เนื่องจากอาการของจิมมี่เข้าสู่ขั้นรุนแรง ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถอยู่ห่างจากการเฝ้าดูตลอด24ชั่วโมงของทางโรงพยาบาลได้ ถึงจะไปรักษาที่ยุโรป ก็ต้องไปที่สนามบินและนั่งเครื่องบินส่วนตัวของโรงพยาบาลไปเท่านั้น
ดังนั้น สำหรับเจนนี่แล้ว เธอจึงหวังว่าลูกชายจะได้ย้ายกลับบ้านไวๆ
อีกอย่างในมุมมองของเธอ ขอแค่หลังจากนี้ลูกชายได้ทานยาเกิดใหม่เก้าเสวียน และหลุดพ้นจากโรงพยาบาล กลับไปรักษาตัวอยู่ที่บ้านก็พอแล้ว
ถึงอย่างไร ในสายตาของเธอตอนนี้ ความน่าเชื่อถือของยาเกิดใหม่เก้าเสวียนก็เหนือกว่าโรงพยาบาลไปมากโข
ในคืนนี้ ที่มาโยคลินิกต่างพากันไม่ได้นอนทั้งคืน
ปาฏิหาริย์เกี่ยวกับจิมมี่และยาเกิดใหม่เก้าเสวียน ถูกกระจายข่าวจากที่นี่ออกไปสู่วงการแพทย์ของอเมริกาอย่างรวดเร็ว
ในตอนที่ฟ้าสว่าง โรงพยาบาลชั้นนำ สถาบันวิจัย โรงงานผลิตยาในอเมริกาต่างก็ได้ยินข่าวสะเทือนวงการนี้โดยทั่วถึง
เพียงแต่ว่า ที่พวกเขาได้ยินตอนนี้เป็นแค่การบอกเล่าปากต่อปาก ยังไม่ได้เห็นข้อมูลที่สมบูรณ์ ดังนั้นทุกคนจึงยังมีท่าทีสงสัย
เพราะถึงอย่างไร เท่าที่เห็นผู้คนที่ต่อสู้กับโรคมะเร็งมาหลายปี ยังไม่เคยมีใครกอบกู้ชีวิตผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายเอาไว้ได้ เมื่อใดที่ยังไม่ถึงระยะสุดท้ายก็ยังรักษาหาย นั่นก็หมายความว่าโรคมะเร็งถูกเอาชนะได้อย่างราบคาบ!
เมื่อสมิธได้มาประสบพบเจอทุกอย่างในคืนนี้ด้วยตัวเอง มุมมองที่เคยมีก่อนหน้านี้พลันเปลี่ยนไปทุกอย่าง ในเวลานี้เขาแทบอยากจะไปหาเว่ยเลี่ยงและคำนับให้เขาสองครั้ง พร้อมบิดหูตัวเองไปด้วย จากนั้นก็ขอร้องให้เขามอบยาเกิดใหม่เก้าเสวียนให้อีกเยอะๆ
เขามองเวลา จึงพบว่าเป็นเวลาหกโมงเช้าแล้ว เลยพึมพำว่า “ผมว่าคุณเว่ยคงจะตื่นแล้ว ผมต้องไปโทรหาเขาเดี๋ยวนี้!”
พูดจบ เขาก็รีบล้วงโทรศัพท์ออกมา แล้วกดโทรหาเว่ยเลี่ยง
และก็เหมือนเมื่อคืน โทรศัพท์ของเว่ยยังคงปิดเครื่อง
เขาวางโทรศัพท์ เอ่ยพูดอย่างอึดอัดว่า “คุณเว่ยยังปิดเครื่องเหมือนเดิม ผมว่าเขาน่าจะโกรธผมเรื่องเมื่อวาน”
เจนนี่พูดอย่างหงุดหงิด “เป็นใครก็ต้องโกรธทั้งนั้น เขาอุตส่าห์ส่งยาดีขนาดนี้มาให้คุณตั้งไกลหลายหมื่นกิโล คุณดันไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีพูดจาถากถางเขาอยู่ได้ ถ้าเป็นฉันนะ ฉันคงบล็อกเบอร์คุณไปแล้วด้วยซ้ำ!”
“แม่ง……” สมิธเริ่มอยู่ไม่สุข “เขาคงไม่ได้บล็อกเบอร์ผมหรอกใช่ไหม?”
เจนนี่เองก็ร้อนใจ จึงเอ่ยถามขึ้นมาว่า “งั้นเอายังไงดี?!การรักษาและฟื้นตัวของจิมมี่หลังจากนี้ ต้องพึ่งยานั่นทั้งนั้นเลยนะ!”
สมิธลูบคางพลางเดินไปเดินมา ยิ่งคิดก็ยิ่งร้อนใจ
เขากลัวว่าเว่ยเลี่ยงจะโกรธจนไม่สนใจเขาอีก ถ้าเป็นอย่างนี้ คงไม่มีความป็นไปได้ที่จะได้ยามาให้ลูกชายรักษาตัวหลังจากนี้
ดังนั้น เขาจึงเอ่ยพูดอย่างรีบเร่งว่า “ผมจะลองให้เพื่อนตำรวจช่วยสืบให้ว่าเขาพักยู่ที่โรงแรมไหน ผมจะได้ไปขอโทษเขาถึงที่!”
เจนนี่เองก็คิดว่านี่เป็นทางเดียวที่จะแก้ไขปัญหาได้ จึงพูดขึ้นมาว่า “งั้นฉันจะไปกับคุณด้วย!”
สมิธเอ่ยขึ้น “ไม่ต้องไปหรอก ถ้าจิมมี่ตื่นมาแล้วไม่เจอเรา เดี๋ยวลูกจะกังวลเอานะ คุณอยู่เฝ้าเขาที่นี่แหละ อีกอย่างลูกสาวก็ต้องมีคนดูแลด้วย”
เจนนี่หันไปมองลูกสาวคนเล็กที่หลับสนิทอยู่บนโซฟาข้างๆ เอ่ยกำชับอย่างทำอะไรไม่ได้ “ตอนที่ไปขอโทษเขา คุณก็หัดระงับท่าทีหยิ่งๆนั่นของคุณบ้างล่ะ แล้วก็อย่าอวดความรู้ในวิชาต่อหน้าคนอื่นนักเลย คุณต้องใช้ท่าทีอ่อนน้อมถ่อมตนไปขอร้องอ้อนวอนเขาให้อภัย เข้าใจไหม?”
“เข้าใจแล้ว……” สมิธเอ่ยพูดอย่างไม่หยุดคิด “ผมขอสาบานกับพระเจ้าเลย ต่อไปนี้ผมจะไม่ดูถูกการแพทย์ของชาติตะวันออกอีก……”
เจนนี่เอ่ยขึ้นมาอีกว่า “จริงสิ!ฉันได้ยินมาว่ามารยาทที่สำคัญที่สุดของคนหัวเซี่ยก็คือการคุกเข่าต่อหน้า! ทางที่ดีตอนคุณเจออีกฝ่าย ให้รีบคุกเข่าขอร้องต่อหน้าเขาเลยนะ!”
สมิธมีสีหน้าอัดอั้นถึงขั้นสุด หลุดสบถออกไปว่า “Holy Shit!เจนนี่ คุณนี่มันดีจริงๆเลยนะ กล้าให้สามีตัวเองคุกเข่าต่อหน้าคนอื่นเชียวเหรอ!”
เจนนี่เอ่ยเสียงเย็นออกมาว่า “คนอื่นที่ว่าช่วยชีวิตลูกคุณได้ แค่ไปคุกเข่าต่อหน้ามันจะทำไมนัก? ฉันจะบอกอะไรให้นะ ถ้าจิมมี่ไม่ได้ยานั่นมารักษาอาการหลังจากนี้เพราะคุณเป็นต้นเหตุล่ะก็ ฉันจะหย่ากับคุณซะ เพราะฉันฝืนทนใช้ชีวิตอยู่กับคนที่เกินเยียวยาอย่างคุณมามากพอแล้ว!”
สมิธพูดออกมาอย่างกระอักกระอ่วนใจ “ได้ๆๆ! คุณว่ายังไงก็อย่างนั้น!ถ้าผมเจอเว่ยเลี่ยง สิ่งแรกที่ผมจะทำคือคุกเข่าให้เขา!”
เจนนี่พูดเสริมว่า “จริงสิ ไหนๆก็คุกเข่าแล้ว อย่าลืมคำนับด้วยล่ะ ฉันว่าคนหัวเซี่ยน่าจะนิยมทำกันแบบนี้!”