เย่ทาวแทบเสียสติ
ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าเย่เฉินเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านการแสดง
ต่อหน้าเขาแล้ว ตนเองและพ่อไม่สามารถถือเป็นอะไรได้เลย
เดิมทีตนเองกับพ่อต้องการแสดง เพื่อจะดึงตนเองออกมาได้ และกลับไปบริหารธุรกิจของครอบครัวต่อไป
ไม่คิดว่าคำพูดไม่กี่ประโยคของเย่เฉิน ไม่เพียงแต่ดึงเขาเข้าไปอีก แต่ยังทำให้ครอบครัวของพวกเขานั้นถูกตั้งขอหาเจตนาล่วงเกินคนใหญ่โตที่ไม่สามารถล่วงเกินได้
เย่หงหยางรู้สึกหดหู่ใจมากเช่นกัน และตอนนี้เขาไม่รู้ว่าจะจัดการอย่างไรดี
แม้กระทั่งจะเป็นคนริเริ่มให้ลูกชายของเขาอยู่ต่อนั้นโอกาสก็น้อยมาก
เพราะเมื่อเป็นเช่นนั้น เท่ากับเขายอมรับว่าเมื่อสักครู่นั้นเขาโกหกเย่เฉิน
เดิมทีพวกเขาก็เป็นคนบาปของตระกูลเย่แล้ว แต่ตอนนี้ยังถูกเฉินหลอกอีก และถ้าเย่เฉินจับจุดอ่อนได้แล้วคาดโทษขึ้นมา ก็จะไม่มีโอกาสแม้แต่น้อยแล้วจริง ๆ
ขณะเย่ฉางโคงรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
เมื่อเห็นว่าเย่ทาวยังคงต้องการที่จะปฏิเสธ เขารีบกล่าวว่า “เฉินเอ๋อ เรื่องนี้คุณไม่จำเป็นต้องฟังความคิดเห็นจากพวกเขาสองคน ผมคิดว่าพวกเขารู้สึกติดค้างตระกูลเย่ ดังนั้นจึงเกรงใจที่จะรบกวนผมอีก แต่ผมเป็นคนที่พูดง่าย ซึ่งงานมันอาจจะยุ่งยากหน่อย แต่ผมจะอดทนต่อความยากลำบากและเสียงวิพากษ์วิจารณ์ จะไม่บ่นสักคำ!”
เย่เฟิงเกิดความริษยาจนแทบคลั่ง และรีบกล่าวอ้อนวอนว่า “เย่เฉิน สุขภาพของพ่อผมไม่ค่อยดีเช่นกัน ให้ผมจะดูแลชีวิตประจำวันของพ่อด้วยได้ไหม?”
เย่เฉินไม่สนใจไยดีเขา หันไปมองเย่หงหยางกับเย่ทาว และถามด้วยรอยยิ้มว่า “เป็นอย่างไรบ้าง ผู้นำตระกูลอย่างผมเป็นคนที่ใส่ใจเรื่องต่าง ๆ ใช่ไหม? และผมยังส่งลุงใหญ่ไปช่วยพวกคุณ นี่ต้องเป็นความเสียสละขนาดไหน?”
เมื่อเย่โจงฉวนที่อยู่ด้านข้างได้ยิน อดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปเช็ดหน้า คิดอยู่ในใจว่าเย่เฉินนั้นช่างเลวจริง ๆ และเลวจนตนเองซึ่งเป็นอดีตผู้นำตระกูลรู้สึกอับอาย
ตนเองนั้นรู้ดีกว่าใครว่าลูกชายคนโตของตนเองนั้นมีความสามารถระดับไหน
ระดับความสามารถของเย่ฉางโคงนั้นเป็นถ่วงความเจริญของตระกูลเย่
หากตระกูลเย่เป็นรถไฟความเร็วสูง เย่ฉางโคงเป็นหนึ่งในตู้รถไฟที่ไม่สามารถบรรทุกผู้โดยสารหรือไม่สามารถบรรทุกสินค้าได้
ตู้รถไฟที่ติดตามรถไฟของตระกูลเย่ นอกจากการทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง และลดความเร็วของรถไฟขบวนนี้ ไม่ได้มีผลในเชิงบวกใด ๆ
โดยปกติในตระกูลเย่แล้ว ทีมผู้จัดการมืออาชีพและกลุ่มนักคิดที่มีอยู่ทั่วโลกมีหน้าที่รับผิดชอบบริหารธุรกิจหลัก เขาเพียงแค่ลงนามในหนังสือตัดสินใจเชิงสัญลักษณ์ หลังจากนั้นเขาก็จะได้รับเงินเดือนและเงินปันผลสูงสุดของตระกูลเย่
บริษัทเฟอร์นิเจอร์ของครอบครัวเย่ทาว มีกำไรเพียงไม่กี่ร้อยล้านยูโรต่อปี และโดยปกติแล้วค่าใช้จ่ายประจำปีของเย่ฉางโคงก็จะเป็นเงินจำนวนประมาณนี้
ยิ่งกว่านั้น เย่ฉางโคงเก่งในเรื่องเสียเงินสร้างชื่อให้กับตนเอง
ถ้าให้เขาไปตรวจสอบที่ต่างประเทศ เขาต้องซื้อคฤหาสน์ดีที่สุดในละแวกนั้นก่อน ตามคำบอกของเขานั้น เขาจะบอกว่าตนเองไม่คุ้นเคยกับการพักอาศัยอยู่ในโรงแรม ชอบพักอาศัยในบ้านมากกว่า ดังนั้นการซื้อบ้านจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
ยิ่งกว่านั้น เขาจะใช้ข้ออ้างในการซื้อบ้านเป็นการลงทุน
และที่ไร้สาระกว่านั้นคือ เขาจะยกตัวอย่างแมคโดนัลด์ที่เปิดร้านไปทุกหนทุกแห่ง แล้วซื้อบ้านและที่ดินไปทั่ว สุดท้ายติดหนี้ก้อนใหญ่ แล้วให้ตนเองเป็นผู้ที่รับภาระหนี้
อย่างไรก็ตาม เมื่อคนปกติซื้อบ้านนั้นมันคือการลงทุน แต่เมื่อเย่ฉางโคงซื้อบ้านคือการจ่ายภาษีไอคิวอย่างสิ้นเชิง
คฤหาสน์ราคาห้าสิบล้าน รวมค่าตกแต่งอีกยี่สิบล้าน สามารถถือกระเป๋าเข้าไปอยู่ได้ทันที แต่เขาซื้อมาในราคาหนึ่งร้อยล้าน เขาจะคิดว่ามันคุ้มค่ามาก
นอกจากซื้อคฤหาสน์แล้ว ยังต้องเพิ่มรายการต่าง ๆ รวมถึงสิ่งที่ใช้ในชีวิตประจำวันต่าง ๆ เช่นรถยนต์ เรือยอร์ช และกระทั่งเฮลิคอปเตอร์
นอกจากนี้ จำเป็นต้องมีกำลังคนเป็นจำนวนเพื่อมาดูแลรักษา เพื่อให้แน่ใจว่าสามารถไปพักอาศัยอยู่ที่นั่นได้ตลอดเวลา และมีคนรับใช้คอยให้บริการตลอดเวลา
ดังนั้นคฤหาสน์ที่ซื้อในราคาหนึ่งร้อยล้าน ซื้อรถยนต์ เรือยอร์ช และเฮลิคอปเตอร์ อาจต้องเสียเงินอีกหลายแสนล้าน
แล้วค่าเสื่อมราคาของสิ่งเหล่านั้นก็สูงจนน่าตกใจ คิดค่าเสื่อมสิบล้านต่อปี ค่าบำรุงรักษาทั้งคฤหาสน์และสิ่งต่าง ๆ ก็หลายสิบล้านแล้ว บวกกับเงินเดือนของบุคลากรแล้วเป็นตัวเลขที่สูงเสียดฟ้าอย่างแน่นอน