“มิได้ มิได้…….” ล่ายชิงหวากล่าวด้วยความนอบน้อมว่า “ผมยังห่างไกลจากความอัศจรรย์ที่คุณชายเย่กล่าวถึง และตามคำทำนายของปากว้านั้นสามารถเปิดเผยได้เพียงแนวโน้มทั่วไปเท่านั้น แต่มันมีข้อมูลอะไรบ้างที่อยู่ในนั้น ยังจำเป็นต้องทำการวิเคราะห์เชิงตรรกะร่วมกับสถานการณ์จริง”
หลังจากนั้น ล่ายชิงหวากล่าวอีกว่า “ตอนอยู่บนภูเขาเย่หลิงซานนั้นผมได้บอกคุณว่า ตอนแรกที่คุณตกระกําลําบากอยู่ที่เมืองจินหลิง นั่นเป็นเพราะมังกรหมดอำนาจ และหลังจากที่คุณได้สูญเสียอำนาจไปแล้ว ตอนนั้นผมแนะนำให้คุณกลับไปที่เย่นจิง เพื่อที่มังกรจะได้ลงสู่ทะเล แต่ก่อนหน้านั้นตอนที่ไหม้เฉิงซินไปที่เมืองจินหลิง จึงทำให้ผมรู้ว่าคุณยังอยู่ในเมืองจินหลิง”
“ใช่” เย่เฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ผมอาศัยอยู่ที่เมืองจินหลิงมาเป็นเวลานานแล้ว ดังนั้นผมจึงชินกับชีวิตในเมืองจินหลิง และไม่อยากจะเปลี่ยนง่าย ๆ”
ล่ายชิงหวากล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ตอนนี้โลกภายนอกมีข่าวลือว่าตระกูลเย่นั้นประสบภัยพิบัติ ถ้าตระกูลเย่ตกอับจริง ๆ คำทำนายปากว้าของคุณนั้นจะต้องเป็นเสือลำบาก มังกรหมดอำนาจ และกระทั่งแม้มังกรฟ้ายังตกอับ แต่ทำนายปากว้าของคุณนั้นกลับเป็นภาพมงคลที่มังกรลงสู่ทะเล ดังนั้นผมจึงคาดเดาว่า การที่สำนักว่านหลงบุกไปถึงตระกูลเย่นั้นเป็นโอกาสทองสำหรับคุณ”
หลังจากนั้น ล่ายชิงหวากล่าวอีกว่า “ผมคิดว่าถึงแม้คุณชายเย่จะมีดวงชะตามังกร แต่ถ้าต้องการครอบครองตระกูลเย่โดยปราศจากการแทรกแซงจากภายนอกจริง ๆ มันไม่ใช่เรื่องง่าย! ตามคำกล่าวที่ว่าไม่ว่าจะทำเรื่องอะไรนั้นมันไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในระยะเวลาอันสั้น ต้องใช้เวลาสั่งสมบ่มเพาะนาน ธุรกิจของตระกูลเย่ที่สะสมมาหลายปี อำนาจและโครงสร้างการจัดการที่สร้างขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แม้แต่คนที่มีความสามารถที่แข็งแกร่ง หากต้องการควบคุมอำนาจใหญ่นั้นก็ต้องวางแผนอย่างช้า ๆ และสิ่งเดียวที่จะทำให้คุณไปถึงจุดสูงสุดในคราวเดียว นั่นก็คือการโจมตีของศัตรูที่ทรงพลัง ดังนั้นจากข้อมูลเหล่านี้ ทำให้ผมเดาว่าตอนนี้คุณได้กลายเป็นผู้นำตระกูลเย่แล้วแน่นอน!”
เย่เฉินกล่าวชื่นชมอย่างจริงใจว่า “ท่านล่าย ไม่เพียงแต่มีทักษะในการทำนายที่ไม่ธรรมดาเท่านั้น แต่ความสามารถในการวิเคราะห์เชิงตรรกะยังน่าชื่นชมยิ่งกว่า!”
ล่ายชิงหวารีบกล่าว “คุณชายเย่ ชมมากเกินไปแล้ว! ผมมีชีวิตอยู่มานานแล้ว และไม่มีความสามารถอะไร เพียงแต่ผมรู้มากกว่าคนอื่นเล็กน้อยเท่านั้น และผมไม่กล้าอวดเก่งต่อหน้าคนเก่งอย่างคุณหรอก!”
เย่เฉินกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านล่าย อย่ากล่าวเช่นนั้น อยู่ต่อหน้าคุณแล้ว ผมเป็นแค่รุ่นน้องเท่านั้น….…”
ล่ายชิงหวาหัวเราะ และกล่าวว่า “คุณชายเย่ คุณกับผมไม่จำเป็นต้องเยินยอซึ่งกันและกันแล้ว ผมยังไม่ได้ถามว่าที่วันนี้คุณโทรมาหาผมนั้นมีคำสั่งอะไร?”
เย่เฉินกล่าวว่า “ท่านล่าย มิอาจกล่าวว่าเป็นคำสั่ง ผมเพียงแค่อยากจะขอความช่วยเหลือบางอย่างจากคุณ”
ล่ายชิงหวารีบกล่าว “คุณชายเย่ คุณเป็นผู้ที่มอบอายุขัยสิบปีให้กับผม หากคุณมีสิ่งใดต้องการให้ผมช่วยเหลือ โปรดสั่งมาได้ทันที และผมจะทำมันให้ดีที่สุด!”
เย่เฉินกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “สิ้นเดือนนี้ผมวางแผนจะจัดประมูลที่เมืองจินหลิง และเมื่อถึงเวลานั้นผมจะนำยาอายุวัฒนะสองเม็ดออกมาประมูลด้วย”
เมื่อล่ายชิงหวาได้ยินคำว่ายาอายุวัฒนะ เขากล่าวด้วยความตกใจว่า “คุณชายเย่…..คุณ…..คุณเพิ่งได้รับสืบทอดธุรกิจของตระกูลเย่ และเป็นไปไม่ได้ที่คุณนั้นจะร้อนเงิน แล้วทำไมคุณถึงนำยาอายุวัฒนะที่ล้ำค่าออกมาประมูลล่ะ?!”
ตอนนั้นเพื่อค้นหาทางรอดของตนเอง ล่ายชิงหวาใช้เวลาสี่ปีสร้างภูเขาเย่หลิงซานให้ตระกูลเย่ ถึงได้รับยาอายุวัฒนะจากเย่เฉิน ดังนั้นจึงไม่มีใครรู้ดีไปกว่าเขาว่ายาอายุวัฒนะนั้นมีมูลค่าสูงเท่าไร
เมื่อได้ยินว่าเย่เฉินจะนำยาอายุวัฒนะออกมาประมูล ทำให้เขารู้สึกไม่เข้าใจ เย่เฉินไม่ร้อนเงินแน่นอน แล้วทำไมเขาถึงได้นำยาล้ำค่าเช่นนี้ออกมาประมูลล่ะ?
ขณะนี้เย่เฉินกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “การประมูลยาอายุวัฒนะนั้นไม่ใช่เป็นเพราะร้อนเงิน แต่ส่วนใหญ่นั้นเป็นเพราะเมืองจินหลิง อย่างที่คุณทราบถึงแม้ว่าเมืองจินหลิง จะเป็นเมืองหลวงเก่ายุคหกราชวงศ์ และมีประวัติที่ยาวนาน แต่ช่วงหลายปีที่ผ่านมาการพัฒนาเศรษฐกิจนั้นยังรั้งท้ายขบวน สถานะในประเทศไม่แข็งแกร่งมากนัก และไม่เป็นที่รู้จักในระดับสากล…..”
“ดังนั้น ผมต้องการใช้การประมูลนี้ เพื่อให้เมืองจินหลิงเป็นที่รู้จักมากขึ้นในต่างประเทศ และยังสามารถดึงดูดเศรษฐีชั้นนำมาลงทุนอสังหาริมทรัพย์ที่เมืองจินหลิงได้อีกด้วย!”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ เย่เฉินกล่าวอย่างจริงจังว่า “ตอนนี้นิยมแซงรถตรงทางโค้ง ดังนั้นผมอยากให้เมืองจินหลิงแซงทางโค้งสักครั้ง และดูว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร!”