ภาคที่หนึ่ง ตอนที่ 1 กลายเป็นอมตะ

เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า

ตอนที่ 1 กลายเป็นอมตะ

“นี่ หนิงอี้ ข้าหิวแล้ว”

เงียบงัน

“หนิงอี้…ข้าอยากกินบะหมี่”

ไม่มีใครขานรับ

“หนิงอี้ ข้าเฝ้ามากว่าชั่วยามแล้วนะ…ของที่ขโมยได้ครั้งนี้อย่างน้อยต้องแบ่งให้ข้าครึ่งหนึ่ง”

“หนิงอี้…หนิงอี้?”

เด็กสาวที่นั่งยองบนสุสานพลันริมฝีปากแห้งขึ้นมานิดๆ

นางเงยหน้ามองไปรอบๆ เกิดสายลมเย็นขึ้น พัดชุดกระโปรงสีขาวตัวเล็กพลิ้วเหมือนดอกไม้ต้องลม สัมผัสกับขาเรียวของเด็กสาวอย่างอ่อนโยน

บรรยากาศแปลกอย่างบอกไม่ถูก

เด็กสาวหนาวสั่น ค่อยๆ ก้มตัวลง สองมือจับสองด้านปากทางเข้าสุสานใต้ดินไว้ นางกัดฟันแน่น สูดลมหายใจเข้าลึก ทำใจดีสู้เสือ สุดท้ายก็เอาศีรษะมุดเข้าไปครึ่งหนึ่ง

ดวงตาเป็นประกายที่แฝงไอวิญญาณกะพริบ

มืดมิด ไม่เห็นอะไรเลย

เด็กสาวพูดเสียงสั่นปนสะอื้นไห้นิดๆ

“พี่…ตอบหน่อยสิ”

เสียงนี้ดังไปตามเส้นทางสุสานใต้ดิน เมื่อสายลมเย็นพัดผ่านมา ฝุ่นดินคละคลุ้งตลอดทาง คดเคี้ยวไปมา สุดท้ายไปถึงหูเด็กหนุ่มคนหนึ่ง

ตอนนี้เด็กหนุ่มยืนตัวตรง แขนขาแข็งทื่อ อาภรณ์ดำชุ่มไปด้วยเหงื่อเหนียวติดตัว พอสายลมพัดผ่านก็เย็นซ่านทั่วแผ่นหลัง

หนิงอี้ใช้มือซ้ายชูพับไฟ ดวงตาจ้องสิงโตหยกตรงหน้าที่กำลังอ้าปากสีเลือดกว้างและอยู่แค่เอื้อม

ครึ่งตัวขยับไปข้างหน้าเล็กน้อย ครึ่งแขนขวาถูกสิงโตหยก ‘กินไป’ มือขวาติดตรงลำคอ

เมื่อหนึ่งชั่วยามก่อน หนิงอี้รู้สึกว่าครั้งนี้ตนรวยแล้ว

แดนสุสานแห่งเมืองไร้มลทินเปลี่ยวร้างตลอด ไม่มีใครดูแล

แต่ไม่นึกเลยว่าจะได้สร้อยหยกมรกตสีแดงใหญ่จากปากสิงโตตัวนี้

สร้อยหยกเส้นนั้นตอนนี้ห้อยอยู่ตรงหน้าอกหนิงอี้ แกว่งไกวตามสายลม ส่งเสียงดังซู่ๆ

หนิงอี้จ้องสิงโตตัวนั้น มันแนบชิดกับตน ลูกตาโตและดำมืดเหมือนมีประกายแสงที่แปลกออกไป

มือขวาที่เขากำไว้แน่นถูกอะไรบางอย่างงับไว้ ดึงไม่ออก

หนิงอี้เกิดลางสังหรณ์อย่างหนึ่ง

หากตอนนี้ตนกลัว ชักมือออกมา…

เช่นนั้นจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต

เพราะสิ่งที่เขากำอยู่ในมือคือ ‘ไข่มุกตะวันคร้าน’ อันล้ำค่า

ฝ่ามืออุ่น รอบข้างหนาวเล็กน้อย ต่อให้ไม่ดึงออกมา หนิงอี้ก็รู้สึกได้ว่าไข่มุกนี่ไม่ใหญ่ ขนาดเท่าปลายนิ้วเท่านั้น แต่ประจวบเหมาะกับขนาดของไข่มุกตะวันคร้านพอดี

หากตนนำไข่มุกนี้ออกมา

จะเป็นเงินเท่าไร…ไม่ต้องกังวลเรื่องปากท้องแล้ว!

รวยแล้ว…หนิงอี้ตะโกนเสียงต่ำในใจ เขามองค้อน ก่อนถลึงตามองสิงโตหยกตรงหน้าอย่างไม่เกรงกลัว เงยหน้าขึ้นด้วยพลังดั่งสายรุ้ง

“มาสิๆ แน่จริงก็กัดข้าให้ตายสิ…”

คนกับสิงโตยืนกรานกันเช่นนี้

พับไฟไหม้มาถึงปลาย แสงไฟริบหรี่แกว่งไกว สุดท้ายมอดดับลง

สุสานใต้ดินกลับมามืดมิดอีกครั้ง

เสียงลมเบาดังแว่วมาข้างหูหนิงอี้ พัดผ่านจากข้างหลังไปไม่หยุด

“มารดาเถอะ ข้าไม่เชื่อเรื่องงมงายหรอก…”

เขาทิ้งพับไฟ เมื่อตกลงพื้นก็เกิดควันขึ้นกลุ่มหนึ่ง มือซ้ายที่ปล่อยวางลงช้าๆ แนบกับเสื้อคลุม ขยับมาตรงหน้าอก สุดท้ายคลำเจอสิ่งของเรียวยาวเย็นเข้ากระดูก

เหมือนใบไม้หนีบอยู่ในเสื้อคลุมดำ

เป็นขลุ่ยกระดูกลักษณะแปลกเลาหนึ่ง

เมื่อคลำเจอขลุ่ย หนิงอี้ก็โล่งอกขึ้นมาก

เขาเงยหน้าขึ้นถลึงตามองสิงโตหยกยักษ์นั่นต่อ พลันขนลุกขึ้นในใจนิดๆ

ดวงตาโตดั่งกระดิ่งทองแดงคู่นั้นของสิงโตหยกในตอนแรกค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน แววตาเพ่งมองช้าๆ สุดท้ายจ้องมาที่ตน

หนิงอี้ทำเสียงถุยไปที ก่อนจะพูดยิ้มเยาะ “คิดว่าขู่ใคร”

สุสานด้านบนพลันสั่นสะเทือน

หนิงอี้หรี่ตาลง มีเศษหินละเอียดตกใส่ศีรษะดังแกรกๆ ไม่หยุด เขากลืนคำพูดที่จะเยาะเย้ยกลับไป แม้มือซ้ายจะขยับช้า แต่ตอนนี้ได้ดึงขลุ่ยกระดูกนั้นมาแล้ว กำเอาไว้แน่น

ดวงตาโตของสิงโตหยกกลายเป็นสีแดงก่ำ

หนิงอี้พลันเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นถามไถ่ด้วยความจริงใจ “หนึ่งชั่วยามแล้ว เจ้าไม่เหนื่อยรึ”

สิงโตหยกไม่ตอบเขา

จึงกลายเป็นความเงียบ

“เจ้าจะกัดก็กัดเลย ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไม่ปล่อยมือ…ข้าใช้ความสามารถตัวเองปล้นสุสาน แน่จริงเจ้าก็กัดข้าให้ตายเลย อย่างมากก็แค่เสียแขนนี่ไป!”

หนิงอี้พูดจบก็เชิดหน้าอกขึ้นอย่างไม่ย่อท้อต่อความถูกต้อง กระทั่งยังยื่นแขนขวาครึ่งนั้นเข้าไปลึกกว่าเดิม

ใบหน้าเขาแนบกับสิงโตหยก ยื่นมือเข้าไปอีกพลางด่าทอ “มา กัดข้าเลย ไอ้ปากใหญ่ ไอ้ชั่ว ถ้ากัดข้าไม่ตาย พรุ่งนี้จะมาขุดทั้งบ้านเจ้าให้หมดเลย แม้แต่อิฐก็ไม่เหลือให้เจ้า”

ดวงตาสิงโตหยกเหมือนจะอึ้งไป มีเสียงสั่นระคนตกใจดังแว่วมาจากในลำคอ ถึงอย่างไรก็ของตาย ขยับไม่ได้ หากมีวิญญาณอยู่จริงๆ คงจะโกรธน่าดู เจอคนไร้ยางอายเช่นนี้ คงต้องยอมจ่ายทุกอย่างเพื่อกัดมันจริงๆ

ปล้นที่นี่ให้หมด ไม่ให้เหลือแม้แต่อิฐหรือ

หากรู้ว่าเจ้าของสุสานคนนั้นเป็นใคร จะมีใครกล้าพูดเช่นนี้อีก

“ข้ายังมีน้องสาวอีกคน เป็นเมล็ดพันธุ์สำนักเต๋ามาโดยกำเนิด ศิษย์สายตรงเจ้าเขาลั่วเจียแห่งเมืองหลวง กลัวหรือไม่ ถ้ากัดข้าตายขึ้นมาจริงๆ รอนางขึ้นเขาแล้ว เขาลั่วเจียจะขุดเนินเขาของเจ้าให้ราบ รื้อให้หมด เหลือแต่เจ้าไว้ แล้วก็สร้างห้องน้ำคลุมไว้ข้างบน!”

หนิงอี้ถลึงตามองสิงโตหยกนั่นพลางเอ่ยว่า “ถึงตอนนั้นจะพาคนเป็นโขยงมาฉี่รดหัวเจ้าทุกวัน…”

ในที่สุดสิงโตหยกนั่นก็ทนไม่ไหว ดวงตาเบิกโตด้วยความโกรธ ตรงส่วนท้องสั่นไหว วัตถุในนั้นกลิ้งไปมา กระทบกันดังตึงตัง หนิงอี้ใจสั่นไหว ที่แท้ในท้องเจ้านี่ก็ยังมีของอยู่อีก

เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้น ริมฝีปากยิ้มเยาะเย้ย เตรียมจะพูดต่อ

รอยยิ้มหนิงอี้พลันแข็งทื่อ

‘ไข่มุกตะวันคร้าน’ เม็ดนั้นที่เขากำไว้แน่นเกิดเสียงแตกดังสนั่น จากนั้นสั่นไหวอย่างแรง ตามมาด้วยเสียงดังกึก ปลายนิ้วกดที่ฝ่ามือ เนื้อกับเนื้อชนกัน

หนิงอี้เงยหน้าขึ้นด้วยความโกรธ หลังไข่มุกแตก กลิ่นอายความชื้นวนเวียน พันรอบแขนขวาอย่างรวดเร็ว หมอกดำกระจายเหมือนเม็ดทราย ห่อหุ้มตัวเขาไว้

‘ไข่มุกตะวันคร้าน’ เป็นสมบัติที่ศิษย์ผู้บำเพ็ญเพียรจากสำนักใหญ่พวกนั้นเฝ้าใฝ่หา ปกติหากพกไว้จะมีผลต่อการบ่มเพาะวิญญาณ สามารถปกป้องจิตใจให้สงบ หากแตก…

จะเป็นการเสียของสวรรค์

เงิน เงิน!

เงินกองใหญ่หายไปแล้ว!

“ข้าจะตีปากบรรพบุรุษเจ้า!”

หนิงอี้เงยหน้าขึ้น จ้องตาเขม็ง ด่าทอพลางสบตากับสิงโตหยก ตะโกนด้วยความโกรธ “เจ้าต้องชดใช้ให้ข้า!”

ในความคิดพลันเกิดเสียง ‘ดังสนั่น’

หนิงอี้หรี่ตาลง สมองเหมือนถูกค้อนหนักเป็นพันเป็นหมื่นชั่งทุบอย่างแรง

ความคิดทั้งหมดถูกฟาดลอยไปพันลี้

ตอนที่ตกลงมาก็เหมือนเกิดละอองน้ำกระจายเต็มฟ้า

หนิงอี้ลุกขึ้นยืนอย่างโซเซ

สายตาพร่ามัว

ตรงหน้าเป็นต้นไม้โบราณสูงเทียมฟ้าขนาดมหึมา สูงตระหง่าน รากไม้ขดกันเหนืออาณาจักรนิรันดร์ ใบไม้ยาวที่ตกลงมาปลิวไสวเหมือนกระแสเพลิง

ใต้ต้นไม้โบราณเป็นธารน้ำคดเคี้ยวทอดยาว สายน้ำไหลไปรวมกันเป็นบัลลังก์อันวิจิตรแห่งหนึ่ง มีเงาเลือนรางนั่งอยู่บนบัลลังก์ กำลังมองมาที่ตน

ดวงตามหึมาเปิดขึ้น

ฟ้าดินสั่นสะเทือน

เงาเลือนรางนั้นขยับก้าวเดินลงจากบัลลังก์ คุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้น ท่ามกลางไอน้ำแววตามีความอ่อนโยนและซื่อสัตย์อย่างชัดเจน

เสียงขลุ่ยรื่นหู ถูกเสียงกลองสงครามบนฟ้าไกลทำลาย

เศษกระดูกสีขาวที่ลอยมาปกคลุมเส้นขอบฟ้ารวมกันเป็นกลุ่ม เหมือนตั๊กแตนข้ามดินแดน มากันอย่างยิ่งใหญ่

“ตื่นแล้ว”

โลกเงียบลง

มีคนคุกเข่าบนผิวน้ำ เอ่ยเสียงเบา “พวกเรากำลังรอท่าน…เป็นอมตะ!”

……………………