ตอนที่ 1 ถูกไล่ออกจากบ้าน

ฉันเป็นเศรษฐีอสังหาฯในวันสิ้นโลก

ตอนที่ 1 ถูกไล่ออกจากบ้าน (รีไรท์)

ตอนที่ 1 ถูกไล่ออกจากบ้าน (รีไรท์)

“เถาเถา ลูกอย่าหาว่าแม่ใจร้ายเลยนะ แต่มันไม่มีทางเลือกแล้วจริง ๆ ทั้งบ้านก็มีแค่สองห้อง แต่เราอยู่กันตั้งแปดคน ในเมื่อมีโอกาสออกไปกับกองทัพบุกเบิก กินฟรีอยู่ฟรี แม่ได้ยินมาว่ามีหอพักด้วย เงื่อนไขดี ๆ แบบนี้ก็ไปเถอะ…”

แม้ว่าซูเถาจะมีลางสังหรณ์บางอย่าง แต่เธอก็ยังรู้สึกไม่สบายใจ “แม่ หนูไม่มีพลังวิเศษ ตั้งแต่เด็กจนโตหนูเองก็ไม่เคยออกจากฐานเลยด้วยซ้ำ จะให้ออกไปกับกองทัพบุกเบิก…”

ไม่ตายก็เลี้ยงไม่โต…

ปีที่ 20 ของยุควันสิ้นโลก ฐานหลักแห่งนี้ค่อย ๆ สร้างตัวขึ้นอย่างสมบูรณ์ ไม่เพียงแต่เป็นที่พักอาศัย แต่ยังสามารถใช้เป็นที่หลีกภัยจากการถูกโจมตีโดยซอมบี้และสัตว์ประหลาดได้อีกด้วย ดังนั้นผู้รอดชีวิตจึงแห่ยกโขยงกันมาที่นี่

เพื่อความอยู่รอดทุกคนจึงต้องเข้ามาในฐานหลัก ซึ่งทำให้ประชากรในฐานเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และเริ่มเข้าสู่สภาวะขาดแคลนที่ดิน

พ่อของซูเถาเป็นหนึ่งในวิศวกรในยุคแรก ๆ ที่มีส่วนร่วมในการก่อสร้างฐาน จึงโชคดีพอที่จะได้รับการจัดสรรบ้านขนาด 60 ตารางเมตร 2 ห้องนอน

ครอบครัวของพวกเขาทั้งสามคน สามารถอาศัยอยู่ที่นั่นได้

แต่พ่อและแม่ของซูเถาเคยผ่านการหย่าร้างมาก่อน ก่อนให้กำเนิดซูเถาต่างก็เคยมีลูกกับอดีตคนรักมาแล้ว

ซูเจี้ยนหมิงพ่อของซูเถา รู้สึกไม่สบายใจที่ลูกชายทั้งสองที่เกิดกับอดีตภรรยาไร้ที่อยู่อาศัย ดังนั้นจึงพาชายหนุ่มทั้งสองเข้ามาในบ้านที่เพิ่งได้รับการจัดสรร

เมื่อเห็นสิ่งนี้ หลี่หรงเหลียนแม่ของซูเถาก็รู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรม จึงรับเจียงจิ่นเวยลูกสาวคนโตที่เกิดกับอดีตสามีมาอยู่กับตนเอง ซึ่งเธอเป็นพี่สาวต่างพ่อของซูเถา

นอกจากนี้ยังรับสามีของเจียงจิ่นเวย และลูกสาววัย 3 ขวบเข้ามาพร้อมกัน

มีทั้งหมดแปดคนอาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็ก ๆ ขนาด 60 ตารางเมตร…

ซูเถาไม่เพียงแต่ไม่มีห้องส่วนตัวเป็นของตนเองเท่านั้น แต่ยังถูกบังคับให้นอนในห้องน้ำแคบ ๆ ที่ทั้งมืดและอับชื้น และชักโครกก็อยู่ข้างเตียงของเธอ

ทุกครั้งที่ลูกติดอย่างเจียงจิ่นเวยเข้าห้องน้ำ ก็มักจะดุด่าว่าเธอขวางทางเสมอ

คนในครอบครัวมีจำนวนมาก ข้อขัดแย้งก็ยิ่งมาก ไม่มีวันสงบสุข

นอกจากนี้รัฐบาลยังออกนโยบายให้แต่ละครัวเรือนต้องส่งกำลังแรงงานเข้าร่วมกองทัพบุกเบิก มิฉะนั้นบ้านจะถูกยึดคืน

และซูเถาก็เป็นคนที่ถูกผลักไสออกไป…

ดวงตาของหลี่หรงเหลียนแดงระเรื่อ

“เถาเถา แม่ไม่มีทางเลือกจริง ๆ พี่สาวของลูกก็มีลูกสาวหนึ่งคน แม่คงปล่อยเธอไปไม่ได้ พี่ชายสองคนของลูกก็มีการงานที่มั่นคง และเป็นเสาหลักให้กับครอบครัว พ่อของลูกต้องไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน…”

สุดท้ายแล้ว… ซูเถาต้องยอมแพ้ หมุนกายกลับเข้าไปในห้องน้ำที่มีขนาดเล็กและมืดมิด ปิดประตูลงเพื่อกันเสียงคร่ำครวญของมารดา

ไม่มีอะไรให้ต้องระลึกถึงครอบครัวแบบนี้อีก ถึงจะต้องกลายเป็นคนพิการ แต่การเข้าร่วมกองทัพก็ยังดีกว่าถูกญาติสนิททอดทิ้งอยู่ที่นี่

เธอมีสัมภาระไม่มากนัก มีเพียงของจำเป็นบางอย่าง และเสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยนเท่านั้น

ขณะนี้ จู่ ๆ ก็มีเสียงระบบกลไกดังขึ้นในสมองของเธอ

[การรวบรวมพลังงานเสร็จสมบูรณ์ การดาวน์โหลดสำเร็จ]

ซูเถา “?”

คืออะไร? นี่เธอประสาทหลอนไปแล้วเหรอ?

[ขออนุญาต โฮสต์ตกลงที่จะผูกมัดระบบเจ้าของอสังหาฯ หรือไม่? หลังจากการผูกมัดสำเร็จ คุณจะได้รับห้องชุดพื้นฐานที่มี 1 ห้องนอนและ 1 ห้องนั่งเล่นสำหรับการใช้งานของตัวเอง]

ซูเถาอยู่ในอาการสับสนเล็กน้อยกับสถานการณ์ตรงหน้า และดูเหมือนว่าสมองจะรับรู้แต่คำว่า ‘ได้รับห้องชุด’ เท่านั้น

บ้าน!

เธอเคยใฝ่ฝันว่าอยากมีบ้านเป็นของตัวเองมานานแล้ว

ไม่ต้องนอนในห้องน้ำเหม็นเน่า ไม่ต้องทนฟังเสียงจิกกัดของคนอื่น อยู่อย่างสงบ และดูแลตัวเอง

เธอคิดโดยจิตใต้สำนึก แม้ว่ามันจะเป็นอาการหูฝาดหรือฝันกลางวัน นับประสาอะไรกับระบบผูกมัด เธอพร้อมที่จะออกไปต่อสู้กับซอมบี้ตัวต่อตัวทันทีด้วยซ้ำ!

[การผูกมัดสำเร็จ โฮสต์โปรดรับไว้]

ในพริบตาเดียว คีย์การ์ดของห้องก็ปรากฏขึ้นในมือของซูเถา และแผงโปร่งใสก็ปรากฏต่อหน้าเธอในเวลาเดียวกัน เป็นบ้านหมุน 3 มิติที่มีหนึ่งห้องนอนและหนึ่งห้องนั่งเล่น

ซูเถาเบิกตากว้างราวกับตกอยู่ในห้วงแห่งความฝัน

เธอไม่ได้หูฝาดหรือฝันกลางวันไปเหรอ?

[ขอให้โฮสต์มาถึงที่พักโดยเร็วที่สุด และยอมรับภารกิจผู้เริ่มต้น]

ซูเถาฟื้นคืนสติและมองคีย์การ์ดในมือของตนเอง มีที่อยู่เขียนไว้ที่ด้านหลัง

เธอเพ่งมองอย่างละเอียด และรู้สึกว่าที่อยู่นั้นค่อนข้างคุ้นเคย ราวกับว่าอยู่แถว ๆ ฐานตงหยาง

ตึง! ตึง! ตึง!

มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น และเจียงจิ่นเวยก็เร่งเร้าอย่างกระวนกระวายใจ

“รีบเก็บข้าวเก็บของไปรายงานตัวซะ! มุดหัวอยู่ในนั้นได้ทั้งวัน ของที่ไม่ได้เอาไปก็ทิ้งให้หมด เกะกะขวางทางเวลาคนจะเข้าห้องน้ำจริง ๆ!”

ซูเถาพยายามอดทน วางคีย์การ์ดห้องแล้วเปิดประตู

“เก็บเสร็จแล้วเหรอ เก็บเสร็จแล้วยังมัวทำอะไรอยู่ล่ะ!? กินก็ฟรีอยู่ก็ฟรีไม่เห็นจะหยิบจับอะไรสักอย่าง”

ซูเถาเดินออกไปด้วยใบหน้าเย็นชาภายใต้การจ้องมองที่งุนงงของเจียงจิ่นเวย เธอง้างมือขึ้นฟาดอย่างเต็มแรงลงบนใบหน้าอีกฝ่าย

ตอนนี้ได้ตัดสินใจที่จะขีดเส้นแบ่งกับครอบครัวนี้แล้ว!

เธอต้องแก้แค้นก่อนที่จะจากไป!

เสียง ‘เพียะ’ ไม่เพียงขจัดความคับข้องใจในใจของซูเถาเท่านั้น แต่ยังทำให้เกิดความรู้สึกโล่งใจอย่างน่าอัศจรรย์

เธออยากทำสิ่งนี้มานานแล้ว!

“ซูเถา! แกกล้าดียังไงมาตบฉัน!” เสียงของเจียงจิ่นเวยนั้นแหลมเสียดหู เธอวางถังโต้วที่กำลังร้องไห้งอแงลง แล้วพุ่งเข้าไปหาซูเถา คิดเอาคืนนังน้องสาวตัวดี

ซูเถาฟาดฝ่ามือลงบนใบหน้าอีกฝ่ายอีกครั้งโดยไม่พูดอะไรสักคำ

“เธอน่ะสมควรโดนตบแล้ว เธอเป็นคนในครอบครัวนี้ที่มีสิทธิ์น้อยที่สุดที่จะบอกว่าฉันกินฟรีอยู่ฟรี! ถ้าแม่ไม่ใจดีให้เธอและครอบครัวมาอยู่ด้วย ก็ไม่รู้ว่าในเวลานี้จะไปซุกหัวอยู่ที่ไหน!”

หลี่หรงเหลียนร้องไห้ “พวกเธอเป็นพี่น้องกัน อย่าพูดจาแบบนี้เชียวนะ!”

ซูเถาดูเหมือนจะเพิ่งเคยได้ยินคำพูดที่ตลกที่สุดในชีวิต “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ฉันไม่มีพี่น้องหรือพ่อแม่! ในอนาคตถ้าเราได้เจอกัน ก็ให้ทำเหมือนกับว่าฉันเป็นคนแปลกหน้า อย่าได้มายุ่งเกี่ยวกันอีกเลย”

หลังจากพูดจบ เธอไม่สนใจสายตาอาฆาตของเจียงจิ่นเวย รีบกลับไปเก็บบัตรประจำตัวและเสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยน ถือกระเป๋า และออกจากบ้านโดยไม่หันกลับมามอง

หลี่หรงเหลียนร้องออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย “เธอ… นี่เธอกำลังพยายามตัดขาดความสัมพันธ์กับเราอย่างนั้นเหรอ”

เจียงจิ่นเวยปิดใบหน้าบวมแดงของเธอ และพูดอย่างขมขื่น “การตัดขาดที่ไร้จิตสำนึกแบบนี้ ไม่มีพ่อแม่พี่น้องดูแล ไม่มีที่อยู่อาศัย เธอคงไม่สามารถอยู่รอดได้ในตงหยาง ค่อยดูเถอะ เธอจะต้องกลับมาอ้อนวอนเรา!”