วิทยาลัยหลวงฝึกสอนนักเล่นแร่แปรธาตุ

โรงเรียนเพียงแห่งเดียวในประเทศนี้ที่สามารถได้รับหนังสือรับรองการเล่นแร่แปรธาตุแห่งชาติได้

ใครก็ตามที่จบจากวิทยาลัยนี้ และได้รับวุฒิรับรองการเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุล่ะก็ ชีวิตของคนคนนั้นก็ได้รับการรับรองเรียบร้อย

ชีวิตที่สุขสบายก็เป็นที่แน่นอนแล้วล่ะ

แต่ ก็ด้วยอัตราการแข่งขันที่สูงลิ่ว เรื่องความยากสุดๆ เนี่ย ไม่ใช่การสอบเข้า แม้แต่การเรียนให้สำเร็จการศึกษาก็ยากพอกันเลย

โรงเรียนที่โหดหินขนาดนั้นนั่นแหละ วิทยาลัยหลวงฝึกสอนนักเล่นแร่แปรธาตุล่ะ

 

เพราะยังไง นักเล่นแร่แปรธาตุ ก็เทียบเท่ากับเหล่าหัวกะทิของประเทศเลย

นอกเหนือจากต้องมีความสามารถในการปรุงโพชั่น (ยาแปรธาตุ) และสร้างอาร์ติแฟกต์ (อุปกรณ์แปรธาตุ) ที่จำเป็นต่อการใช้งานในชีวิตประจำวันแล้ว วัตถุดิบที่จำเป็นต้องใช้ก็มักจะไม่เพียงพอต่อความต้องการอยู่เสมอ

ไหนจะเรื่องการควบคุมราคาที่ถูกควบคุมโดยภาครัฐ การลดราคาเกินไปก็ไม่ได้รับการอนุญาตด้วย

ดังนั้น อัตรากำไรจึงสูงมาก และยังไม่ต้องกังวลเรื่องสินค้าขายไม่ออกเลย ตราบใดที่เลือกสินค้าที่ต้องการจะสร้างขึ้นมาแล้ว

พูดง่ายๆ ก็คือ ยังไงก็ทำเงินได้แน่นอน

ดังนั้น ถ้าเกิดเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุได้ล่ะก็ ไม่มีทางอดอยากไปตลอดชีวิตแน่นอน ―― กลับกันเลยด้วยซ้ำ เรื่องเงินนี่ สามารถหาได้แบบพออยู่พอกินได้โดยไม่ต้องทำงานหนักเลยล่ะ

 

อีกอย่าง หนึ่งในเอกลักษณ์ของวิทยาลัยหลวงฝึกสอนนักเล่นแร่แปรธาตุก็คือ ไม่ว่าใครก็สามารถเข้าเรียนได้ ตราบใดที่มีความพยายาม ไม่ว่าจะเป็นสามัญชน หรือแม้แต่เด็กกำพร้าก็ตาม

ความรู้ที่จำเป็นสำหรับการสอบเข้าเรียนสามารถเรียนรู้ได้จากในตำรา ซึ่งหากทำการยื่นคำร้อง ก็สามารถยืมใช้ได้โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ เลย

ยิ่งกว่านั้น ยังไม่เสียความใช้จ่ายในการสมัครสอบด้วย

แต่ก็นะ ถ้าเกิดไม่รู้ตัวหนังสือก็ไม่มีทางทำอะไรได้เลยซักอย่าง แต่ถ้าตั้งใจ เราก็สามารถเรียนการอ่านการเขียนได้ที่บ้านเด็กกำพร้านะ ฉะนั้น ช่องว่างเรื่องนี้ก็สามารถอุดได้ด้วยความพยายามของเจ้าตัวเลย

แล้วก็ นอกจากเรื่องการยกเว้นค่าเล่าเรียนแล้ว นักเรียนที่มีผลการเรียนดีเลิศก็จะได้รับทุนการศึกษา และรางวัลในแต่ละการสอบด้วย

แต่ว่า เพราะสภาพแวดล้อมอันเป็นสุขแบบนี้แหละ ประตูทางเข้ามันถึงแคบสุดๆ ไปเลย

สำหรับสามัญชนหรือเด็กกำพร้าแล้ว จะมีผู้สมัครสอบเข้าเยอะมากเพราะนี่แทบจะเป็นอาชีพเพียงอาชีพเดียวเลยที่สามารถก่อร่างสร้างตัวได้ และแน่นอนว่าข้อสอบเข้าก็ยากมากๆ

แถมเหล่าชนชั้นสูงที่มีครูสอนพิเศษก็เข้าร่วมสอบเหมือนกันด้วย ทำให้แทบไม่มีทางเบียดพาตัวเองผ่านการสอบเข้าไปได้ด้วยความพยายามแบบธรรมดาๆ เลย

 

และถึงจะสามารถผ่านการสอบเข้ามาได้ ก็ยังวางใจไม่ได้หรอกนะ

มีการจัดสอบทุกๆ 4 เดือน

ถ้าผลการเรียนไม่ถึงระดับที่กำหนดล่ะก็ คนคนนั้นก็จะถูกไล่ออกอย่างไร้ความปราณีเลย

แน่นอนว่าไม่มีของอย่างการสอบแก้ตัวหรอกนะ แถมกฎข้อนี้ เหล่าขุนนางก็ไม่ได้รับการยกเว้นด้วย

ผลก็คือ มีนักเรียนไม่ถึง 1 ใน 10 ของนักเรียนที่สอบเข้าไปได้เท่านั้น ที่สามารถเข้าพิธีจบการศึกษาในอีก 5 ปีต่อมา

 

วันนี้ ฉัน ซาราสะ ฟีด เรียนจบจากโรงเรียนแบบนั้นแล้วค่า

ฮ่า~! มันโหดสุดๆ ไปเลยล่ะ!

ความรู้สึกที่เรียนจบเหรอ?

ไม่มีเวลาได้ทันรู้สึกอะไรแบบนั้นหรอก

เพราะยังไง ฉันก็เพิ่งจะผ่านการสอบจบการศึกษาจนถึงเมื่อวาน

แล้วผลการสอบก็ประกาศเมื่อเช้านี้เลย

ถ้าเกิดบังเอิญต้องเจอเรื่องร้ายๆ อย่างสอบไม่ผ่านขึ้นมา ถึงจะอยู่ที่โรงเรียนวันนั้น ก็เข้าร่วมพิธีจบการศึกษาไม่ได้อยู่ดี

ถึงฉันจะไม่รู้เหมือนกันว่าใครเป็นคนคิด แต่ฉันก็ไม่เห็นความจำเป็นที่ต้องวางกำหนดการแบบนี้ไม่ว่ายังไงก็ตามเลยด้วยซ้ำ

เอาเถอะ ดูเหมือนว่าจะไม่เคยมีใครสอบตกในข้อสอบจบการศึกษามาก่อนเลยนะ

คนที่จะทำคะแนนไม่พอจะสอบผ่านข้อสอบนี้ ยังไงก็ถูกคัดออกไปตั้งแต่ก่อนหน้านั้นแล้ว

ถ้าเกิดไม่ระวังมากๆ ล่ะก็ ลองจินตนาการภาพที่ตัวเองเป็นคนเดียวที่ถูกทิ้งอยู่ในห้องเรียนในวันพิธีจบการศึกษาดูสิ แค่นี้ก็เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้วที่เราจะใส่ความพยายามลงไปให้มากยิ่งกว่าที่ใช้กับข้อสอบทั่วไปน่ะ

เรื่องที่ต้องระวังก็คงมีแค่ เรื่องป่วยจนมาสอบไม่ได้ล่ะมั้ง?  

และแน่นอนว่าทุกคนเองก็เข้าใจเรื่องนี้ดี ฉันเองก็ออกกำลังเพื่อรักษาสภาพร่างกายเอาไว้ให้ดี แต่ถ้าเกิดกังวลจริงๆ ก็สามารถขอลาเรียนซักพักเพื่อพัฒนาสภาพร่างกายได้อยู่นะ

แน่นอนว่าฉันเองก็พยายามเต็มที่เลยเหมือนกัน!

แล้วมันก็คุ้มค่า ฉันได้รับรางวัลจากการสอบครั้งสุดท้ายพร้อมกับใบวุฒิบัตรมาจนได้

อื้อ ดีใจสุดๆ เลยล่ะ

 

พอมาย้อนนึกดูแล้ว ตอนที่ฉันเสียคุณพ่อกับคุณแม่ไปในอุบัติเหตุเมื่อตอนอายุ 8 ขวบ ตั้งแต่ที่ฉันถูกให้เข้าไปอยู่ในบ้านเด็กกำพร้า ฉันก็ตั้งหน้าตั้งตาเรียนอย่างหนัก นอกจากการช่วยงานที่น้อยจนแทบไม่ได้ทำแล้ว เหมือนเพื่อจะหนีจากความเป็นจริงยังงั้นแหละ

เพราะยังงั้น ฉันเลยสร้างปัญหาให้ทุกคนที่บ้านเด็กกำพร้าด้วย แต่เพราะความเข้าใจโดยปริยายของทุกคนที่อยากสนับสนุนเด็กคนนึงที่ตั้งเป้าจะเข้าเรียนที่วิทยาลัยหลวงฝึกสอนนักเล่นแร่แปรธาตุล่ะนะ ฉันก็เลยไม่ได้โดนตำหนิอะไรขนาดนั้น

ในทางกลับกัน มันก็เป็นการตกลงกันโดยไม่ต้องบอกออกมาเป็นคำพูดด้วยว่า ถ้าฉันเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุได้แล้ว ก็ต้องส่งเงินสงเคราะห์กลับคืนไปที่นั่นด้วย เป็นการตอบแทน

จริงๆ นักเล่นแร่แปรธาตุที่มาจากบ้านเด็กกำพร้าที่นี่ก็ส่งเงินสงเคราะห์กลับมาที่นี่เป็นประจำด้วย เพราะงั้น พวกเราก็เลยไม่ต้องใช้ชีวิตแบบรัดเข็มขัดกันมากเลย

เพราะความพยายามตลอดมา ฉันก็เลยเข้าเรียนได้ด้วยคะแนนดีสำหรับสามัญชนเลย ได้ค่าเล่าเรียนฟรี มีสิทธิ์ได้รับทุน แล้วก็มีหอพักอยู่ ฉันก็ออกจากบ้านเด็กกำพร้าเมื่ออายุ 10 ขวบ

หลังจากนั้น ฉันก็อุทิศตัวเองให้กับการเรียนกับการทำงานพิเศษ

โชคดีมากเลยที่ฉันเป็นลูกจ้างอยู่ที่ร้านเล่นแร่ ฉันก็เลยได้เป็นลูกศิษย์ของผู้จัดการร้านด้วย

เพราะแบบนั้น งานพิเศษก็เลยเป็นการเรียนไปด้วยในตัว แถมฉันก็ได้ทักษะการเล่นแร่แปรธาตุเป็นของแถมมาด้วยในตัวเลย

ถึงจะโชคร้ายหน่อยที่ฉันได้อันดับสูงสุดแค่ไม่กี่ครั้งเอง แต่ก็โชคยังดีที่ทุกคนที่อยู่อันดับสูงกว่าฉันเป็นขุนนางหมดเลย

ทำไมถึง ‘โชคดี’ งั้นเหรอ? มันเกี่ยวกับเรื่องธรรมเนียมการให้เงินรางวัลน่ะ? เป็นขนบ? เป็นเรื่องแบบนั้นนั่นแหละ

โดยปกติ เงินรางวัลของการสอบจะถูกมอบให้คนที่สอบได้คะแนนสูงสุด 3 อันดับแรก

เรื่องเงินรางวัลที่ได้น่ะ มันแค่ประมาณครึ่งเดียวจากตอนนี้เองนะ?

แต่ มันเป็นธรรมเนียมที่ว่าถ้าเกิดขุนนางได้ 3 อันดับสูงสุดล่ะก็ มันจะเป็น [หน้าที่ของขุนนาง] ที่จะปฏิเสธมันด้วย ไม่งั้นก็อาจจะถูกนินทาลับหลังว่า ‘ทั้งๆ ที่เป็นขุนนางเนี่ยนะ?’ ก็ได้

และเงินรางวัลที่ถูกปฏิเสธ ก็จะถูกเอาไปเพิ่มให้คนที่อันดับต่ำกว่าแทน

ขอขอบคุณธรรมเนียมแบบนี้ด้วยนะคะ เพราะแบบนี้แหละ ฉันเลยได้เงินรางวัลจากการสอบแทบทุกครั้งเลย

แน่นอน มันไม่ได้เป็นข้อบังคับอะไรหรอก แต่เหมือนมันจะเป็นเรื่องของเกียรติและศักดิ์ศรีของขุนนางมากกว่า

ถ้าเป็นขุนนางชั้นล่าง ฉันว่าคงจะลำบากหน่อยนะ เพราะพวกเขาอาจจะมีเงินน้อยกว่าสามัญชนที่ร่ำรวยซะอีก

ซึ่ง มันเป็นธรรมเนียมที่ฉันชอบมากๆ เลย

เพราะแบบนั้น ตอนที่ฉันเรียนจบ เงินเก็บของฉันเลยเกิน 5 ล้านแรร์เลยล่ะ

สามัญชนธรรมดาหาเงินได้ไม่ถึง 5 แสนแรร์ต่อปีเลยด้วยซ้ำ แล้วนี่ฉันเก็บเงินได้มากกว่ารายได้ต่อปีของพวกเขาตั้ง 10 เท่าแหนะ!

อื้อ! พยายามได้ดีมากเลยนะ! ตัวฉัน!

เกินครึ่งก็มาจากทุนกับเงินรางวัลนี่แหละ แต่ที่เหลือนี่ก็มาจากงานพิเศษล่ะ!

เพราะฉันอยู่ในหอพัก เรื่องค่าใช้จ่ายเรื่องค่าที่พักหรือค่ากินค่าอยู่ก็เลยไม่มี แต่มันยากมากๆ เลยนะที่จะเก็บเงินได้มากขนาดนี้ระหว่างคาบเรียนและเวลาในโรงเรียนน่ะ

เรื่องนั้นก็ต้องขอบคุณค่าจ้างรายวันที่อาจารย์ให้ฉัน มันเทียบเท่ากับค่าจ้างเต็มวันที่คนทั่วไปหาได้เลยด้วยนี่แหละ แต่เรื่องนั้นมันก็ไม่ธรรมดาล่ะนะ ที่ฉันได้ค่าจ้างเยอะขนาดนั้น ก็เพราะฉันเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุฝึกหัดด้วย

ขนาดฉันเป็นเด็กฝึกงานที่ทำงานเวลาไม่เยอะยังได้เงินจากงานพิเศษขนาดนี้ นักเล่นแร่แปรธาตุมืออาชีพจะหาเงินได้เป็นกอบเป็นกำขนาดไหนกันล่ะ!

 

ตั้งแต่วันนี้ไป ฉันก็ได้เป็นนักเล่นแร่แปรธาตุแล้ว!

ฉันหยิบ [หนังสือรับรองการเล่นแร่แปรธาตุ] ที่ได้รับมากจากพิธีจบการศึกษาขึ้นมาดูอีก

ใบนั้นเป็นสสารปริศนาที่ดูเหมือนโลหะบางๆ แต่ก็ทั้งเบาทั้งยืดหยุ่นสุดๆ เลย

มันมีตราของนักเล่นแร่แปรธาตุ ชื่อของฉัน แล้วก็ใบรับรองการศึกษาจากวิทยาลัยหลวงฝึกสอนนักเล่นแร่แปรธาตุสลักเอาไว้อยู่

แถม ตราเวทของฉันก็ถูกบันทึกเอาไว้ด้วย มีการติดตั้งเอาไว้ให้สิ่งที่สลักอยู่จะหายไปถ้าเกิดมีใครคนอื่นมาแตะมันนอกจากฉันเอง จะเรียกว่านี่เป็นหนึ่งในผลงานชิ้นเอกของบรรดานักเล่นแร่แปรธาตุเลยก็ได้

มุฮุฮุ ต้องเอามือดันแก้มเอาไว้เพื่อรักษาสภาพหน้าของตัวเองเอาไว้เลยแฮะ

คงน่าสงสัยไม่น้อยเลยล่ะถ้าเกิดมีใครก็ไม่รู้ยืนยิ้มไม่หยุดอยู่ที่หน้าประตูโรงเรียนคนเดียวน่ะ

 

…คนเดียว

ใช่ ฉันอยู่คนเดียว

พิธีจบการศึกษาจบลงด้วยดี การเดินทางครั้งใหม่จะเริ่มขึ้นแล้ว

แต่ว่า ฉันยืนอยู่ตัวคนเดียวอยู่หน้าประตูโรงเรียน

เปล่าน้า! ก็ตลอด 5 ปีที่นี่ ฉันไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากงานกับเรียนนี่นา!

เพราะแบบนั้น ขนาดฉันกำลังจะออกจากโรงเรียนแล้ว ยังไม่มีใครแวะมาทักทายเลยซักคน

ไม่มีใครมาทักฉันเลย

รอบๆ ฉัน มีพวกเด็กจบใหม่ที่อึกอักจะบอกลากับพวกรุ่นน้อง ผู้คนที่ยิ้มแย้ม พูดคุยกันอย่างสนุกสนานกับคนที่มารับ แต่บรรยากาศรอบๆ ตัวฉันมันต่างออกไปนิดหน่อย ไม่มีใครเข้ามาหาฉันเลย

ถ- ถึงยังไง ม- ไม่ใช่ว่าฉันเหงาหรืออะไรหรอกนะ!

 

―――เปล่าหรอก จริงๆ ฉันก็เหงานิดหน่อยนั่นแหละ

ฉัน แทบจะไม่มีเพื่อนเลย

ช่วยไม่ได้หรอก เพราะมันเป็นความผิดของฉันเอง

ก็นะ ถ้าเอาแต่เรียน แล้วไม่ได้คุยกับใครเท่าไหร่ ก็หาเพื่อนไม่ได้หรอก

ไม่หรอก เอาเถอะ ถึงจะเกือบ 0 แต่ก็ไม่ใช่ไม่มีเลยจริงๆ ซักหน่อยนี่เนอะ?

ฉันมีรุ่นพี่ 2 คนที่เป็นห่วงเป็นใยฉัน แล้วก็เป็นเพื่อนกับฉันจนถึงปีที่แล้ว

แล้วก็มีรุ่นน้องอยู่อีกคนนึง ที่เป็นเพื่อนจากที่รุ่นพี่คนนั้นช่วยแนะนำให้ได้รู้จักกัน

แต่ รุ่นพี่ทั้ง 2 คนก็เรียนจบได้อย่างปลอดภัยแล้วเมื่อปีก่อน ตอนนี้ก็กำลังทำงานอยู่ที่เมืองอื่น เพราะงั้น ทั้งคู่ก็เลยไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง

ส่วนถ้าพูดถึงรุ่นน้องล่ะก็ โชคร้ายที่ไม่กี่วันก่อน เกิดป่วยพอดี ก็เลยมาร่วมงานจบการศึกษาไม่ได้

‘แน่นอนค่ะ ไปแน่นอน!’ แต่การสอบของรุ่นน้องก็จัดสอบหลังจากพิธีจบการศึกษานี่พอดีเลยด้วย

ฉันไม่ยอมให้เธอสอบตกเด็ดขาด ก็เลยกำชับไว้เลยว่า ‘ไม่ต้องมา! รักษาตัวให้หายนะ!’

ถ้าเกิดสอบตกขึ้นมา มันจะกระทบกับชีวิตมากจนไม่ขำเลยเนี่ยสิ

 

“อือ… รีบไปดีกว่า”

 

ยืนอยู่คนเดียวในบรรยากาศแบบนี้ มันทำให้เจ็บไม่น้อยเลยเหมือนกัน

ฉันมั่นใจเลยล่ะว่าสายตาระแวงๆ ที่มองมาที่ฉันอยู่เรื่อยๆ แบบนี้ไม่ใช่แค่เรื่องที่ฉันคิดไปเองแน่ๆ

ฉันหันกลับไป มองกลับไปดูที่โรงเรียนที่ฉันใช้เวลาอยู่ตั้ง 5 ปี

มีเรื่องเกิดขึ้นเยอะแยะเลย

ถึงความทรงจำส่วนใหญ่จะมีแต่เรื่องเรียนก็เถอะ แต่ก็ยังมีช่วงเวลาสนุกๆ อยู่นะ

อย่างน้อยที่สุด ระหว่างที่ฉันเรียนก็ไม่ต้องห่วงเรื่องการใช้ชีวิต เพราะงั้น ฉันว่ารวมๆ แล้ว ชีวิตในวัยเรียนของฉันก็ไม่ได้แย่อะไรหรอก

แต่ว่า จากนี้ไป ฉันต้องเดินต่อไปคนเดียวแล้ว

ฉันหันหลังให้กับประตูโรงเรียน เริ่มออกเดินพร้อมกับความมุ่งมั่นในใจ