเย่ทาวได้ยินเช่นนี้ พลันประท้วงว่า “คุณเย่! แม้ทุกคนจะแซ่เย่ แต่พวกเราก็แยกตัวออกมาอยู่เพียงลำพังนานแล้ว อีกทั้งตระกูลพวกเราก็มีเรื่องของตระกูลพวกเราเองเช่นกัน เวลาเช่นนี้จะเอาเรื่องของตระกูลตัวเองโยนทิ้งไปด้านข้าง แล้ววิ่งมารับใช้ต้นตระกูลได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้น พวกเรามันก็แค่คนตัวเล็กๆ ไม่เหมือนตระกูลใหญ่อย่างต้นตระกูล หากทำเรื่องของตระกูลตัวเองล่าช้าอีก อย่างนั้นในอนาคตจะไม่ลำบากหรอกหรือ?”

พูดจบ เขาก็รีบมองไปทางผู้คนที่อยู่ด้านข้างอีกครั้ง กล่าวด้วยความยุยงว่า “ไหนทุกคนลองบอกสิว่าที่ผมพูดเมื่อกี้มีเหตุผลหรือไม่? เดิมทีต้นตระกูลก็เป็นตระกูลใหญ่ที่มีทรัพย์สินเกินแสนล้าน เมื่อกี้ก็ยังบีบให้พวกเราควักทรัพย์สินออกมาครึ่งหนึ่งอีก แถมยังรับสำนักว่านหลงเข้ามาอยู่ใต้อาณัติ อำนาจที่เพิ่มขึ้นมายังจะแข็งแกร่งกว่าตระกูลย่อยอย่างพวกเราเสียอีก แล้วยังจะมาแย่งกำลังคนจากตระกูลย่อยอย่างพวกเราอีกได้อย่างไร?”

ผู้อื่นภายในใจมากน้อยอย่างไรก็มีความไม่พอใจอยู่บ้างเช่นกัน

คำพูดของเย่ทาว แทงใจดำพวกเขาอย่างแท้จริง

แทงใจดำนี้ก็คือ ต้นตระกูลของตระกูลเย่มากด้วยเงินและอำนาจ รีดไถเงินมากมายขนาดนี้จากทุกคน บีบทุกคนให้เซ็นสัญญาผ่อนชำระยังพอว่า ตอนนี้ยังคิดจะแย่งคนจากตระกูลอื่นอีก นี่ช่างไร้เหตุผลจริงๆ

ทว่าแม้ในใจพวกเขาจะไม่พอใจ แต่อย่างไรเย่เฉินก็ไม่ได้บีบพวกเขาเกินคน ดังนั้นในเวลาเช่นนี้ พวกเขาจึงไม่มีใครสักคนกล้าพูดสนับสนุน แต่ละคนต่างก้มศีรษะไม่เอ่ยคำใด

เย่ทาวร้อนใจ พูดโพล่งออกมาว่า “ทุกคนพูดอะไรบ้างสิ! มากน้อยก็วิจารณ์กันด้วยเหตุผลได้ไหม?”

ทุกคนยังคงไร้คนส่งเสียง

เวลานี้เย่เฉินมองที่เย่ทาว กล่าวยิ้มๆ ว่า “นายอายุยังน้อย ความคิดกลับไม่เบาเลย แถมความสามารถก็ยังมีอีกด้วย”

พูดมาถึงตรงนี้ เย่เฉินก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา พลางกล่าวอีกว่า “แต่นายมองข้ามเรื่องสำคัญมากเรื่องหนึ่งไป ความสามารถเมื่ออยู่ต่อหน้าอำนาจที่เด็ดขาด กระทั่งผายลมก็ไม่นับ

เย่ทาวถูกเย่เฉินมองทะลุความในใจ เจ้าตัวพลันลนลาน

เวนานี้เย่เฉินจึงกล่าวต่อว่า “ฉันไม่สนว่าตอนนี้ธุรกิจของพวกนายเกี่ยวข้องกับตระกูลเย่หรือไม่ ฉันแค่อยากรู้ว่าเงินทองที่พวกคุณใช้ก้าวเดินเอามาจากไหน ตระกูลเย่เป็นคนมอบให้ใช่หรือไม่?

สองคนพ่อลูกไม่กล้าตอบไปชั่วขณะ

เวลานี้เย่ฌจงฉวนจึงเอ่ยแากขึ้นว่า “เฉินเอ๋อ ครอบครัวหงหยาง เพิ่งจะแยกตัวออกไปตอนสมัยสาธารณรัฐจีน ก็คือการทำธุรกิจเฟอร์นิเจอร์นี่แหละ ตอนที่แยกตัวออกไป ตระกูลเย่ได้มอบเงินให้สองแสนดอลลาร์เหรียญเงิน และถือครองหุ้นสามส่วนในธุรกิจของพวกเขา อีกทั้งตระกูลเย่ยังแนะนำธุรกิจมากมายให้พวกเขา”

“ภายหลังหัวเซี่ยก่อตั้งขึ้นใหม่ พ่อของหงหยางอาศัยโอกาสที่จะได้ใช้ความฉลาดเพียงเล็กน้อยนั้น ด้วยความที่ฐานะตัวเองไม่ดี จึงคิดหวนกลับมาให้ชาวบ้านในท้องถิ่นมีภาพจำที่ดีต่อตัวพวกเขา โดยนำธุรกิจส่วนตัวตั้งแต่ดั้งเดิม บริจาคให้พรรคคอมมิวนิสต์ท้องถิ่นด้วยตัวเอง แต่ในความเป็นจริงบริจาคให้เพียงหนึ่งในสิบส่วนเท่านั้น แต่ตอนที่รายงานกับตระกูลเย่ กลับบอกว่าบริจาคออกไปหมดแล้ว”

“ต่อมาเขาก็เงียบหายไปสองปีเพื่อเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง โดยเปิดโรงงานขึ้นมาอีกแห่ง แต่เพราะเปลี่ยนชื่อ หุ้นสามส่วนของต้นตระกูลนั้นก็ย่อมจะเป็นโมฆะไปด้วย เรื่องเหล่านี้ต้นตระกูลทราบหมดแล้ว เพียงแค่ไม่สืบสาวราวเรื่องเท่านั้น”

พอเย่เฉินฟังถึงตรงนี้ ก็หัวเราะเสียงเย็นออกมา ก่อนจะกล่าวว่า “ได้ยินแล้วสินะ? พวกตระกูลย่อยอย่างพวกคุณ เรื่องตบตาต้นตระกูลเรียกได้ว่าเป็นประวัติศาสตร์อันยาวนานเชียวล่ะ หากฉันขุดคุ้ยบัญชีเก่าขึ้นมาจริงๆ พวกคุณไม่มีใครสามารถปิดบังหลักฐานได้หรอก”

เย่หงหยาง เย่ทาวสองพ่อลูก แต่ละคนต่างเคร่งเครียดสุดจะบรรยาย ก้มศีรษะไม่กล้าพูดคำใดอีก

เวลานี้เย่เฉินมองไปที่เย่ทาว กล่าวเสียงเย็นเยียบ “ที่ให้นายรั้งอยู่แบ่งเบาภาระ ออกแรงให้ต้นตระกูล ทางหนึ่งก็เพื่อให้พวกนายส่งคือแรงสนับสนุนและความช่วยเหลือที่ต้นตระกูลมีต่อพวกนายในปีนั้น อีกทางหนึ่งก็เพื่อมอบโอกาสที่ดีงามให้นายช่วงชิงโบนัสและสิทธิพิเศษให้กับครอบครัวตนเอง!”

“หากนายทำตัวซื่อตรง ทุ่มเทใจกายออกแรงเพื่อต้นตระกูลเป็นเวลาสองปี การผ่อนชำระค่างวดหกในพันส่วนทุกๆ เดือนนั้นของครอบครัวพวกนาย ไม่แน่ว่าอาจจะลดได้ครึ่งหนึ่ง”

“หากนายแสดงท่าทีออกมาได้ดีเยี่ยม ฉันโบกมือหนึ่งครั้ง ก็สามารถยกเลิกหนี้ทั้งหมดให้นายก็ได้เช่นเดียวกัน!”

“แต่จนถึงตอนนี้หากนายมีใจคิดคดกับต้นตระกูล นั่นเท่ากับสอนเท่าหร่ก็ไม่หลาบจำ ไร้หนทางเยียวยา!”

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อย่างนั้นก็จะให้ครอบครัวพวกนายมาไว้ทุกข์ที่เย่หลิงซานเป็นเวลาสามปี!”