เมื่อฮามิดเห็นว่าว่านพั่วจวินสบายใจขนาดนี้ ยิ่งไปกว่านั้นในนำพูดก็แอบแฝงไปด้วยการแสดงความเคารพต่อเย่เฉิน ก็อดแปลกใจไม่ได้ เขาไม่เข้าใจว่า ทำไมว่านพั่วจวินถึงเคารพเย่เฉินขนาดนี้

ในเวลานี้เย่เฉินยิ้มเล็กน้อย และพูดด้วยน้ำเสียงที่น่าประหลาดใจ: “พี่ชาย พั่วจวินและลูกน้องของสำนักว่านหลงก็ได้สาบานว่าจะจงรักภักดีต่อฉัน หลังจากนี้ไปเขาสำหรับพี่ ก็เป็นคนกันเองแล้ว”

คำพูดนี้ของเย่เฉิน ทำให้ฮามิดตกใจจนตกตะลึงจนตาค้างพูดอะไรไม่ออก!

เดิมทีเขาคิดว่า เย่เฉินมาประนีประนอมในครั้งนี้ แต่ฝันก็คาดไม่ถึงว่า ว่านพั่วจวินและสำนักว่านหลงก็จงรักภักดีต่อเย่เฉินแล้ว

ดังนั้นเขาจึงถามโดยไม่รู้ตัวว่า: “น้องชาย……นี่จริงหรือปลอม? นายไม่ได้ล้อฉันเล่นใช่มั้ย?”

ตอนที่เขาไม่อยากเชื่อเรื่องราวทั้งหมดนี้ ว่านพั่วจวินก็เอ่ยปากพูดว่า: “จอมพลคามมิต คุณเย่ไม่ได้ล้อคุณเล่น ว่านพั่วจวินได้สาบานว่าจะจงรักภักดีต่อคุณเย่แล้ว!”

ฮามิดตกใจเป็นอย่างมาก มองดูเย่เฉิน และพึมพำถามว่า: “น้อง……น้องชาย……นายทำได้ยังไงกันแน่……”

เย่เฉินพูดด้วยรอยยิ้มว่า: “พวกนี้ค่อยคุยกันทีหลัง ซัยยิตจะมาถึงเมื่อไหร่?”

ฮามิดมองดูเวลา และตอบว่า: “ประมาณอีกสิบนาทีนะ”

“โอเค”เย่เฉินพยักหน้า: “งั้นพวกเราก็รอเขาที่นี่กันเถอะ”

สิบนาทีต่อมา เฮลิคอปเตอร์อีกลำก็ค่อยๆลงจอดในหุบเขา

ซัยยิตซึ่งสวมชุดเครื่องแบบทหารก้าวใหญ่กระโดดลงจากเฮลิคอปเตอร์ เมื่อเห็นเย่เฉิน ก็ก้าวไปข้างหน้าทักทายอย่างกระตือรือร้นว่า: “สวัสดีครับคุณเย่! ในที่สุดก็ได้เจอกันอีกครั้ง!”

เย่เฉินพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม พูดคุยกับเขาไม่กี่ประโยค จากนั้นก็แนะนำว่านพั่วจวินให้กับเขา

ซัยยิตก็ไม่เคยเจอกับว่านพั่วจวินมาก่อน ทันใดนั้นก็รับรู้ว่าชายหนุ่มข้างกายเย่เฉินก็คือว่านพั่วจวิน และก็ไม่สามารถดึงสติกลับมาได้ชั่วขณะ

เย่เฉินตบไหล่ของซัยยิต และพูดด้วยรอยยิ้มว่า: “การนัดหมายนายมาคุยในครั้งนี้ ก็แค่อยากจะแก้ไขปัญหาทั้งหมดระหว่างพวกนายกับสำนักว่านหลงในทีเดียว อีกอย่างให้ทางเลือกที่ดีกว่ากับพวกคุณ ไม่งั้นพวกเราไปคุยรายละเอียดในห้องประชุมของจอมพลคามมิตดีกว่ามั้ย?”

“ครับ!”ซัยยิตรับปากอย่างรวดเร็ว

ทั้งสี่คนมาถึงห้องประชุม เย่เฉินก็พูดกับซัยยิตอย่างตรงประเด็น: “ซัยยิต นักโทษหนึ่งหมื่นห้าคนของสำนักว่านหลง สำหรับพวกนายคงจะเป็นภาระและความรับผิดชอบไม่น้อยใช่มั้ย?”

ซัยยิตต่อหน้าของว่านพั่วจวิน ก็ย่อมไม่ยอมรับเรื่องนี้เป็นธรรมดา จึงแกล้งพูดอย่างผ่อนคลายว่า: “อันที่จริงก็ไม่เป็นไร พวกเราจัดสถานที่แห่งหนึ่งสำหรับขังพวกเขาไว้เป็นพิเศษ ทุกอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย”

เย่เฉินพูดด้วยรอยยิ้มว่า: “ซัยยิต วันนี้อยู่ที่นี่ อันที่จริงไม่ว่าจะเป็นฉัน หรือว่าฮามิด และว่านพั่วจวิน ก็ไม่ใช่ศัตรูของพวกนายอีก แต่เป็นเพื่อนของพวกนาย”

จากนั้น เย่เฉินก็พูดว่า: “ตั้งแต่ที่ฮามิดประสบความสำเร็จในการป้องกันการโจมตีกองกำลังรัฐบาลและสำนักว่านหลง ฝ่ายกบฏคนอื่นๆก็เริ่มเสริมสร้างความแข็งแกร่งการป้องกันอย่างแข็งขัน ในอนาคตพวกเขาแต่ล่ะฝ่ายจะพัฒนาฐานทัพบนภูเขาที่ง่ายต่อการป้องกันและโจมตียาก พวกนายก็สู้ได้ยากมาก ยิ่งไปกว่าตัวของพวกนายเองก็ถูกโจมตีแตกหักได้ง่ายดาย และสถานการณ์ยิ่งอยู่ยิ่งจะถูกกระทำมากขึ้นเรื่อยๆในอนาคต”

สีหน้าของซัยยิตยังคงเหมือนเดิม แต่ในใจก็กังวลเรื่องนี้จริงๆ

ในขณะนี้ ทั้งสองฝ่ายตกอยู่ในสภาพจนตรอก เดิมที สภาพจนตรอกแบบนี้ไม่ได้ทำให้กองกำลังรัฐบาลวิตกกังวลจนเกินไป เนื่องจากพวกเขารู้สึกว่าอีกฝ่ายอยู่ในขั้นตอนการป้องกัน และถึงแม้ตัวเองจะไม่มีทางโจมตี อย่างน้อยก็ครอบครองสถานที่เป็นคนริเริ่มก่อน

แต่ว่า เรื่องราวที่เกิดขึ้นในประเทศตะวันออกกลางเมื่อช่วงก่อนหน้านี้ ทำให้พวกเขารู้สึกเสียวสันหลัง

ประเทศนั้นเพิ่งมีการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ เป็นพวกที่ฝ่ายหนึ่งที่ถูกกระทำของการรบแบบกองโจร และได้รับชัยชนะในที่สุด

สิ่งนี้กระตุ้นประสาทของพวกเขาเป็นอย่างมาก ทำให้พวกเขากลายเป็นตึงเครียดขึ้นมาในทันที

ในเวลานี้ เย่เฉินพูดอย่างเคร่งขรึมว่า: “ซัยยิต ถ้าหากพวกนายยินยอม ในอนาคตสำนักว่านหลงมาสามารถกลายเป็นพันธมิตรครึ่งหนึ่งของพวกนายได้”

ซัยยิตถามด้วยความประหลาดใจว่า: “อะไรคือพันธมิตรครึ่งหนึ่ง?”

เย่เฉินยิ้มเล็กน้อย และอธิบายว่า: “พวกเขาจะกลายเป็นชุดเกราะบนตัวของพวกนาย แม้ว่าไม่มีส่วนร่วมในการโจมตีของพวกนาย แต่ถ้าหากพวกนายตกอยู่ในอันตราย พวกเขาจะช่วยเหลือป้องกันพวกนายอย่างเต็มที่ และปกป้องการโจมตีที่ร้ายแรงของคู่ต่อสู้!”