ตอนที 232 จัดการเฮ่อเชิ่ง

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที 232 จัดการเฮ่อเชิ่ง

เฉินเฟิงทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ เสมองไปทางเจ้าพวกกระจอกทั้งหมดด้วยสายตาเหยียดหยาม

พอเห็นว่าเจ้าพวกนั้นพากันตัวสั่นด้วยความกลัวก็เอ่ยถามขึ้นอย่างช้า ๆ ว่า “แล้วพวกเอ็งจะชดใช้ให้กับเรื่องที่ก่อไว้ยังไง?”

เหล่าอันธพาลพวกนั้นฉลาดพอที่จะตอบคำถามนั้นด้วยการควักเงินออกมาด้วยสีหน้าเศร้าหมอง

ตั้งใจจะมาไถเงินคนอื่น ๆ แท้ ๆ แต่กลับต้องมาเสียเงินซะได้

ที่เลวร้ายที่สุดคือหลินม่ายชวนพวกมันกินเซาเข่าที่ร้านต่อ แม้อยากจะหนีไปแค่ไหนก็ต้องยอมจ่ายเงินซื้ออาหารทั้งหมดของวันนี้ตามคำสั่งของพี่เฟิงแบบไม่มีใครกล้าจะโต้แย้งอะไร

เมื่อรวบรวมเงินมาได้ เฉินเฟิงก็หันมาบอกหลินม่าย “ลองนับดูว่าพอหรือเปล่า ถ้ายังได้ไม่ครบฉันจะให้มันไปหามาอีก”

เจ้าของร้านสาวนับเงินที่ได้มาในวันนี้ ทั้งหมดมากกว่า 100 หยวน จ่ายค่าเสียหายที่เกิดขึ้นในวันนี้ได้ทั้งหมดอย่างเหลือเฟือ

เธอเงยหน้าขึ้นแล้วพูดว่า “ได้เงินเท่านี้พอแล้ว เรื่องความเสียหายก็แล้วกันไปเถอะ”

เฉินเฟิงเลยโบกมือไล่เจ้าพวกอันธพาลก่อกวนให้ออกไปได้

หลินม่ายไม่ใช่คนที่จะมองข้ามน้ำใจจากคนอื่น เธอเลยชวนให้เฉินเฟิงและพวกลูกน้องเข้ามากินข้าวด้วยกันในร้าน จัดการเลี้ยงอาหารมื้อใหญ่ให้พวกเขาทุกคนเป็นการตอบแทน

เฉินเฟิงพาพรรคพวกเข้ามานั่งในร้าน บรรดาลูกน้องต่างตื่นเต้น

เจ้าของร้านสาวเข้าครัวลงมือทำอาหารด้วยตัวเองโดยใช้เครื่องในไก่ มันฝรั่ง ถั่วแระญี่ปุ่นมาทำเป็นเมนูของกินเล่น และยังมีเซาเข่า เบียร์ และเครื่องดื่มอื่น ๆ มากมายเต็มโต๊ะไปหมด

ลูกน้องสองสามคนของเฉินเฟิงเริ่มเอ่ยชวน “เถ้าแก่เนี้ย ลูกพี่ของเราอุตส่าห์ช่วยคุณไว้ ไม่มานั่งดื่มด้วยกันซักหน่อยเหรอ”

หลินม่ายตรงเข้ามาเปิดขวดเบียร์ให้เฉินเฟิง “พี่เฟิง ฉันจะมาบอกคุณพอดี ฉันต้องกลับไปดูร้านเสื้อที่ถนนเจียงฮั่นแล้ว คงไม่ได้อยู่ดูแลนะ ทุกคนกินกันตามสบายเลยไม่ต้องรีบกลับ”

เฉินเฟิงโบกมือตอบ “รีบไปเถอะ”

หลินม่ายจึงหันหลังเดินออกจากร้านไป

เขาเห็นว่าเธอรีบวิ่งออกไปอย่างกับกระต่ายก็รู้สึกปั่นป่วนในหัวใจด้วยความเสียดาย แต่ก็ไม่ได้แสดงอาการเหล่านั้นออกมา เพียงแค่แสร้งหันไปบอกกับบรรดาลูกน้องของตัวเองเสียงขรึม “หล่อนมีแฟนแล้ว ไปพูดแบบนั้นเดี๋ยวแฟนเขามาได้ยินจะทำยังไงหา”

เหลียนเฉียวลอบชำเลืองมองเขาแล้วจิบเบียร์อย่างเงียบ ๆ

หลินม่ายวิ่งเหยาะ ๆ กลับมาที่ร้านเสื้อบนถนนเจียงฮั่น ก็เห็นหลี่หมิงเฉิงยืนทำท่าเก้ ๆ กัง ๆ อยู่ที่ร้านตั้งแต่ไกลขณะที่เสี่ยวม่านกำลังช่วยขายของให้แทน

หลินม่ายตรงเข้าไปที่ร้านแล้วเอ่ยถามกับหลี่หมิงเฉิง “มายืนงงอะไรเนี่ย ทำไมเสี่ยวม่านไปขายของแทนแบบนั้น”

พอได้ยินเสียงเจ้าของร้านตัวจริง เสี่ยวม่านก็หันมายิ้มเผล่ เผยให้เห็นฝันขาวซี่เล็ก ๆ “ไม่เป็นไร พี่หมิงเฉิงช่วยฉันก่อน ฉันเลยมาช่วยบ้าง”

หลินม่ายได้ยินแบบนั้นเลยเอ่ยอย่างติดตลก “พี่หมิงเฉิงเขาช่วยอะไรเธอได้ด้วยเหรอเนี่ย”

ชายหนุ่มหนึ่งเดียวเริ่มเกาหัวอย่างเขิน ๆ “ฉันไม่ได้ช่วยอะไรมาก มีลูกค้าสองคนที่จะซื้อถุงเท้ามาก่อกวนเธอ ฉันก็เลยช่วยไล่ไป”

“วีรบุรุษปกป้องหญิงงามสินะ” หลินม่ายเอ่ยเย้า แล้วเข้าไปบอกให้เสี่ยวม่านกลับไปดูร้านของตัวเองได้แล้ว

ส่วนเธอก็ไปยืนแทนที่เพื่อจัดการร้านเสื้อผ้าของตัวเองเช่นกัน

ถึงแม้ว่าเสี่ยวม่านจะมาช่วยขายอยู่นาน แต่ก็ไม่ได้ขายเสื้อผ้าไปเลยสักตัว

เสื้อผ้าที่หลินม่ายเตรียมมาทั้งคุณภาพดีและมีสไตล์ แต่เพราะมันเป็นเสื้อผ้าสำหรับฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง เลยยังไม่มีคนสนใจซื้อมันไปสักคน

ถึงจะเข้ามาดูก็พากันต่อราคา

แทบไม่มีใครเข้ามาซื้อโดยไม่ต่อราคา เพราะหลินม่ายขึ้นราคาขายไปที่ 30 หยวน

มีลูกค้าเข้ามาถามราคา และเมื่อรู้ว่าเธอขายตัวละ 30 หยวนก็ต้องรีบถามต่อ “หา นี่มันของมือสองไม่ใช่เหรอ ทำไมยังแพงขนาดนี้ได้เนี่ย”

“เป็นเสื้อผ้ามือสองที่เอามาตกแต่งใหม่ค่ะ เลยต้องมีค่าตกแต่งด้วย”

หลินม่ายยิ้มการค้า “ถึงจะเป็นของมือสอง แต่ก็เป็นของนำเข้านะคะ ไม่ใช่ของถูก ๆ ทั่วไป ลองดูแบบ ดูเนื้อผ้าได้เลย หาไม่ได้ในประเทศเราหรอกแบบนี้ ถ้าคุณคิดว่ามันแพงไป ฉันขายราคานี้เฉพาะนอกฤดูกาลเท่านั้นนะคะ ถ้าไปซื้อช่วงอากาศเย็นกว่านี้ต้องจ่ายตัวละ 40 หยวนเลยนะ”

เสื้อผ้าพวกนั้นดูสวยอย่างที่เธอว่าจริง ๆ ดูแล้วเป็นการออกแบบสไตล์ญี่ปุ่นทั้งหมด

ลูกค้าหลายคนเริ่มคล้อยตามในคำพูดของแม่ค้าสาว แล้วเริ่มต่อรองว่า “ลดให้อีกหน่อยไม่ได้เหรอ?”

“ลดได้ตัวละสองหยวน”

“ถ้าลด 5 หยวน ตัวละ 25 ฉันจะซื้อเลย”

“ฉันก็จะซื้อด้วย”

หลินม่ายที่ได้ยินแบบนั้นก็แสร้งทำเป็นลังเลและถอนหายใจ “สองตัว 50 นะ ลดได้เท่านี้แหละค่ะ”

“สองตัว 50 แบบนี้ก็ขายตัวละ 25 ได้สิ ผมอยากได้แค่ตัวเดียว”

แต่หลินม่ายไม่ยอมตามนั้น “โธ่ ตัวละ 25 นี่แทบจะไม่มีกำไรแล้วค่ะ ฉันต้องไปหาของถึงกว่างโจว ถ้าขายตัวละ 25 นี่ฉันได้กำไรแค่ตัวละ 2.5 หยวนเอง แบบนี้ก็อยู่ไม่ได้กันพอดี ฉันขายของได้ 50 หยวน ได้เงินแค่ 5 หยวนเอง ขอเป็นค่าแรงให้ฉันสักหน่อยเถอะนะคะ”

ได้ยินความยากลำบากแบบนั้นพวกเขาก็เริ่มคล้อยตามเข้าไปอีก

เหล่าลูกค้าต่างซื้อเสื้อผ้ากันไปคนละ 2 ตัวเพื่อให้ได้ราคาตัวละ 25 หยวนตามที่ตกลงกัน ผ่านไปหนึ่งชั่วโมง เสื้อผ้าสามร้อยตัวก็ถูกขายออกไปจนหมด

เสี่ยวม่านมองเธออย่างนับถือ “ม่ายจื่อ เธอสุดยอดมาก”

หล่อนก้มลงมองถุงเท้าที่ตัวเองเตรียมมาขาย “ถ้ารู้ว่าเสื้อผ้าขายง่ายกว่าถุงเท้า คงเอาเสื้อผ้ามาขายบ้างแล้ว”

หลินม่ายตอบตามตรง “มันไม่เกี่ยวว่าของจะเป็นอะไร มันอยู่ที่การตลาดมากกว่า”

“การตลาดยังไงน่ะ” เสี่ยวม่านเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น “สอนฉันบ้างได้ไหม”

“ไว้พรุ่งนี้จะสอนให้ ฉันต้องกลับแล้ว”

ก่อนจะกลับ หลินม่ายเอาเงิน 500 หยวนฝากลูกน้องของเฉินเฟิงที่กำลังดูความเรียบร้อยแถวนั้นไปให้ลูกพี่ของพวกเขา

เฉินเฟิงเคยช่วยเธอมาหลายครั้งแล้ว รวมเรื่องที่ไปช่วยไล่พวกก่อกวนในวันนี้ด้วย

เธอไม่อยากจะติดค้างน้ำใจใครโดยไม่ตอบแทน และคิดว่าเงินเป็นสิ่งตอบแทนที่ดีที่สุดจะได้ไม่ต้องเป็นหนี้บุญคุณอะไรต่อกัน

เฉินเฟิงได้เงินห้าร้อยหยวนจากหลินม่ายในคืนนั้น

เหลียนเฉียวมองดูก็รู้ว่าเจ้านายไม่ได้ต้องการเงินนั่นซักนิด แล้วเดี๋ยวก็คงจะเอามันไปคืนให้เธอ

ไม่คาดว่าเขากลับยิ้มขึ้นมาและเก็บเงินห้าร้อยนั่นใส่ลงในกระเป๋า

เขาเข้าใจดีว่าเงินพวกนี้หมายถึงอะไร

หญิงสาวคงใช้เงินพวกนี้เป็นเส้นแบ่งความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเธอ เป็นการเตือนเขาว่าไม่อาจข้ามเส้นนั้นไปได้

เหลียนเฉียวเห็นว่าเจ้านายยอมรับเงินไว้ก็รู้สึกมีความสุขขึ้นมา

การที่เขายอมรับเงินไว้ก็หมายความว่าเฉินเฟิงเองก็ยอมรับเช่นกันว่าความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่เป็นเรื่องทางธุรกิจเท่านั้น ไม่ได้เกินเลยเป็นอย่างอื่นที่มากกว่านั้น

เจ้าพวกอันธพาลที่ต้องเสียเงินให้เฉินเฟิงเพราะทำตามคำสั่งของเฮ่อเชิ่งก็พอกันไปหาเฮ่อเชิ่งเพื่อขอให้เขาจ่ายเงินคืน

ในตอนนั้นเฮ่อเชิ่งกำลังดูหนังฮ่องกง ไต้หวัน อยู่ที่ห้องกับพรรคพวกอีกสองสามคน เขาตกใจมากกับสิ่งที่ได้ยิน เพราะเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าหลินม่ายจะได้รับการคุ้มครองจากเฉินเฟิง

หลังจากจ่ายเงินให้พวกอันธพาลไปแล้ว เฮ่อเชิ่งก็ไม่มีอารมณ์จะดูหนังต่อ ตัดสินใจกลับบ้านอย่างเสียอารมณ์

ระหว่างทางก็มีคนสองคนมาขวางเอาไว้ที่ถนน ยังไม่ทันจะได้ตั้งตัวก็ถูกคลุมด้วยกระสอบ คนพวกนั้นพากันลากเขาไปที่ป่ารกชัฎข้างทาง รุมทำร้ายร่างกายอย่างรุนแรงแล้วพากันจากไป

กว่าที่พ่อเฒ่าเฮ่อจะได้ข่าว เฮ่อเชิ่งก็นอนอยู่ที่โรงพยาบาลแล้ว

เมื่อเห็นว่าลูกชายถูกรุมทำร้ายร่างกายจนยับเยิน เห็นสภาพแล้วก็รู้สึกเสียใจระคนโกรธจัด

เขาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ คิดว่าหลินม่ายทำเกินไปแล้ว

เขาเสียใจที่ไม่น่าปล่อยให้ลูกชายจ้างอันธพาลไปก่อกวนที่ร้านของหลินม่าย และคิดว่าต้องทำอะไรซักอย่าง

ฟางจั๋วหรานมาที่ร้านในตอนเช้าเพื่อกินข้าว และเริ่มถามหลินม่ายเรื่องานหมั้นแบบที่อยากได้

แฟนสาวของเขาคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบออกมา “เชิญคุณปู่คุณย่ามาแล้วก็กินข้าวอร่อย ๆ ด้วยกันแล้วกันค่ะ”

“ไม่อยากได้งานเลี้ยงเหรอ?” แม้ว่าเขาจะเป็นคนชอบอะไรเรียบง่ายเหมือนกัน แต่ก็รู้สึกว่าอยากจะจัดงานหมั้นระหว่างเขากับเธอแบบเป็นทางการเสียหน่อย

เขาอยากจะบอกให้คนทั้งโลกรู้ว่าสาวน้อยคนนี้เป็นคู่หมั้นของเขาแล้ว

หลินม่ายส่ายหน้าแทนคำตอบ “ไม่ต้องทำให้ยุ่งยากหรอก ทำอะไรง่าย ๆ เถอะค่ะ แล้วงานแต่งค่อยว่ากันอีกที”

คุณหมอหนุ่มแอบเสียดายนิดหน่อย แต่ก็ต้องทำตามเธออย่างไม่มีทางเลือก

หลินม่ายเริ่มถามเขาต่อ “เมื่อวานที่คุณพาสถาปนิกมาตรวจบ้าน เขาว่ายังไงบ้างเหรอคะ”

“เขาบอกว่าโครงสร้างแข็งแรงดี อยากจะทำเพิ่มอีกชั้นก็ไม่มีปัญหา”

หญิงสาวพยักหน้าตอบ “เยี่ยมเลยค่ะ”

………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ถ้าจะไปฟ้องร้องคนทำร้ายลูกชาย ก็ต้องไปฟ้องคนที่ยั่วยุให้ลูกทำแบบนี้น่ะพ่อเฒ่า ลูกชายไปเล่นกับไฟเอง

ไหหม่า(海馬)