บทที่ 2 ลงโทษ (รีไรท์)

บทที่ 2 ลงโทษ (รีไรท์)

หลินเจิ้งชิงถามเสี่ยวเป่าว่า นางต้องการให้พวกเขาถูกลงโทษอย่างไร

เด็กหญิงถือป้ายวิญญาณของมารดา คิ้วขมวดมุ่น “พวกเราไปกันเถอะเจ้าค่ะ”

หลินเจิ้งชิงรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง “เจ้าไม่อยากแก้แค้นให้ตัวเองบ้างหรือ?”

เด็กหญิงสูดลมหายใจเข้า “ถึงแม้พวกเขาจะปล่อยให้ข้าหิวและทุบตีข้า แต่พวกเขายังคงเป็นญาติของท่านแม่ จากนี้ไป เสี่ยวเป่าไม่ต้องการพวกเขาแล้ว ท่านลุงลองปล่อยให้พวกเขาอดอาหารดูบ้าง ปล่อยให้พวกเขาหิวโหยจะได้รับรู้ว่าข้ารู้สึกอย่างไร เท่าก็เพียงพอแล้วเจ้าค่ะ ฮึ่ย!”

หลินเจิ้งชิงมององค์หญิงตัวน้อยเบะปากทำเสียงราวกับว่านางลงโทษครอบครัวนี้ได้หนักหนาสาหัส ก็รู้สึกพอใจมาก

เขาอดที่จะหัวเราะไม่ได้ นางยังเป็นเพียงเด็กน้อยคนหนึ่งจริง ๆ

หลินเจิ้งชิงพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ได้ เช่นนั้นก็ให้พวกเขาอดอาหารสักสองวัน”

ตอนนี้ซูเสี่ยวเป่ามีความสุขมาก นางถือป้ายวิญญาณของมารดาและเงยใบหน้ามอมแมมขึ้นเล็กน้อย นัยน์ตางดงามเต็มไปด้วยความคาดหวัง

“พวกเราไปหาท่านพ่อกันเถอะเจ้าค่ะ!” เสียงของเด็กน้อยร่าเริงมาก

แม้เขาจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเด็กคนนี้ แต่ในใจกลับอดไม่ได้ที่จะเอ็นดูอีกฝ่าย

ทว่าเมื่อคิดถึงบิดาผู้บังเกิดเกล้าของซูเสี่ยวเป่าแล้ว เขาก็อดสงสารนางไม่ได้จริง ๆ

หลินเจิ้งชิงพูดอย่างนุ่มนวลว่า “บิดาของเจ้างานยุ่งมาก อาจจะไม่มีเวลามาพบเจ้าเท่าไหร่ แต่จะมีคนคอยดูแลเจ้าอย่างใกล้ชิด เพราะฉะนั้น หากไปถึงพระราชวังแล้วเสี่ยวเป่ายังไม่ได้พบกับบิดา ก็ไม่ต้องน้อยใจไป เข้าใจหรือไม่?”

ซูเสี่ยวเป่าเอียงหัวอย่างสงสัย “พระราชวังหรือ? ที่นั่นคือที่ใด เสี่ยวเป่าไม่เข้าใจ ใช่บ้านของบิดาหรือไม่?”

หลินเจิ้งชิงอธิบายให้นางฟังว่าราชวงศ์และพระราชวังคืออะไร เสี่ยวเป่าตั้งใจฟังเป็นอย่างดี เพราะว่านางต้องการรู้ข้อมูลเกี่ยวกับบิดาของตนเองให้ได้มากที่สุด

รถม้าพาเสี่ยวเป่าเข้าไปในเมือง เมื่อม่านของรถม้าถูกเลิกขึ้น เสี่ยวเป่าก็มองดูทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ด้านนอกหน้าต่างด้วยความตื่นเต้น ดวงตาเป็นประกายขณะที่ปากอ้ากว้าง นางส่งเสียงอุทานออกมาตลอดเวลา

“คนเยอะจังเลยเจ้าค่ะ”

ตั้งแต่เกิดจนถึงตอนนี้ นางยังไม่เคยเดินทางเข้าเมืองมาก่อน เมื่อมองไปยังท้องถนนที่จอแจในขณะนี้ สีหน้าของนางจึงมีความสุขมาก

หลินเจิ้งชิงนั่งถัดจากนาง จู่ ๆ เขาก็พบว่าเด็กหญิงตัวน้อยกำลังจ้องมองไปยังสถานที่แห่งหนึ่งอย่างกระตือรือร้น ท่าทางความอยากรู้นี้กลายเป็นสิ่งที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด

หลินเจิ้งชิงเงยหน้าขึ้นมองก็พบว่าสถานที่ที่เด็กหญิงกำลังจ้องมองอยู่นั้นเป็นร้านขายซาลาเปา และผู้ขายยังคงตะโกนเสียงดังฟังชัดเจน

“ซาลาเปาจ้า ซาลาเปาลูกโต ๆ”

โครก~!

เสียงท้องร้องดังมาจากท้องของเสี่ยวเป่าในเวลาที่เหมาะสมพอดิบพอดี

เช้านี้นางได้รับประทานเพียงผลไม้รสเปรี้ยว นอกจากจะไม่อิ่มแล้ว มันยังทำให้นางรู้สึกหิวมากขึ้นอีกด้วย

หลินเจิ้งชิงกวักมือเรียก ออกคำสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาลงไปซื้อซาลาเปา

เมื่อซาลาเปานึ่งลูกโต ๆ ถูกส่งให้เสี่ยวเป่า ดวงตาที่ใสกระจ่างของเด็กหญิงก็เปล่งประกายอย่างน่าอัศจรรย์

“เสี่ยวเป่ากินมันได้หรือไม่?”

ซูเสี่ยวเป่าไม่ได้รับซาลาเปามาในทันที แต่มองหลินเจิ้งชิงกลับไปอย่างน่ารักและน่าสงสาร

“กินได้อยู่แล้ว เพราะซาลาเปาเหล่านี้เป็นของเจ้าแต่เพียงผู้เดียว”

“ขอบคุณท่านลุงมากเจ้าค่ะ!”

เด็กหญิงตัวน้อยกล่าวขอบคุณอีกฝ่ายด้วยความดีใจ หลังจากนั้น นางก็พยายามเช็ดมือที่สกปรก แต่แล้วก็ต้องยอมรับด้วยความลำบากใจว่าตนเองไม่สามารถเช็ดมันให้สะอาดได้

“แวะโรงเตี๊ยมกันก่อนเถอะ ข้าจะให้เจ้าได้ไปอาบน้ำ”

เด็กหญิงแสดงรอยยิ้มเขินอาย รับคำว่า “ขอบคุณท่านลุงมากเจ้าค่ะ”

หลังจากนั้น นางก็อ้าปากเล็ก ๆ กัดซาลาเปานึ่งยัดไส้แสนอร่อย ซูเสี่ยวเป่ารับประทานด้วยท่าทางพึงพอใจ แก้มที่มอมแมมเล็กน้อยพองกลมและดวงตาก็สดใสขึ้น

นางดูไม่ต่างจากตุ๊กตาตัวน้อยที่ทำให้ผู้คนเอ็นดูได้ตั้งแต่แรกเห็น

ซูเสี่ยวเป่ายัดซาลาเปานึ่งเข้าปากไม่หยุด นางพยายามจะพูดอะไรบางอย่างออกมาตลอดเวลา แต่เพราะในปากมีแต่ซาลาเปา เขาจึงไม่รู้ว่าเด็กหญิงกำลังพูดอะไรอยู่

หลินเจิ้งชิงล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาทำความสะอาดใบหน้าให้แก่เด็กน้อยและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ค่อย ๆ กินเถิด เคี้ยวหมดแล้วเจ้าค่อยพูดออกมาก็ได้”

เสี่ยวเป่าพยักหน้าและรอจนซาลาเปาในปากถูกเคี้ยวจนหมด ก็พูดออกมาด้วยความพอใจว่า “อร่อยมากเลยเจ้าค่ะ”

ใช่แล้ว นี่คือสิ่งที่นางต้องการจะกล่าวก่อนหน้านี้

แล้วนางก็เริ่มกินซาลาเปาต่อไป…

เมื่อไปถึงโรงเตี๊ยม เสี่ยวเป่ากินซาลาเปาของตนเองจนหมดแล้ว ท้องเล็ก ๆ หยุดส่งเสียงร้อง แต่นัยน์ตาสีดำขลับคู่สวยยังคงจ้องมองซาลาเปาอีกลูกที่ยังอยู่ในมือของหลินเจิ้งชิงไม่วางตา

หลินเจิ้งชิงกวักมือเรียก สตรีในชุดนางกำนัลรับใช้สีชมพูอ่อนสองนางพลันก้าวมาข้างหน้า แล้วกล่าวด้วยความเคารพว่า

“คุณหนู พวกเราเตรียมน้ำไว้ให้เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”

หลินเจิ้งชิงกล่าวออกมาว่า “ไปอาบน้ำก่อนเถอะ แล้วค่อยกลับมาทานต่อ”

ซูเสี่ยวเป่าพยักหน้ารับคำสั่งอย่างเชื่อฟัง แต่ก่อนจะจากไป นางยังคงจ้องมองซาลาเปาอย่างไม่เต็มใจอยู่หลายครั้ง ราวกับกลัวว่าซาลาเปาลูกนั้นจะลอยหายไปในสายลมก็ไม่ปาน

เมื่อเด็กน้อยเดินออกไปกับนางกำนัล รอยยิ้มบนใบหน้าหลินเจิ้งชิงก็สลายหายไปในพริบตา

“ไปดูว่าพวกเขาปฏิบัติต่อองค์หญิงอย่างไรบ้าง”

“ขอรับ!”

องครักษ์ที่ถือฝักกระบี่ประสานกำปั้นรับคำสั่งและจากไปอย่างรวดเร็ว

แม้ว่าเนื้อตัวของเสี่ยวเป่าจะสกปรกและเสื้อผ้าก็ขาดรุ่งริ่ง แต่ยังดีที่ไม่มีบาดแผลอยู่บนร่างกายของนาง

หลังจากอาบน้ำเรียบร้อยแล้ว เด็กหญิงผู้งดงามอ่อนหวานก็ปรากฏกายขึ้นต่อหน้าทุกคน นางกำนัลสองคนนั้นถึงกับตกตะลึงไปในทันที

“องค์หญิงงดงามมากเลยเพคะ!”

นางกำนัลที่มีนิสัยร่าเริงคนหนึ่งอดประหลาดใจไม่ได้

นี่คือเด็กหญิงผู้อ่อนหวานและงดงามที่สุดเท่าที่นางเคยพบเจอมา อีกอย่างนางแทบจำไม่ได้เลยว่า องค์หญิงเคยเนื้อตัวมอมแมมขนาดไหนมาก่อน

เสี่ยวเป่าเคยได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีจากมารดาของนาง อีกทั้งยังได้รับการยกย่องว่าเป็นเด็กน้อยที่สะอาดและงดงามที่สุดในหมู่บ้านอีกด้วย

แต่หลังจากที่ท่านแม่เสียชีวิตไป เด็กหญิงก็เริ่มหิวโหยและร่างกายก็เริ่มผอมแห้ง แต่เมื่อได้อาบน้ำชำระล้างร่างกาย นางก็ยังคงเป็นตุ๊กตากระเบื้องเคลือบที่บอบบางและสวยงามดังเดิมอยู่ดี

เสี่ยวเป่าได้อาบน้ำชำระคราบสกปรกแล้วก็ยิ้มออกมาอย่างร่าเริง

“หอมจังเลย!” นางยกเท้าน้อย ๆ ของตนเองขึ้นมาดม

เมื่อเห็นเช่นนี้ นางกำนัลทั้งสองก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “ใช่แล้วเพคะ องค์หญิงน้อยของพวกเราตัวหอมมาก ไปเปลี่ยนชุดกันเถิดเพคะ”

ด้วยความช่วยเหลือจากนางกำนัลทั้งสองคน เสี่ยวเป่าก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดสีเหลืองสดใส โดยปล่อยผมที่เปียกชื้นให้ยาวสยาย นางแทบรอไม่ไหวแล้วที่จะไปหาหลินเจิ้งชิงเพื่อทานซาลาเปาอีกครั้ง

“องค์หญิง! องค์หญิงเพคะ ได้โปรดวิ่งช้าลงหน่อย!”

แม้เสี่ยวเป่าจะขาสั้น แต่นางกลับวิ่งเร็วมาก

นางกำนัลทั้งสองคนที่อยู่ด้านหลังแทบจะไล่ตามไม่ทัน

หลังจากนั้น นางก็วิ่งไปชนหลินเจิ้งชิงเข้าจนเกือบจะหงายหลัง

เด็กหญิงมองขึ้นไปก็เห็นว่าเป็นหลินเจิ้งชิง จากนั้นดวงตาวาววับก็มองไปที่มือของเขาโดยไม่รู้ตัว

ซูเสี่ยวเป่าหรี่ตาลงทันทีเมื่อไม่เห็นซาลาเปานึ่งที่กำลังนึกถึง

หลินเจิ้งชิงมองเด็กน้อยที่เนื้อตัวสะอาดแล้ว คิ้วกับดวงตาของนางมีความคล้ายคลึงกับผู้เป็นมารดามากทีเดียว

เขาเคยเห็นภาพเหมือนของซูหว่านเหนียงมาก่อน แม้ว่าจะเป็นการเห็นโดยบังเอิญ แต่เขาก็จดจำมันได้เป็นอย่างดี

ซูเสี่ยวเป่าเกิดมามีหน้าตางดงามและชาติกำเนิดสูงส่ง ถือเป็นการหลอมรวมข้อดีของบิดามารดาเข้าด้วยกัน อายุเพียงเท่านี้ก็พอมองออกแล้วว่าเมื่อเติบโตขึ้น นางจะต้องเป็นยอดหญิงงามผู้หนึ่งอย่างแน่นอน

เอาแค่ความคล้ายคลึงกันระหว่างคิ้วกับดวงตาของนาง ก็ไม่มีผู้ใดกล้าสงสัยในชาติกำเนิดของเด็กหญิงผู้นี้อีกแล้ว

บางครั้ง ดวงตาที่สดใสของเด็กหญิงก็เผยให้เห็นความหมองหม่น ทุกสิ่งที่นางกำลังคิดมักจะถูกแสดงออกมาทางใบหน้าโดยไม่รู้ตัว แน่นอนว่าหลินเจิ้งชิงก็สังเกตเห็นเช่นกันและเขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเป็นทุกข์ในขณะที่กำลังหัวเราะไปพร้อมกับนาง

นี่คือองค์หญิงเพียงหนึ่งเดียวแห่งราชวงศ์ต้าเซี่ยของพวกเขา นางควรจะมีชีวิตที่ร่ำรวยและมั่งคั่ง แต่กลับมีชะตากรรมที่น่าเวทนาเหลือเกิน