บทที่ 11 เล่มที่ 303 ข้าจะไปในตัวเมืองกับเจ้า

ทะลุมิติไปเป็นภรรยาชาวสวนของท่านบัณฑิต

เมื่อไฟในเตาไฟลุกโชน เซียวยวี่จึงใส่ฟืนสองท่อนเข้าไป อาจเพราะไม่ได้ยินเสียงของเซี่ยยวี่หลัว เขาเงยหน้าขึ้นมองนางแวบหนึ่ง เห็นนางกำลังมองเขาด้วยอาการเหม่อลอย

กระทั่งเขามองนางอยู่ นางก็ยังไม่รู้ตัว

ไม่รู้ว่ามองอยู่นานเพียงใด ริมฝีปากบางของเซียวยวี่จึงเม้มปากเล็กน้อย ส่งเสียงหัวเราะออกมา

เซี่ยยวี่หลัวผงะไป “เจ้าหัวเราะอะไร? ” นางเรียกสติคืนกลับมา จึงสบเข้ากับสายตาของเซียวยวี่พอดี

เซียวยวี่บุ้ยปากไปทางกระทะเหล็ก “มีควันลอยขึ้นจากกระทะแล้ว” เขาก้มหน้า นำท่อนฟืนที่ลุกไหม้ออกมาหนึ่งท่อน

หากไฟแรงกว่านี้ ก้นกระทะคงถูกเผาจนทะลุ

เซี่ยยวี่หลัวหันมองไปในกระทะ มีควันลอยขึ้นแล้วจริงๆ

เซี่ยยวี่หลัวรีบหยิบขวดน้ำมันขึ้นมาเทน้ำมันลงไปในกระทะด้วยท่าทางลุกลี้ลุกลน ผ่านไปเพียงครู่เดียว ก็เริ่มมีควันลอยขึ้นจากน้ำมัน

นางรู้สึกอับอายแทบตาย

กระทะไหม้ขนาดนี้แล้ว นางมองเซียวยวี่ไปนานเพียงใดกัน?

แทบอยากหารูบนพื้นมุดหนีไปเสีย

เมื่อน้ำมันร้อนแล้ว เซี่ยยวี่หลัวจึงรีบเทกระเทียมและขิงที่ตบไว้แล้วลงกระทะไป นางใส่จันทน์แปดกลีบทั้งหมดที่ซื้อมาจากข้างทางลงไปในกระทะ เจียวจนหอม จากนั้นจึงเทถั่วแระลงไปในกระทะและเริ่มผัด

คราวนี้นางไม่กล้าชำเลืองมองไปทางอื่นตามอำเภอใจอีก นางยังคาดหวังจะใช้ของในกระทะนี้หาเงินให้ที่บ้าน!

เพราะก่อนหน้านี้ต้มถั่วแระในน้ำเปล่าแล้ว ตอนนี้ผัดถั่วแระเพียงครู่เดียว ก่อนเติมน้ำต้มถั่วแระเมื่อครู่อีกเล็กน้อย ต้มครู่หนึ่ง ใส่เกลือเพื่อปรุงรสชาติ ก็ตักขึ้นจากกระทะได้แล้ว

ถั่วแระผ่านการต้มมาก่อน ยังเป็นสีเขียวอ่อน ดูแล้วน่ากินเป็นพิเศษ

เด็กสองคนได้กลิ่นหอมจึงมาตามกลิ่นราวกับเป็นแมวจอมตะกละก็มิปาน

“พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านต้มถั่วแระอีกแล้วหรือขอรับ? หอมเหลือเกิน! ” เซียวจื่อเซวียนสูดดมกลิ่น เดินไปพลางกล่าวไปพลาง

เซี่ยยวี่หลัวตักขึ้นมาจนเต็มหนึ่งชามใหญ่ ยิ้มพร้อมกล่าว “ลูกแมวจอมตะกละ มีอาหารอร่อยอะไรก็ปิดบังพวกเจ้าไม่ได้เลย”

เซียวจื่อเมิ่งกัดกินถั่วแระหนึ่งเม็ดที่เซี่ยยวี่หลัวใช้มือป้อนให้ กล่าวด้วยอาการร้อนปาก “มีอาหารอร่อย คนแรกที่พี่สะใภ้ใหญ่คิดถึงก็คือพวกเรานี่เจ้าคะ”

เซี่ยยวี่หลัวรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก ลูบศีรษะเซียวจื่อเมิ่ง แสร้งทำเป็นกล่าวเชิงตำหนิ “ไม่เสียแรงที่ข้าเอ็นดูลูกแมวจอมตะกละอย่างเจ้า”

เมื่อเห็นบทสนทนาน่าสนใจของทั้งสามคนที่อยู่ข้างเตาปรุงอาหาร เซียวยวี่ที่นั่งอยู่ด้านหลังเตาไฟก็แสดงสีหน้าดีใจ

เซี่ยยวี่หลัวตักถั่วแระชามโตให้เด็กสองคน จากนั้นจึงกล่าว “พี่สะใภ้ใหญ่จะเข้าไปในตัวเมือง ขายถั่วแระพวกนี้ให้เซียนจวีโหลว พวกเจ้าคิดว่าเซียนจวีโหลวจะรับซื้อหรือไม่? ”

เซียวยวี่เงยหน้าขึ้นมองเซี่ยยวี่หลัว

ขายถั่วแระให้เซียนจวีโหลว? นางมีความคิดเช่นนี้ได้อย่างไร?

ทว่า ถั่วแระของนางต้มได้อร่อยเป็นพิเศษ เซียนจวีโหลวน่าจะรับซื้อ

เซียวจื่อเซวียนใส่ถั่วแระเข้าปากไม่หยุด พยักหน้าพร้อมกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ต้องซื้อแน่นอนขอรับ ถั่วแระที่พี่สะใภ้ใหญ่ทำอร่อยถึงเพียงนี้ อร่อยจนข้าแทบกัดลิ้นขอรับ”

เซียวจื่อเมิ่งก็กล่าวเสียงใส “พี่สะใภ้ใหญ่เก่งกาจเหลือเกินเจ้าค่ะ ทำอาหารเป็นทุกอย่างเลย”

เมื่อครู่เซี่ยยวี่หลัวเพียงถามเด็กสองคนไปตามเรื่องตามราว นางย่อมรู้ว่าถั่วแระนี่ขายออกแน่นอน นอกจากนั้น ต้องขายดีมากแน่

“เช่นนั้นก็ได้ พี่สะใภ้ใหญ่ไปก่อน” เซี่ยยวี่หลัวยิ้มพร้อมกล่าว “ตอนเที่ยงพี่สะใภ้ใหญ่จะซื้อเนื้อหมูกลับมา ตอนเย็นพวกเรากินของดีกัน”

พอได้ยินว่าตอนเย็นจะได้กินเนื้อหมูอีกแล้ว เด็กสองคนหัวเราะอย่างร่าเริง “โอ้ๆ มีของอร่อยอีกแล้ว”

เซี่ยยวี่หลัวก็หัวเราะตาม จากนั้นจึงเหลือบไปเห็นเซียวยวี่ที่นั่งอยู่หลังเตาไฟ รอยยิ้มบนใบหน้าเซี่ยยวี่หลัวพลันแข็งทื่อ ทำไมเขาถึงยังไม่ไปอีก?

ไม่ต้องอ่านตำราหรืออย่างไร? ว่างถึงเพียงนี้เชียว!

เซียวยวี่เงยหน้าขึ้นมองเซี่ยยวี่หลัวแวบหนึ่ง จากนั้นจึงตบฝุ่นบนตัวพร้อมลุกขึ้นยืน “ข้าไปกับเจ้า”

เซี่ยยวี่หลัวโบกมือไม่หยุด “ไม่ต้อง ไม่ต้อง คือ ข้าไม่รบกวนเวลาของเจ้าดีกว่า เจ้าอ่านตำราเถอะ! ”

เซียวยวี่มองนาง

เซี่ยยวี่หลัวกล่าวอีก “เด็กสองคนอยู่ที่บ้าน ข้าเองก็ไม่วางใจ”

เซียวยวี่หันมองสองพี่น้อง ก่อนสาวเท้าเดินออกไปข้างนอก “ข้าไปเปลี่ยนชุดก่อน”

ไม่ฟังเซี่ยยวี่หลัวเลยแม้แต่น้อย

เซี่ยยวี่หลัวยิ้มขม ท่านเป็นคนที่เห็นเวลาสำคัญยิ่งชีพไม่ใช่หรือ? ได้ยินมาว่าพอมีเวลาก็จะอ่านตำราเขียนหนังสือทันที ทำไมท่านถึงต้องเสียเวลากับเรื่องเล็กพวกนี้ด้วยเล่า?

นอกจากนั้น สองพี่น้องเปรียบเสมือนชีวิตของท่านไม่ใช่หรือ? จื่อเมิ่งเพิ่งเกือบจะโดนลักพาตัวไป ท่านวางใจปล่อยให้เด็กสองคนอยู่ที่บ้านตามลำพังหรือ?

เซียวจื่อเซวียนที่อยู่ข้างๆ รีบกล่าวเสริม “พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านวางใจได้ขอรับ ข้าจะดูแลน้องสาวดีๆ ข้าจะมองนางอย่างตาไม่กะพริบแน่นอนขอรับ”

เซียวจื่อเมิ่งได้รับสัญญาณจากพี่รอง จึงกล่าวเสียงใส “พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านวางใจได้เจ้าค่ะ ข้าจะเชื่อฟังพี่รองดีๆ ไม่วิ่งซนแน่นอนเจ้าค่ะ”

เซี่ยยวี่หลัว “…” เด็กสองคนว่าง่ายรู้ความถึงเพียงนี้ นางย่อมวางใจ

เพียงแต่ ทำไมถึงเกิดความรู้สึกราวกับถูกเด็กสองคนหักหลังได้เล่า?

เหมือนว่าความรู้สึกนี้ ไม่ค่อยดีเท่าไรเลย

เซี่ยยวี่หลัวตักถั่วแระที่ต้มเสร็จแล้วใส่ในชามใหญ่ที่มีฝาปิด ใส่ลงในตะกร้า ใช้ผ้าปิดด้านบนไว้ จากนั้นจึงหิ้วตะกร้าเดินออกไป เซียวยวี่ยังไม่ออกมา เซี่ยยวี่หลัวจึงไปยังห้องโถงเพื่อช่วยเก็บชามกับตะเกียบให้เด็กสองคนก่อน

พอเข้าไปในห้อง เซียวจื่อเมิ่งจึงกล่าว “พี่สะใภ้ใหญ่ พี่ใหญ่ยังกินข้าวไม่เสร็จเลยเจ้าค่ะ! ”

เซี่ยยวี่หลัวผงะไป “กินไม่เสร็จ? ”

ในชามของเซียวยวี่ยังเหลือโจ๊กครึ่งชามที่ยังกินไม่หมดจริงด้วย

เซียวยวี่ไม่เคยเหลือข้าวหรือกับข้าวไว้ เหตุใดวันนี้ถึงเหลือโจ๊กมากขนาดนี้?

โจ๊กเย็นแล้ว

เซี่ยยวี่หลัวกล่าว “พี่ใหญ่กินอิ่มแล้วอย่างนั้นหรือ? ” เช้านี้ไม่ได้ต้มมากเกินไปนี่นา ต้มปริมาณเท่าปกติ

หรือว่าวันนี้ท่านราชบัณฑิตน้อยไม่สบาย?

แต่ดูจากสีหน้าก็ยังดีนี่นา ท่าทางไม่เหมือนคนป่วย

เซียวจื่อเมิ่งส่ายหน้า “พอท่านไป พี่ใหญ่ก็ไม่ได้กินต่อเจ้าค่ะ บอกว่าจะรอท่านกลับมา รออยู่ครู่ใหญ่ พี่ใหญ่เห็นท่านไม่กลับมา จึงไปหาท่านเจ้าค่ะ”

เซี่ยยวี่หลัวเพิ่งตระหนัก

ตอนที่เซียวยวี่ยกข้าวไปให้นาง ตัวเขาเองยังกินข้าวไม่เสร็จ!

นางนึกว่าเขากินเสร็จแล้ว

เซี่ยยวี่หลัวเม้มปาก ก่อนกล่าว “โจ๊กเย็นแล้ว กินไม่ได้ ข้าจะเอาไปอุ่นให้พี่ใหญ่ของเจ้าก่อน”

นางยกชามข้าวเพิ่งเดินออกจากประตู เซียวยวี่ก็เดินออกมาแล้ว

ทั้งสองคนยืนหันหน้าเข้าหากันอยู่หน้าประตู

เซียวยวี่ “ข้ายังกินไม่เสร็จ” เขาเอื้อมมือไปรับชามของตัวเองมา

เซี่ยยวี่หลัวเบี่ยงมือหลบออกด้านข้างเล็กน้อย “โจ๊กเย็นแล้ว หากกินต่อจะไม่สบายท้อง ข้าจะนำไปอุ่นให้เจ้าก่อน”

เซียวยวี่กล่าวอย่างเรียบสงบ “ไม่ได้บอบบางถึงเพียงนั้น”

กล่าวจบ เขาเอื้อมมือไปหยิบชามข้าวของตัวเอง กินโจ๊กที่เหลืออีกครึ่งชามลงท้องไป

เซี่ยยวี่หลัวยืนอยู่ตรงข้าม ดูเขากินคำแล้วคำเล่า

โจ๊กเย็นชืดเกาะตัวจนข้นแล้ว เซียวยวี่ไม่สนใจแม้แต่น้อย กินโจ๊กครึ่งชามหมดอย่างรวดเร็ว

ไม่ปล่อยให้เสียเปล่าแม้แต่หยดเดียว