ประตูสำริดปิดสนิท บนนั้นมีลายเมฆลึกลับสลักอยู่ มีคลื่นพลังระเบียบล้อมพื้นผิวประตูอยู่รางๆ น่าพิศวงนัก

“มรดกอมตะที่เก็บอยู่ในตำหนักที่เก้านี้มีนามว่าตำรายุคสมัย เป็นสิ่งที่บรรพจารย์สำนักเราทิ้งไว้ให้เมื่อนานมาแล้ว”

เจี่ยงเยี่ยพูดเบาๆ อยู่ข้างๆ

ตำรายุคสมัย!

หลินสวินตาเปล่งประกาย ในใจก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาเล็กน้อย

“คิดว่าเจ้าคงรู้อยู่แล้วว่ามรดกของมรรคาอมตะแทบไม่อาจสืบทอดได้ เพราะมรรคาที่เกี่ยวข้องไม่เหมือนกัน ต่อให้เอาสิ่งที่ตนได้จากการหยั่งรู้มาเขียนเป็นตำราทิ้งไว้ ผู้ฝึกปราณคนอื่นก็ไม่อาจหยั่งรู้นัยเร้นลับอะไรจากในนั้นได้”

เจี่ยงเยี่ยเอ่ย “แต่ตำรายุคสมัยต่างออกไป สิ่งที่มันบันทึกคือการอนุมานและความเปลี่ยนแปลงของมรรคาอมตะ ไม่ว่าใครได้อ่านก็จะเกิดความรู้สึกและการรับรู้ที่แตกต่างกันไป”

“ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดที่ผ่านมานี้ คนที่มาอ่านตำรายุคสมัยในสำนักเรามีไม่น้อย แต่นัยเร้นลับที่ได้จากการหยั่งรู้กลับต่างกันไปตามแต่ละคน”

“มีคนหยั่งรู้นัยเร้นลับอมตะบางอย่าง พลันรู้แจ้งทันที”

“มีคนหยั่งรู้อยู่นานก็ไม่ได้อะไรเลย”

“ว่ากันถึงที่สุด แทนที่จะบอกว่าตำรายุคสมัยเป็นมรดกอมตะ กลับเหมือนเป็นการพรรณนาถึงมรรคาอมตะเสียมากกว่า ไม่ได้มีมรดกวิชาที่สามารถหยิบยืมเป็นตัวอย่างหรืออ้างอิงได้อย่างชัดเจน”

ฟังถึงตรงนี้หลินสวินค่อยๆ เข้าใจขึ้นแล้ว

จู่ๆ เขาก็นึกถึงมรดก ‘ตำราเทพไร้ขอบเขต’

เมื่อมรดกลายเทพเก้าลายหลอมรวมเป็นหนึ่งก็จะกลายเป็นลายเทพไร้ขอบเขต

และจากลายเทพไร้ขอบเขต ก็สามารถอนุมานและเปลี่ยนแปลงนัยเร้นลับของศาสตร์สลักวิญญาณได้เช่นกัน

นี่เหมือนจะประโยชน์ทำนองเดียวกับตำรายุคสมัย

‘หรือลายเทพไร้ขอบเขตก็เป็นมรดกอมตะอย่างหนึ่ง’ หลินสวินจิตใจปั่นป่วน

เจี่ยงเยี่ยไม่ได้รู้ว่าหลินสวินคิดอะไรอยู่ เอ่ยว่า “ถ้าเจ้าเตรียมตัวพร้อมข้าก็จะเปิดประตูสำริดบานนี้ให้เจ้า หยั่งรู้อะไรได้ก็ขึ้นอยู่กับตัวเจ้าเองแล้ว”

หลินสวินสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง เอ่ยว่า “รบกวนผู้อาวุโสแล้ว”

เจี่ยงเยี่ยไม่พูดอะไรอีก เอายันต์มรรคคร่ำคร่าชิ้นหนึ่งออกมาโบกเบาๆ

ทันใดนั้นบนประตูสำริดที่ปิดสนิทบานนั้น พลังระเบียบไหวเคลื่อนปั่นป่วน แปลงเป็นเส้นทางวกวนอันลึกลับเส้นหนึ่ง

“ถือยันต์มรรคชิ้นนี้ไว้ให้ดี ตอนหยั่งรู้ในนั้นจะไม่มีใครรบกวนเจ้า ถ้าต้องการออกมาขอเพียงขยี้ยันต์มรรคนี้ให้แหลกก็พอ”

เจี่ยงเยี่ยส่งยันต์มรรคชิ้นหนึ่งให้หลินสวิน

“ขอบคุณผู้อาวุโส” หลินสวินกุมมือคารวะ จากนั้นก็เดินตรงเข้าไปในเส้นทางวังวนนั้น

ฮูม!

เมื่อเงาร่างเขาหายลับไป เส้นทางวังวนที่อยู่บนประตูสำริดนั้นก็หายไปพร้อมคลื่นปั่นป่วนระลอกหนึ่ง

เจี่ยงเยี่ยยืนเงียบอยู่ที่เดิมพักหนึ่งถึงหมุนตัวจากมา

ในเรือนน้อยเขาแรกมายา

ที่นี่เป็นที่ฝึกปราณของรองหัวหน้าหอตู๋กูยง

‘เจ้าหมอนี่เพิ่งเข้าหอแรกนภาไปเมื่อวาน วันนี้ก็มายืมอ่านตำรายุคสมัยแล้ว เช่นนี้ดูท่าเขาคงสัมผัสได้ว่าสถานการณ์ของตนไม่สู้ดีเหมือนกัน’

พอได้ยินรายงานของเจี่ยงเยี่ย ตู๋กูยงก็ครุ่นคิด

“คนพวกนั้นทำเกินไปจริงๆ พยายามจัดการหลินสวินก่อนกลายเป็นระดับอมตะ ถ้าหลินสวินอยากหลบเลี่ยงอันตรายอะไรที่จะเกิดขึ้นในภายหน้าอีก เรื่องเร่งด่วนย่อมเป็นการยกระดับปราณของตน”

เจี่ยงเยี่ยเอ่ยเรียบๆ

“เจ้าแห่งมรรคสวรรค์ฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเจ้าหนุ่มนี่ คิดว่าเขาจะเหยียบย่างบนมหามรรคอมตะที่ไม่เหมือนผู้ใดในโลก แตกต่างจากอดีต เพราะเหตุนี้จึงยั่วให้ศัตรูคู่แค้นพวกนั้นหวั่นกลัว พวกเขาก็ย่อมไม่มีทางยอมให้เจ้าหนุ่มนี่เหยียบย่างลงบนระดับนี้ได้อย่างราบรื่น”

ตู๋กูยงแววตาลุ่มลึก “แต่ถ้าเจ้าหนุ่มนี่บรรลุระดับนี้ได้จริงๆ สำหรับคนอย่างพวกเราแล้วกลับเป็นเรื่องดี”

“ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดที่ผ่านมา ลัทธิพ่อมดมีผู้มากความสามารถปรากฏตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง อำนาจยิ่งเกรียงไกร มีท่าทีว่าจะอยู่เหนือลัทธิแรกกำเนิดของพวกเราอยู่กลายๆ”

“ลัทธิฌานสั่งสมกำลัง เก็บตัวประกอบกิจ แม้ไม่เผยร่องรอยมานานแล้ว แต่รากฐานพลังของลัทธิยากหยั่งถึงยิ่งกว่าลัทธิพ่อมดเสียอีก”

“ลัทธิวิญญาณสอนสั่งทุกคนมิแบ่งแยก ว่างเปล่านิ่งเฉย แม้ภายในสำนักก็มีปัญหาเรื้อรังและภัยร้ายซ่อนอยู่ แต่เทียบกันแล้วยังสภาพดีกว่าลัทธิแรกกำเนิดของพวกเราอยู่บ้าง”

พูดถึงตรงนี้ตู๋กูยงถอนใจเบาๆ เฮือกหนึ่ง เอ่ยว่า “ว่ากันถึงที่สุดแล้ว ในสี่หอบรรพจารย์ กลับเป็นพวกเราลัทธิแรกกำเนิดที่ตอนนี้อ่อนแอที่สุด”

เจี่ยงเยี่ยฟังอยู่เงียบๆ จนจบก็ถามอย่างอดไม่ได้ว่า “ตามความเห็นของท่าน เหตุใดลัทธิแรกกำเนิดของเราจึงมีสภาพเช่นนี้”

“พูดไปก็ซับซ้อน”

ตู๋กูยงครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “พูดแบบง่ายๆ สาเหตุมีสองอย่าง”

“หนึ่ง ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดที่ผ่านมานี้ กำลังพลของขุมอำนาจยักษ์ใหญ่น่านฟ้าที่แปดเหล่านั้นแทรกซึมมาทั่วทั้งลัทธิแรกกำเนิดแล้ว ถึงตอนนี้พวกเขาครอบครองอำนาจมากมายในลัทธิแรกกำเนิดไปแล้ว”

“ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่ช้าก็เร็วสักวันหนึ่งหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดก็จะตกลายเป็นสวนดอกไม้หลังบ้านขุมอำนาจยักษ์ใหญ่น่านฟ้าที่แปดพวกนั้น”

เจี่ยงเยี่ยดวงตานิ่งขึง “แฝงตัวยึดครองหรือ”

ตู๋กูยงเอ่ย “พูดแบบนี้ก็ได้

เจี่ยงเยี่ยถอนใจอย่างห้ามไม่ได้

ภายในเก้ายอดเขาใหญ่ในลัทธิแรกกำเนิดตอนนี้ นอกจากยอดเขาที่เก้าแล้ว ยอดเขาอื่นล้วนมีคนจากยักษ์ใหญ่อมตะน่านฟ้าที่แปดแฝงตัวอยู่

ไม่เป็นศิษย์สืบทอดแท้จริง ศิษย์แกนหลัก

ก็เป็นผู้อาวุโส ผู้นำยอดเขา

ขุมอำนาจเหล่านี้ร่วมมือกัน รวมตัวเป็นหนึ่ง ครอบครองอำนาจในเก้ายอดเขาใหญ่ไปเกินครึ่งแล้ว!

อย่างผู้นำยอดเขาที่สองอวิ๋นเทียนหมิงและผู้นำยอดเขาที่สามหนานป๋อหง ต่างมาจากสี่ตระกูลตงหวง และตระกูลที่อยู่เบื้องหลังพวกเขาก็มีตระกูลตงหวงเป็นม้านำทัพมาโดยตลอด

และอย่างผู้นำยอดเขาที่สี่มู่อวิ๋นเจิง ยังมาจากตระกูลมู่น่านฟ้าที่แปด!

สภาพนี้มีอยู่ในสามหอเช่นกัน

พูดได้ว่ายักษ์ใหญ่อมตะน่านฟ้าที่แปดเหล่านั้นแทรกซึมไปทั้งลัทธิแรกกำเนิดแล้ว ถ้าสถานการณ์เช่นนี้ดำเนินต่อไป เป็นไปได้สูงยิ่งว่าอาจเกิดเหตุการณ์ ‘เข้ายึดครอง’ จริงๆ

ตู๋กูยงหยุดไปครู่แล้วเอ่ยต่อว่า “สำหรับเหตุผลที่สอง ก็เกี่ยวโยงถึงเรื่องบางเรื่องของน่านฟ้าที่เก้า สภาพเช่นนี้ในสำนัก ไม่ว่าใครล้วนมองเห็น แต่คิดจะเปลี่ยนกลับยากนัก”

“สาเหตุก็อยู่ที่เมื่อนานมาแล้วหลังจากเจ้าลัทธิจากไป จนตอนนี้ยังข่าวคราวเงียบหาย อีกทั้งหัวหน้าหอแรกพิสุทธิ์โหยวเป่ยไห่ก็กำลังอยู่ในช่วงสำคัญของการแจ้งมรรคนิรันดร์ ส่วนหัวหน้าหอแรกนภาประสบเคราะห์มรรคเหลือเพียงพลังจิต”

“ด้านหัวหน้าหอแรกมายาของพวกเรา… ผ่านมานานหลายปีแล้วขนาดข้ายังไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่”

พูดถึงตรงนี้ตู๋กูยงก็นิ่วหน้าอย่างอดไม่ได้

หลายปีมานี้ถ้ามีหัวหน้าหอแรกมายาควบคุมสถานการณ์ ภายในสำนักย่อมไม่มีทางเกิดเรื่องมากมายขนาดนี้ แต่หัวหน้าหอผู้นี้ดันจำศีลในถ้ำสวรรค์ของตนมาตลอด หลายปีนี้ไม่สนใจเรื่องราวในโลกภายนอกสักนิด

อย่าว่าแต่คนอื่น ขนาดรองหัวหน้าหออย่างตู๋กูยงยังไม่ได้พบหัวหน้าหอผู้นี้มานานแล้ว

“ใต้เท้า เรื่องพวกนี้เกี่ยวอะไรกับน่านฟ้าที่เก้าอีกหรือ” เจี่ยงเยี่ยเอ่ยถาม

ตู๋กูยงพูดเนิบๆ ว่า “ถ้ายักษ์ใหญ่อมตะน่านฟ้าที่แปดพวกนั้นไม่ได้เผ่าเทพนิรันดร์น่านฟ้าที่เก้าสนับสนุน เกรงว่าจะไม่กล้าแทรกแซงลัทธิแรกกำเนิดเช่นนี้สักนิด และหลายปีนี้เจ้าลัทธิยังไร้ข่าวคราว เป็นไปได้สูงยิ่งว่าจะเจอเรื่องอะไรที่น่านฟ้าที่เก้าเช่นกัน”

เจี่ยงเยี่ยพอจะเข้าใจรางๆ แล้ว เอ่ยว่า “เรื่องราวออกจะซับซ้อนและรับมือยากจริงๆ”

“ไม่ต้องสนใจเรื่องพวกนี้ ตอนนี้การปรากฏตัวของผู้สืบทอดคีรีดวงกมลหลินสวินกลับเป็นโอกาสครั้งหนึ่ง เพราะศัตรูคู่แค้นของคีรีดวงกมลเป็นปัญหาเรื้อรังและภัยร้ายแฝงอยู่ในสำนักพวกเราพอดี อีกทั้งบนตัวเจ้าหมอนี่ยังมีความทุ่มเททั้งหมดของเจ้าแห่งคีรีดวงกมล ภายหน้าย่อมไร้ขีดจำกัด”

ตู๋กูยงแววตาลุ่มลึก “ข้าตั้งตาคอยนัก ถ้าเขาแข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปได้ เช่นนี้แล้วอาจจะคลี่คลายภัยซ่อนเร้นบางอย่างภายในสำนักได้”

เจี่ยงเยี่ยสะท้านใจ พูดว่า “อย่างนี้นี่เอง”

“เจ้าไปเฝ้าเขาตำราดีๆ อย่าให้ใครมาก่อกวนการฝึกปราณของเจ้าหมอนี่เด็ดขาด”

ตู๋กูยงเอ่ยกำชับ “อีกอย่าง เมื่อเจ้าหมอนี่ตัดสินใจแจ้งมรรคบรรลุระดับ จำไว้ว่าต้องบอกข้าทันที ถึงเวลานั้นข้าไม่ถือว่าจะต้องเป็นผู้ปกป้องเจ้าหมอนี่สักครั้ง!”

เจี่ยงเยี่ยรับคำสั่งจากไป

……

วันนี้ทั้งลัทธิแรกกำเนิดต่างร่ำลือกันว่าหลินสวินเข้าไปในเขาตำราจะอ่านมรดกอมตะ ดึงดูดสายตานับไม่ถ้วนทันที

ขนาดคนที่ไม่รู้สถานการณ์ยังรู้ว่าหลินสวินคิดจะเตรียมทะลวงมรรคาอมตะ!

และคนที่รู้เบื้องหลังเหล่านั้นก็รู้สึกต่างกันไป

ผู้ที่มองหลินสวินเป็นศัตรูย่อมไม่อาจยอมให้หลินสวินทะลวงมรรคาอมตะ

คลื่นใต้น้ำถาโถมในทันที!

……

ตำหนักที่เก้า เขาตำรา

ใจกลางตำหนักอันเวิ้งว้างว่างเปล่ามีแค่ม้วนตำราเล่มหนึ่งลอยอยู่เพียงลำพัง อบอวลไปด้วยกลิ่นอายอมตะลึกลับ

หลินสวินเดินไปข้างหน้า จับจ้องม้วนตำรา ไม่ได้มองปริศนาอะไรออก

แต่พอจิตรับรู้เขาแทรกเข้าไปในนั้น จู่ๆ ภาพประหลาดพิสดารยากบรรยายนับไม่ถ้วนก็ผุดขึ้นในหัวใจอย่างกับเขาถล่มสมุทรคำราม การรับรู้ทั้งหมดพลันหายไป

ฉับพลันท่ามกลางความมืดมิด เสียงอสนีบาตทึบหนักดังขึ้นระลอกหนึ่ง จากนั้นความมืดก็ถูกทำลายลงเหมือนไอขุ่นมัวแรกกำเนิดแยกออกจากกัน ณ บัดนี้

กลิ่นอายเบิกฟ้าผ่าดินอุบัติขึ้น ล้วนเผยทิวทัศน์แห่งยุคบุพกาลแรกดึกดำบรรพ์

ไอแผ่วเบาลอยสูงขึ้นกลายเป็นฟ้า ไอขุ่นหนักจมลงรวมตัวเป็นผืนดินอย่างช้าๆ พลังบ่อเกิดแรกกำเนิดแปลงเป็นมหามรรคนับหมื่นพันอบอวลอยู่กลางฟ้าดิน จากนั้นจึงรวมตัวเป็นสุริยันจันทราดารา ภูผาธาราสรรพสิ่ง กฎเกณฑ์หลักการ…

ไม่นานนักสิ่งมีชีวิตต่างๆ เริ่มอุบัติ ดำรงเผ่าพันธุ์ไม่ขาดสาย ต้นไม้ใบหญ้าและหินผาก็เริ่มเกิดสติปัญญาขึ้นช้าๆ ท่ามกลางไอมหามรรค ให้กำเนิดภูตและร่างวิญญาณ ชีวิตนับไม่ถ้วนถือกำเนิดขึ้นในทะเลสาบภูผาธารานั้น เหนือผืนพสุธาสัตว์บกสัตว์ปีกยังเริ่มปรากฏตัว…

นั่นเป็นยุคแรกเริ่ม ฟ้าดินแรกเบิก สรรพสิ่งเริ่มกำเนิด ทุกอย่างแสดงภาพดั้งเดิม

จนต่อมาเผ่าพันธุ์อารยธรรมต่างๆ ก็ปรากฏ เมื่อกาลเวลาผันแปร อารยธรรมต่างๆ ก็ขัดแย้งและหลอมรวมกันไม่สิ้นสุด ทำให้โลกใบนั้นเปลี่ยนแปลงและแปรสภาพไม่หยุด…

เรื่องราวบนโลกเกิดดับ กาลเวลาผันผ่าน อารยธรรมฝึกปราณนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นเหมือนฟองคลื่น จากนั้นก็หายลับไป เงาร่างอันโดดเด่นตระการตาแต่ละร่างเยื้องย่างบนมหามรรค เดินอยู่ท่ามกลางกาลเวลา เสาะหาแก่นจริงแท้แห่งอมตะนิรันดร์

ในที่สุด มีคนแจ้งมรรคอมตะ

มรรคาอมตะปรากฏแล้ว ไม่ว่ากาลเวลาจะชะล้างอย่างไรก็ไม่ดับสูญ!

นั่นเป็นมหายุคทองที่อารยธรรมฝึกปราณวิวัฒน์ถึงขีดสุด เปล่งประกายตระการตา ประหนึ่งสั่งสมและตกตะกอนมาในกาลเวลาไร้สิ้นสุด ในที่สุดก็หากุญแจที่สามารถก้าวล่วงวัฏจักรโลกเจอ!

ยามรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายของมรรคาอมตะนี้ หลินสวินที่จิตใจเลื่อนลอยอยู่ก็รู้สึกตื่นเต้นและปรีดาขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

มรรคาอมตะนั้นเป็นพลังที่เขาหมายไขว่คว้า!

กระนั้นไม่นานนัก เมื่อเสียงสายฟ้าฟาดอันน่ากลัวระลอกหนึ่งดังขึ้นบนสายธารแห่งกาลเวลา ความตื่นเต้นและยินดีในใจของหลินสวินก็ถูกความหวาดกลัวหวั่นผวาอันเย็นเยียบเข้าแทนที่ทันที

——