“………”

 

ภาพตรงหน้า ทำเอาฉันพูดอะไรไม่ออกเลย

รั้วไม้ที่ผุพัง

สวนที่มีหญ้าขึ้นรก

กำแพงที่เหมือนจะพังได้ตลอดเวลา กับกระจกหน้าต่างที่มีฝ้าจับ

ป้ายที่เขียนเอาไว้ว่า [อัลเคมี่ (ร้านเล่นแร่) ] ที่หมายถึงหนึ่งในเหล่าหัวกะทิแนวหน้าของประเทศ ซึ่ง ป้ายนั่นมันก็จะห้อยจนเหมือนจะร่วงลงมาอยู่แล้ว

 

“ที่นี่คือ โลกใบใหม่ของฉันเหรอ…?”

 

หลังจากฝ่าข้อสอบสุดหินมาไม่รู้เท่าไหร่ ท้ายที่สุด ฉันก็ได้หนังสือรับรองการเล่นแร่แปรธาตุระดับชาติมาจนได้

ฉันได้ร้านนี้มาตามการแนะนำของอาจารย์ และฉันก็เดินทางมาที่นี่จากเมืองหลวงด้วยความคาดหวังอยู่เต็มอกเลย

การเดินทาง ใช้เวลาประมาณ 1 เดือน

แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ――

 

“…นี่มันเกินไปแล้วน้า~”

 

ไม่สิ ก็ว่าแล้วล่ะว่ามันแปลกๆ

ต่อให้เป็นเมืองที่ห่างไกลในที่ทุรกันดารขนาดไหน แต่ราคาบ้านหลังนี้มันแค่ 10,000 แรร์เอง

เงินเท่านี้น่ะ ต่อให้เอาไปเช่าห้องเล็กๆ ในเมืองหลวง อาจจะได้ไม่ถึง 2 เดือนดีด้วยซ้ำ

ราคาแค่นี้น่ะ

ต่อให้มีเงินสนับสนุนจากทางภาครัฐเข้ามาช่วยแล้ว เพราะงั้นราคาจริงๆ ก็คงจะสูงกว่านี้นิดหน่อย แต่ต่อให้เอาเรื่องนี้มาคิดด้วยแล้วก็เถอะ มันก็ยังถูกมากอยู่ดี

 

‘ร้านของฉัน’

 

ถ้าจะพูดว่าฉันไม่ได้ถูกคำๆ นี้ล่อลวงเอา คงพูดได้ไม่เต็มปากล่ะนะ

ฉันจะไม่บอกว่ามันเป็นความคิดที่ไม่ดีหรอกนะ แต่ก็คงไม่มีใครที่วางแผนไว้ว่าตัวเองจะมาอยู่ในที่แบบนี้ตั้งแต่แรกอยู่แล้วใช่มั้ยล่ะ?

ฉันคิดว่าจะเป็นเด็กฝึกหัดที่ร้านในเมืองหลวงไปก่อน เพื่อฝึกฝีมืออยู่ซักพักแล้วก็เก็บเงินไปด้วย

แบบนั้น ฉันก็น่าจะได้เปิดร้านเล็กๆ แต่ดูแลง่ายๆ ในใจกลางเมืองซักแห่งที่มีข้าวของให้จับจ่ายเพรียบพร้อมอยู่นะ

ฉันไม่ได้อยากจะรวยหรือมีชีวิตที่หรูหราอะไรแบบนั้นหรอก

แค่หาเงินได้พอประมาณที่จะส่งกลับไปหาคนที่ดูแลฉันอย่างอ่อนโยนมาโดยตลอดได้ด้วยก็พอแล้ว

แต่ว่า แล้วไหงฉันถึงได้มายืนอยู่ที่เมืองชายแดนแบบนี้ ไม่สิ นี่เป็นแค่หมู่บ้านเล็กๆ ที่ชายแดนเองด้วย กับสัมภาระน้อยนิดในมืออยู่แบบนี้กันน่ะเหรอ?

 

ทุกอย่างต้องเล่าย้อนกลับไปเมื่อเดือนก่อน…

 

TN: ขอทักทายพี่ๆ นักอ่านชาวเว็บแมวทุกท่านด้วยนะครับ ^^