บทที่ 1 องค์หญิง (รีไรท์)

บทที่ 1 องค์หญิง (รีไรท์)

“เสี่ยวเป่า เจ้าเด็กขี้เกียจ ไก่ก็ไม่เลี้ยง บ้านช่องก็ไม่ทำความสะอาดเช็ดถู ข้าจะทุบตีเจ้าให้ตาย!”

ณ หมู่บ้านเล็ก ๆ บนภูเขาอันเงียบสงบในตอนเช้าตรู่ ทะเลหมอกสีขาวทอดยาว เสียงไก่ขันปลุกความวังเวง สตรีร่างอ้วนในชุดเนื้อผ้าหยาบผู้หนึ่ง ยืนเท้าสะเอวส่งเสียงคำรามอยู่ที่หน้าประตูบ้าน

เด็กน้อยที่นางเรียกหากำลังซ่อนตัวอยู่ที่มุมหนึ่งของห้องเก็บฟืน มือน้อย ๆ ที่เปรอะเปื้อนหยิบผลไม้สีเขียวลูกเล็กขึ้นมากิน

“ไม่เห็นอร่อยเลย”

เด็กหญิงตัวน้อยอายุเพียงสามขวบ ทว่าเนื้อตัวกลับมอมแมม เส้นผมสีดำพันยุ่งเหยิงทำให้รูปลักษณ์ของเจ้าตัวดูน่าเกลียด แต่จะเห็นได้ราง ๆ ว่าผิวพรรณที่แท้จริงของเด็กน้อยนั้นขาวเนียนราวหิมะ ใบหน้าเป็นสัดส่วนทองคำ ดวงตากลมโตเฉกเช่นลูกกวางน้อย เผยให้เห็นความบริสุทธิ์ไร้เดียงสาของเด็กเล็ก

เด็กหญิงย่อตัวนั่งอยู่ที่พื้นสกปรก สองมือประคองผลไม้สีเขียวไว้ แม้จะเจ็บแก้มและใบหน้าได้รูปก็บิดเบี้ยวตามรสชาติผลไม้ที่ไม่อร่อย แต่นางจำเป็นต้องทานมันต่อไป

ถ้าไม่กินมัน เสี่ยวเป่าก็จะหิวมาก ๆ และนี่คือสิ่งเดียวที่นางทานได้ในตอนนี้

เพราะท่านป้าจะให้นางทานหมั่นโถวเพียงวันละหนึ่งลูกเท่านั้น

ตั้งแต่ท่านแม่จากไป ชีวิตของเด็กน้อยก็ตกต่ำลงและนางก็ต้องหิวตลอดทั้งวัน

เสี่ยวเป่านั่งลงกับพื้นด้วยความหดหู่ใจ มองแล้วดูน่าสงสารมาก

“ท่านแม่ เมื่อใดบิดาที่ท่านพูดถึงจะมารับเสี่ยวเป่าสักที”

ขณะที่เด็กหญิงพึมพำ เสียงตะโกนและเสียงดุด่าของท่านป้าที่อยู่ข้างนอกก็เหมือนจะหยุดชะงักลง และถูกแทนที่ด้วยเสียงฝีเท้าของม้าจำนวนมาก

“นี่คือบ้านสกุลซูของซูหว่านเหนียงใช่หรือไม่” เสียงของชายวัยกลางคนดังขึ้น

เมื่อซูเสี่ยวเป่าได้ยินใครบางคนเรียกชื่อของท่านแม่ หัวทุย ๆ พร้อมผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงก็โผล่ออกมาจากห้องเก็บฟืนอย่างระมัดระวัง

เมื่อเห็นสถานการณ์ข้างนอก ดวงตากลมโตของเด็กน้อยพลันเบิกกว้าง เพราะนางพบว่าท่านป้าที่มักจะดุด่านางกำลังพยักหน้าและโค้งคำนับให้กับผู้ที่นั่งอยู่บนหลังม้าในตอนนี้ ไม่เพียงเท่านั้น ใบหน้าที่แสนดุร้ายยังเต็มไปด้วยรอยยิ้มอีกด้วย

“ใต้เท้า ข้าขอถามหน่อยว่าซูหว่านเหนียงไปทำอะไรไว้? ข้ารู้ว่านางไม่ใช่คนดี แม้ว่าครอบครัวของเราจะเกี่ยวข้องกับนาง แต่คนก็ตายไปแล้ว นางทำอะไรไว้ย่อมไม่เกี่ยวข้องกับเราอีก”

สำหรับคนทั่วไปแล้ว การมีเจ้าหน้าที่จากทางการบุกมาถึงหน้าบ้านย่อมไม่ใช่เรื่องดี ด้วยเหตุนี้ หม่าซานเหนียงจึงต้องการพูดปัดสวะให้พ้นตัวตั้งแต่ต้น

“โกหก คนเลว แม่คนสวยของเสี่ยวเป่าเป็นคนดีมากต่างหาก!”

เมื่อได้ยินป้าพูดถึงท่านแม่เช่นนั้น ซูเสี่ยวเป่าจึงวิ่งโร่ออกมาปกป้องมารดาด้วยความโกรธ

“นังเด็กสารเลว!”

ทันทีที่หม่าซานเหนียงเห็นซูเสี่ยวเป่า นัยน์ตาก็ฉายแววดุดัน “ดีมาก ซูเสี่ยวเป่า ตอนข้าใช้ให้ทำงาน เจ้ากลับหายหัวเงียบ มาตอนนี้ยังกล้าวิ่งออกมาโต้เถียงกับผู้ใหญ่ นังเด็กพ่อแม่ไม่สั่งสอน*[1]!”

พูดจบ หญิงร่างอ้วนก็ยกมือหมายจะตบตีนาง

ซูเสี่ยวเป่าตอบสนองอย่างรวดเร็วโดยหลบไปซ่อนทางด้านข้าง

ทว่าตอนนี้เอง มีมือหนึ่งยื่นออกมาหยุดฝ่ามือของหม่าซานเหนียงไว้ “บังอาจ!”

วาจานี้ทรงพลังอย่างยิ่ง หม่าซานเหนียงหน้าถอดสีด้วยความตกใจทันที

เสี่ยวเป่ายังซ่อนตัวอยู่ข้างหลังชายผู้นั้น เด็กหญิงมองชายคนนั้นสลับกับป้าใจร้ายของตนเองไปมาด้วยนัยน์ตาสีดำขลับอันสดใส

ยามนี้ ท่านลุงของซูเสี่ยวเป่าก็รีบวิ่งออกมาจากบ้านพร้อมกับต้าจ้วง บุตรชายของพวกเขา

คนทั้งหมดรีบคุกเข่าและโขกหัวกับพื้นต่อหน้าขุนนางทันที ซูเถี่ยจู้ผู้เป็นลุงของเด็กหญิงเอ่ยถามอย่างระมัดระวังว่า

“ใต้เท้า มาทำอะไรที่บ้านของข้าน้อยหรือขอรับ?”

หลินเจิ้งชิงก้มมองพวกเขา แต่ก่อนจะได้พูดอะไร เขาก็รู้สึกว่าชายผ้าของตนเองถูกกระตุก

หลินเจิ้งชิงก้มศีรษะลงต่ำก็ได้เห็นดวงตากระจ่างใสอันงดงามคู่หนึ่ง

“ท่านเป็นบิดาของข้าใช่หรือไม่?”

หลินเจิ้งชิง “…”

ซูเถี่ยจู้ตกใจมากจนตวาดออกไปว่า “เสี่ยวเป่ากลับมาคุกเข่าเดี๋ยวนี้ เจ้าพูดจาเช่นนั้นกับใต้เท้าได้อย่างไร!”

หลินเจิ้งชิงยอบกายลงต่อหน้าซูเสี่ยวเป่า เขามองเด็กหญิงตัวน้อยตรงหน้า แม้ว่าใบหน้าของนางจะสกปรก แต่ก็พอเห็นเค้าหน้าเดิมได้ราง ๆ

“ข้าไม่ใช่พ่อของเจ้า แต่พ่อของเจ้าส่งข้าเพื่อมารับเจ้า”

น้ำเสียงของเขาอ่อนโยนมาก ทำเอาท่านลุงและท่านป้าของเด็กหญิงที่คุกเข่าอยู่บนพื้นเบิกตากว้างด้วยความตกใจ

พ่อของซูเสี่ยวเป่า!

เป็นไปได้หรือไม่ว่า ตอนนั้นเยี่ยนเหนียงไม่ได้โกหกพวกเขา พ่อของเสี่ยวเป่าเป็นผู้มีอำนาจจริง ๆ พวกเขาคิดอยู่ตลอดว่านางโกหกและเพ้อเจ้อไปเอง แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่ามันจะเป็นความจริง!

“แล้วเมื่อใดเราจะไปหาท่านพ่อล่ะเจ้าคะ”

เสี่ยวเป่าไม่สนใจอะไรอีกแล้ว เด็กหญิงหัวเราะอย่างมีความสุข ตอนนี้ นางปรารถนาเพียงแค่ได้เจอท่านพ่อเท่านั้น

“เช่นนั้นก็ไปกันเถิด”

“เจ้าค่ะ! ท่านรอข้าก่อนนะเจ้าคะ”

น้ำเสียงสดใสของเสี่ยวเป่าตอบดังก้อง หลังจากพูดจบ ขาสั้น ๆ ของนางก็วิ่งเข้าไปในบ้านอย่างรวดเร็ว และกลับออกมาพร้อมป้ายวิญญาณแผ่นหนึ่ง

“ไปกันเถอะ”

หลินเจิ้งชิงมองไปก็เห็นว่าเสี่ยวเป่ากำลังถือป้ายวิญญาณของมารดาไว้

“เสี่ยวเป่า”

เมื่อเห็นว่าซูเสี่ยวเป่ากำลังจะจากไปพร้อมกับขุนนางระดับสูง ซูเถี่ยจู้กับหม่าซานเหนียงก็อดไม่ได้ที่จะเรียกนางกลับมา

เด็กหญิงตัวน้อยกำลังจะมีชีวิตที่ร่ำรวยมหาศาลในอนาคต แล้วพวกเขาเล่า??

“อ้อ แล้วก็พวกเจ้า…”

หลินเจิ้งชิงไม่ใคร่ยินดีนักเมื่อต้องเผชิญหน้ากับครอบครัวของเด็กน้อย

“ทุบตีและดูหมิ่นองค์หญิงน้อยมาโดยตลอด รู้ใช่หรือไม่ว่าต้องได้รับโทษทัณฑ์เช่นไร!”

ซูเถี่ยจู้และหม่าซานเหนียงรู้สึกหวาดกลัวจนใบหน้าซีดเผือด

“อะ อะ…องค์หญิง!”

พวกเขามองซูเสี่ยวเป่าด้วยความหวาดกลัว ทั้งสองนึกไม่ถึงเลยว่าเด็กหญิงที่พวกเขาทุบตีและโขกสับต่าง ๆ นานามาโดยตลอดนั้น จะมีชาติกำเนิดที่แท้จริงเป็นถึงองค์หญิงของราชวงศ์ปัจจุบัน ซึ่งหมายความว่าบิดาของนางก็คือ…

ซูเถี่ยจู้กับหม่าซานเหนียงตกใจมากจนทรุดตัวลงกับพื้น ชาวบ้านคนอื่น ๆ ในหมู่บ้านเดียวกันที่มาสังเกตการณ์ แม้แต่หัวหน้าหมู่บ้านที่ได้ยินคำพูดของหลินเจิ้งชิงอย่างชัดเจน ก็ตกใจกับสิ่งที่ได้ยินจนอ้าปากค้าง

พวกเขามองไปที่เสี่ยวเป่าด้วยความไม่อยากจะเชื่อสายตา กลายเป็นว่า…นางมีสถานะเป็นถึงองค์หญิง!

เมื่อหัวหน้าหมู่บ้านนึกไปถึงตอนที่ชาวบ้านปฏิบัติต่อมารดาและบุตรสาวคู่นี้ ดวงตาของพวกเขาพลันมืดมนลงชั่วขณะ คนอื่น ๆ ก็รู้สึกผิดเช่นกัน และส่วนใหญ่ก็นึกเสียดายขึ้นมาทันที ถ้า…ถ้าพวกเขาปฏิบัติต่อมารดาและบุตรสาวคู่นี้ดีมากกว่านี้อีกสักหน่อย พวกเขาคงได้รับชื่อเสียงและมีอำนาจมากมายในอนาคตแน่นอน!

และการที่องค์หญิงเคยอยู่ในหมู่บ้านของพวกเขา ก็ถือเป็นเกียรติอย่างยิ่ง!

น่าเสียดาย ตอนนี้สายเกินกว่าจะแก้ไขสิ่งใดได้อีกแล้ว

หม่าซานเหนียงกล่าวอย่างทุกข์ระทม ร้องไห้แทบขาดใจ

“มะ ไม่ ใต้เท้าเข้าใจผิดแล้วเจ้าค่ะ พวกเราไม่ได้ดูหมิ่นเสี่ยวเป่า นี่เป็นความเข้าใจผิดกันเล็กน้อยเท่านั้น ปกติเราไม่ได้ใจร้ายกับนางเช่นนี้”

หลินเจิ้งชิงกล่าวตัดบทว่า “เจ้าคิดว่าข้าตาบอดหรือไร? หากข้าไม่หยุดเจ้าเมื่อครู่นี้ นางคงถูกทุบตีไปแล้วจริง ๆ”

ซูเถี่ยจู้หันไปมองหน้าหม่าซานเหนียงด้วยแววตาดุร้าย “ข้าบอกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือว่าห้ามตีเสี่ยวเป่า!”

หญิงร่างอ้วนตกใจจนทั้งร่างและน้ำเสียงสั่นไม่หยุด

“ขะ ข้า…”

[1] เด็กพ่อแม่ไม่สั่งสอน มาจากประโยค 个有娘生没娘养的小畜生 แปลได้ว่า มีแม่ให้กำเนิด แต่ไม่มีแม่ให้สั่งสอน