เวลาเที่ยงของวันถัดมา ณ เมืองเย่นจิง เครื่องบินที่สมิธนั่งมาลงจอดที่เมืองใหญ่ที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงใต้ของหัวเซี่ยอย่างจงไห่
เขาไม่ทันได้พักผ่อน ก็ต้องนั่งรถไฟความเร็วสูงจากเมืองจงไห่ไปยังเมืองจินหลิงติดๆ
เมื่อมาถึงเมืองจินหลิง เขาก็เรียกแท็กซี่ตรงไปยังสำนักงานใหญ่ของบริษัทผลิตยาเก้าเสวียนทันที แต่ว่าระหว่างทาง เขาไม่ได้มีการติดต่อเว่ยเลี่ยงเลย
เพราะกลัวว่าเว่ยเลี่ยงจะไม่ยอมมาเจอเขา ดังนั้นเขาจึงคิดว่าไปถึงบริษัทผลิตยาเก้าเสวียนก่อนแล้วค่อยทักบอกเว่ยเลี่ยง
การเดินทางใช้เวลาไปเกือบๆยี่สิบชั่วโมง ในที่สุดสมิธก็มาถึงที่หมายในเวลาหกโมงเย็น
เมื่อมาถึงหน้าประตูทางเข้าของบริษัทผลิตยาเก้าเสวียน เขาก็ถูกรปภ.ขวางทางเอาไว้เพราะไม่มีบัตรผ่านทาง
ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงสื่อสารเป็นภาษาจีนกับรปภ.ว่า “สวัสดีครับ ผมชื่อเจมส์ สมิธ ผมมาจากอเมริกาและก็มาเยี่ยมเยือนผู้จัดการเว่ยโดยเฉพาะ รบกวนช่วยแจ้งเขาให้ทราบทีครับ”
รปภ.หยิบวิทยุสื่อสารขึ้นมารายงานสถานการณ์ให้หัวหน้ารปภ.ในออฟฟิศทราบ
จากนั้น ก็ถูกส่งต่อไปทีละขั้น จนมาจบลงที่เลขาของเว่ยเลี่ยงส่งต่อให้เวี่ยเลี่ยงทราบอีกที
เมื่อได้ยินว่าสมิธอยู่ที่หน้าประตูทางเข้าของโรงงาน เว่ยเล่ยก็หัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่
คำนวณจากเวลาสำคัญๆแบบนี้ หลังจากที่สมิธรู้ว่าเขากลับประเทศ ผ่านไปไม่กี่ชั่วโมงอีกฝ่ายก็คงนั่งเครื่องบินตามมาแน่ๆ
เมื่อเขานึกถึงคำสั่งก่อนหน้านี้ของเย่เฉิน เขาก็พูดยิ้มๆกับเลขาว่า “ฝากรปภ.บอกสมิธอะไรนั่นที ตำแหน่งของผมค่อนข้างพิเศษ จะไปเจอคนที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ในวงการแพทย์สุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ ถ้าเขาอยากเจอผมจริงๆ ก็ต้องทำเรื่องนัดหมายผ่านท่านหงห้าแห่งเทียนเซียงฝู่เสียก่อน”
เลขากำชับเรื่องนี้ลงไปอย่างไม่ลังเล
ไม่นานหลังจากนั้น สมิธก็ได้รับสารจากปากของรปภ.
ทั้งๆที่เขามาถึงหน้าประตูบริษัทผลิตยาเก้าเสวียนแล้วแท้ๆ ผลกลับกลายเป็นว่าเว่ยเลี่ยงให้เขาไปทำเรื่องนัดหมายผ่านบุคคลที่สาม ซึ่งสิ่งนี้ทำให้สมิธรู้ตัวในทันทีว่า เว่ยเลี่ยงกำลังเอาคืนเขา
หนึ่งคือเอาคืนที่ก่อนหน้านี้เขาทำตัวหยิ่งยโสใส่ สองคือเอาคืนที่ก่อนหน้านี้เขาให้อีกฝ่ายทำการนัดหมายผ่านทางบริษัทนายหน้า
เขาอยากขอความเห็นใจจากเว่ยเลี่ยง จึงพยายามเจอเว่ยเลี่ยงให้ได้ก่อน เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาเพื่อจะโทรหาอีกฝ่าย
แต่โทรศัพท์ของเว่ยเลี่ยงเปิดระบบไฟร์วอลเอาไว้ นอกจากเบอร์คนรู้จักที่เขาเพิ่มรายชื่อเข้าไป เบอร์อื่นๆก็ไม่สามารถโทรเข้ามาได้
ในตอนนี้เอง เว่ยเลี่ยงก็โทรไปหาหงห้า เมื่ออีกฝ่ายรับสายก็พูดยิ้มๆว่า “ท่านหงห้า ผมเองนะเว่ยเลี่ยง อาจารย์เย่ให้ผมมาแนะนำธุรกิจดีๆให้คุณ”
หงห้าเอ่ยถามอย่างสงสัย “อาจารย์เย่ให้นายมาแนะนำธุรกิจดีๆให้ฉัน? ธุรกิจอะไร?”
เว่ยเลี่ยงพูดกลั้วยิ้มว่า “มีคนอยากนัดเจอผม แต่ว่าอาจารย์เย่ให้ผมจัดฉาก โดยให้อีกฝ่ายไปทำเรื่องนัดทานข้าวกับผมผ่านคุณ ถึงตอนนั้นคุณก็แค่เก็บเงินค่านายหน้ากับเขา ส่วนที่เหลือก็ไม่ต้องทำอะไรแล้ว”
หงห้าพูดยิ้มๆว่า “ว้าว มีเรื่องดีๆแบบนี้ด้วยเหรอ?! แล้วฉันต้องเก็บเงินค่านายหน้าเขาเท่าไหร่ถึงจะเหมาะสมล่ะ?”
เว่ยเลี่ยงเอ่ยพูดขึ้นมาว่า “อาจารย์เย่บอกว่า ให้คุณเก็บกับเขาห้าล้าน”
“ว่าไงนะ?!” หงห้าได้ยินแบบนั้น ก็ตกใจอ้าปากค้างจนคางแทบจะตกพื้น หลุดพูดออกไปว่า “แค่นัดทานข้าว ต้องจ่ายห้าล้านเลยเหรอ?!”
เว่ยเลี่ยงพูดขำๆว่า “ใช่ครับ ห้าล้าน อีกอย่างเป็นดอลล่าด้วย”
“ห้าล้านดอลล่า?!” หงห้าอ้าปากค้างอีกครั้ง เอ่ยพูดขึ้นว่า “ไอ้หนุ่ม….นายนี่ก็อยู่เป็นเนอะ….ค่าตัวนัดทานข้าวกับนาย แพงกว่าค่าตัวบัฟเฟตต์อีก!”
เว่ยเลี่ยงเอ่ยพูดอย่างแหยๆ “ท่านหงห้าอย่าล้อผมสิครับ ที่ราคาต้องแพงขนาดนี้ เป็นเพราะความเก่งกาจของอาจารย์เย่ทั้งนั้น คุณเองก็รู้ ผมก็แค่จัดการแทนอาจารย์เย่ เป็นแค่จิ้งจอกที่อาศัยบารมีเสือเท่านั้นแหละครับ…..”
หงห้าพยักหน้า เอ่ยพูดว่า “ฉันเข้าใจแล้ว งั้นเดี๋ยวฉันโทรไปถามรายละเอียดกับอาจารย์อีกทีแล้วกันนะ”
“ครับ!”