ตอนที่ 3 เซนต์(เก๊)เอลริส(2)

สุดยอดเซนต์ตัวปลอมแห่งยุค

เซนต์เอลริสเป็นเด็กสาวที่เอาแต่ใจตัวเอง

เติบโตในสภาพแวดล้อมที่ไม่ว่าอยากได้อะไรก็ต้องได้ เธอกลายเป็นคนที่ละโมบและหยิ่งยโส

แค่เธอบอกว่าต้องการสิ่งใด ทุดคนก็จะพยายามหาสิ่งนั้นมาประเคนให้ถึงที่

เพราะว่าเธอคือความหวังเดียวของมนุษยชาติในการต่อกรกับแม่มด

ถ้าไม่มีเซนต์อยู่ล่ะก็ มนุษยชาติที่ถูกบดขยี้โดยกองทัพแม่มดและเหล่าปีศาจภายใต้การบัญชา

ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ชีวิตของเซนต์นั้นมีค่ามากกว่าใครหรือสิ่งใดในโลก

เอลริสเติบโตมาโดยถือคติว่าทุกๆคนนั้นอยู่ชั้นต่ำหว่าตน และไม่เคยคิดจะขอบคุณในสิ่งใดทั้งสิ้นที่เธอได้รับมา

อาหารชั้นเลิศ สภาพความเป็นอยู่ที่หรูหรา และคนรับใช้ที่คอยอำนวยความสะดวกทุกอย่างให้เธอ…ทุกสิ่งที่กล่าวมานี้เป็นเพียงเรื่องธรรมชาติสำหรับเธอ ยิ่งกว่านั้น ถ้าสิ่งที่เธอได้รับมาไม่ถึงมาตรฐานของตัวเธอเอง ก็จะเริ่มมีน้ำโห

ทุกอย่างนี้เปลี่ยนไปเมื่อเอลริสอายุได้ 5 ขวบ

ราวกับกลายเป็นคนใหม่ เธอเริ่มที่จะพูดจาสุภาพกับผู้คนรอบตัว

เธอปฏิบัติกับคนรับใช้ด้วยความอ่อนโยน ต่างจากเมื่อก่อนที่เข้มงวดเป็นที่สุด เธอเริ่มมีความกระตือรือร้นในการเรียนรู้ การฝึกฝนวิชาดาบ และวิชาเวทมนตร์ ทุกอย่างนี้ที่เธอเคยเรียกว่าเป็นสิ่งที่น่ารำคาญ

ผลลัพท์ก็เห็นๆกันอยู่ เอลริสที่แต่เดิมมีพรสวรรค์ในระดับยากจะหาใครเทียบได้อยู่แล้ว ผนวกเข้ากับความมุ่งมั่นในการฝึกฝนตัวเองอย่างไม่หยุดหย่อน เมื่อเธออายุย่างเข้าสิบสองปี เธอกลายเป็นปรมาจารย์ในทุกสาขาวิชา กลายเป็นอันดับหนึ่งในทวีปตั้งแต่ยังเยาว์

ใครๆก็บอกว่านี่คือความสามารถของเซนต์

จริงอยู่ที่ใครก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเธอนั้นมีพรสวรรค์เลิศล้ำ

แต่เหล่าผู้ที่ทำการฝึกสอนเธอโดยตรง ต่างรู้ว่าภายใต้อัจฉริยภาพนั้น ล้วนเปี่ยมล้นไปด้วยความทุ่มเททั้งร่างกายและจิตใจ

เธอเริ่มให้ความสำคัญกับเวลา และใช้มันไปกับการฝึกฝนจนหมดราวกับถูกสิงสู่

เธอกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในวิชาดาบและเวทย์ด้วยความเร็วที่ราวกับว่าเธอไม่รู้จักพักผ่อน เธอเรียนรู้เวทมนตร์ทุกประเภทนอกจากธาตุความมืด วิชาดาบของเธอนั้นแม่นยำในระดับที่สามารถตัดผ่านช่องว่างระหว่างเซลล์ได้

เธอคือเซนต์อย่างแท้จริง

เมื่อเธออายุครบ 14 ปี รูปลักษณ์ของเธอนั้นสามารถเรียกได้เพียงว่า สมบูรณ์แบบ ผมสลวยราวกับสายทองคำ ใบหน้างดงามที่ราวกับพระเจ้าเป็นผู้ปั้นมากับมือ

สวมชุดสีขาวบริสุทธิ์ เธอมอบรอยยิ้มให้แก่ทุกผู้คนที่ได้พบเจอ

องครักษ์คนหนึ่งที่เคยฝึกสอนเธอได้กล่าวไว้;

“ท่านเอลริสขอรับ…เหตุใดท่านจึงต้องฝืนตนเองขนาดนี้ด้วย? ผู้คนมากมายเป็นห่วงท่านนะขอรับ ความสามารถของท่านในขณะนี้นั้นไร้เทียมทานในทวีปนี้ไปแล้ว…กรุณาคิดถึงตนเองให้มากกว่านี้ด้วยเถิด”

ด้วยรอยยิ้มบางๆ เอลริสตอบกลับมาว่า;

“ในอดีต ชั้นเคยเป็นผู้หญิงที่รุนแรงและหยาบกร้านค่ะ ชั้นใช้อำนาจที่ได้รับมาทำเรื่องที่ไม่ถูกต้อง ในฐานะเซนต์แล้วนั่นเป็นดั่งการเย้ยหยันความหวังของผู้คน เป็นเพราะว่าชั้นได้มองเห็นข้อผิดพลาดในอดีตของตนเอง อย่างน้อยที่สุด ชั้นในตอนนี้ก็อยากจะตอบแทนความคาดหวังของทุกคนค่ะ ชั้นน่ะดูแลตัวเองมามากพอแล้ว เพราะฉะนั้นในตอนนี้ ชั้นอยากจะมอบความรักนั้นให้แก่ผู้คนบ้าง ชั้ยรักทุกสิ่งทุกอย่างในโลกใบนี้ค่ะ…เพราะแบบนั้น ชั้นจะพยายามให้ดีที่สุด”

ประกาศว่าตนรักทุกสิ่งในโลก รอยยิ้มของเซนต์เอลริสส่องประกายเจิดจรัส

ต่อหน้ารอยยิ้มนั้น ครูฝึกก็ทำได้เพียงเช็ดน้ำตาอย่างเงียบๆ

เธอคนนี้คือเซนต์อย่างไม่ต้องสงสัยเลย เด็กเอาแต่ใจในอดีตคนนั้นได้เติบโตขึ้นอย่างงดงามแล้ว

ข้าจะอุทิศชีวิตและวิญญาณรับใช้ท่านผู้นั้นไปจนกว่าจะหาไม่

ครูฝึกสาบานกับตนเองและโลก

.

จากปากคำของทหารเกณฑ์คนหนึ่ง เขาได้พบเห็นปาฏิหาริย์ด้วยตาตนเอง ในสถานที่ที่เรียกได้ว่าเป็นแถวหน้าสุดของนรก กองทัพถูกสั่งให้ประจำการอยู่ด้านหน้าเมืองที่ถูกปิดล้อมโดยทัพของปีศาจ เหล่ามารร้ายนับพันปะทะกองทหารมนุษย์จำนนเพียงสามร้อย เป็นจำนวนที่ต่างกันจะเรียกได้ว่าตลกร้ายเลยทีเดียว

“กำลังเสริมอยู่ที่ไหน?”

“มันจบแล้ว! ประเทศนี้ทอดทิ้งเราแล้ว!”

ถูกทอดทิ้งโดยชาติของตน เสียงร้องของความสิ้นหวังดังก้องในหมู่ทหารในขณะที่ชะตาของพวกเขาใกล้จะขาดเต็มทน เพราะว่าเมืองนี้ไม่สามารถใช้งานในด้านกลยุทธ์ได้อย่างนั้นหรือ? หรือพวกที่อยู่ในเมืองหลวงแค่ต้องการจะใช้เมืองนี้เป็นเหยื่อล่อเพื่อซื้อเวลาหลบหนี?

เป็นแค่ทหารเกณฑ์ เขาไม่อาจเข้าใจเรื่องยากๆแบบนั้นได้

“ร..รีบหนีกันเถอะ เร็วเข้า!”

“ไอ้บ้า! ถ้าเราหนีแล้วพวกประชาชนจะเป็นยังไงล่ะ แถมเราก็ไม่มีที่ให้หนีแล้วด้วย เราโดนล้อมอยู่โว้ยย!”

ทหารเกณฑ์หนุ่มได้แต่กัดฟัน ความคิดเดียวที่อยู่ในหัวคือ “เราไม่อยากตาย” เขาไม่อยากมาตายอย่างไร้ความหมายในที่แบบนี้ จะมาตายทั้งที่ยังไม่เคยแม้แต่จะประสบความสำเร็จอะไรสักอย่างแบบนี้ไม่ได้

แต่ความเป็นจริงนั้นโหดร้าย ขนาดวงล้อมค่อยๆลดเข้ามาเรื่อยๆ เขาสามารถได้ยินเสียงกรีดร้องของเหล่าสหายที่ต้องพบกับความตายดังก้องไปทั่วสนามรบอันโหดร้ายนี้

ชายหนุ่มไม่อาจแม้แต่จะก้าวขา ความกลัวทำให้ทั่วทั้งร่างของเขาเหมือนเป็นอัมพาต ช่วงล่างสั่นเครือและส่งกลิ่นไม่พึงประสงค์ออกมา ไม่นานนัก ปีศาจก็เดินเข้ามาใกล้

ในชั่วพริบตานั้น ฟ้าแยกออก แสงศักดิ์สิทธิ์ตกลงมาจากสวรรค์ ชำระล้างสิ่งโสมมเช่นปีศาจ ราวกับเป็นทัณฑ์สวรรค์จากพระผู้เป็นเจ้า ท่ามกลางแสงเหล่านั้น ปรากฏร่างของเด็กสาวในชุดขาวลอยอยู่

ต่อหน้ารูปโฉมเจิดจริสราวกับหลุดออกมาจากเทพนิยาย ทหารเกณฑ์ทำได้เพียงมองด้วยความศรัทธา

“…ขอโทษนะ” คำพูดพึมพำหลุดผ่านริมฝีปากสีสดสวยของเธอ

กลุ่มก้อนหลังแสงถูกปล่อยออกมาจากฝ่ามือของเธอ ก่อนที่พวกทหารจะรู้สึกตัว

ขนาดของลูกพลังนั้นไม่ใหญ่ คิดว่าน่าจะสามารถจับได้ด้วยมือเดียว แต่เมื่อใดที่มันปะทะเข้ากับร่างของเหล่าปีศาจ ร่างนั้นก็จะแหลกสลายเป็นผุยผง

ลูกบอลแสงนั้นค่อยๆถูกปล่อยออกมาทีละลูก มันเคลื่อนที่ด้วยความเร็วที่ไม่มาก แต่กองทัพปีศาจที่อยู่ในอาณาเขตก็ถูกเปลี่ยนเป็นเถ้าธุลี

เป็นพลังที่สูงส่งจนไม่อาจจะเข้าใจได้

“นี่…นี่คือ เซนต์…! ช่างเป็นคนที่สุดยอดอะไรขนาดนี้…!

เพียงแค่ปรายตามอง ก็สามารถรู้ได้แล้วว่าท่านผู้นั้นคือเซนต์ตัวจริงเสียงจริง

ความหวังสุดท้ายของมนุษยชาติในการต่อกรกับแม่มด สัญลักษณ์แห่งแสงสว่าง ความหวัง และสันติภาพ

เขาทำได้เพียงแค่อึ้งทึ่งกับพลังมหาศาลนั้น

เป็นพลังที่ห่างชั้นจนเกินไป ทัพปีศาจที่ดูน่าสะพรึงกลัวจนถึงเมื่อสักครู่ถูกเปลี่ยนเป็นเศษฝุ่นไปในพริบตา

ไม่นานนัก กองทัพปีศาจก็ถูกกำจัดจนหมด เซนต์ค่อยๆลอยลงมายังเบื้องล่าง

“โอ โอ…ท่านเซนต์! พวกเราจะตอบแทนท่านอย่างไรดี…กรุณาเข้ามาพักผ่อนในเมืองก่อนเถอะขอรับ เมืองนี้ทั้งเมืองปลาบปลื้มที่จะต้อนรับท่านอย่างเป็นที่สุด”

“ไม่ค่ะ ขอบคุณนะคะสำหรับคำเชิญ แต่ที่นี่ไม่ใช่สถานที่เดียวที่ถูกรุกรานโดยปีศาจ ชั้นคงจะต้องขอตัวไปที่อื่นต่อ”

หลังจากที่ปฏิเสธคำเชิญของเทศมนตรี เซนต์เงยหน้าขึ้นฟ้า เตรียมพร้อมที่จะมุ่งไปสู่สนามรบถัดไป

ถึงแม้จะรู้ว่านี่เป็นเรื่องที่เสียมารยาท ทหารเกณฑ์หนุ่มก็ไม่อาจอดใจไม่ให้ถามคำถามเหล่านี้ต่อเธอคนนั้น

แต่เขาอยากจะรู้ ทำไมเธอถึงขอโทษเหล่าปีศาจ? ทำไมเธอถึงรีบร้อนที่จะสู้ขนาดนั้น?

“ทะ…ท่านเซนต์! เหตุใดท่านจึงกล่าวขอโทษต่อพวกปีศาจก่อนที่ท่านจะกำราบพวกมันด้วยขอรับ? ทำไมท่านถึงรีบร้อนที่จะมุ่งสู่สนามรบถัดไปมากขนาดนั้น? ทะ…ท่านไม่เกรงกลัวบ้างเลยหรือขอรับ?”

เขาควรถูกมองอย่างเหยียดหยามที่ถามคำถามไร้สาระพรรค์นี้ออกไป

แต่เซนต์ทำเพียงมองเข้ามาในตาของเขา และพูดด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน;

“ปีศาจพวกนั้นเองก็เป็นสิ่งมีชีวิต ที่ถูกชั้นคนนี้จบชีวิตลงอย่างโหดร้าย เหมือนกับนายพรานที่ล่าสัตว์เพื่อความบันเทิง…ในท้ายที่สุด การฆ่าฟันนั้นเป็นเรื่องที่น่าเศร้า แต่เพราะนั่นเป็นสิ่งที่ชั้นจำเป็นต้องทำ เพื่อปกป้องทุกๆคน…”

ได้ยินคำพูดของเธอ ในที่สุดทหารเกณฑ์ก็เข้าใจถึงความเขลาของตนเอง

เธอผู้นี้เศร้าโศกเพราะว่าเธอเชื่อว่าการฆ่าฟันสิ่งมีชีวิต แม้กระทั่งปีศาจ เป็นสิ่งที่เลวร้าย ในโลกใบนี้คงไม่มีใครอื่นที่เสียใจในความตายของปีศาจ ไม่มีใครมองพวกมันเป็นสิ่งมีชีวิตด้วยซ้ำ เพราะว่าปีศาจคือสิ่งแปลกปลอมต่อโลก และเป็นภัยอันตรายต่อมนุษยชาติ

การที่เซนต์หลั่งน้ำตาให้แก่ความตายของพวกมัน เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าจิตใจของเธอนั้นดีงามจนเกินไป…แต่เพราะการฆ่าล้างเป็นสิ่งจำเป็นที่เธอต้องทำ เพื่อปกป้องพวกเราทุกคน เธอยอมที่จะเป็นคนบาป

เมื่อรู้เช่นนี้แล้ว เขาได้แต่สมเพชตัวเองที่ถามคำถามเช่นนั้นไปอย่างไร้ความคิด

ในวันนั้น ทหารเกณฑ์ได้กลายเป็นนักรบ

เขาในตอนนี้นั้นอ่อนแอเกินกว่าจะสามารถช่วยอะไรเธอได้ แต่เขาก็ยังต้องการที่จะเป็นพลังให้เธอไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

สาบานกับตนเอง สักวันหนึ่ง เขาจะเป็นประโยชน์ให้แก่เธอผู้มีจิตใจงดงาม

.

เด็กสาวตกอยู่ในภวังค์แห่งความสิ้นหวัง

เมื่อปีก่อน ชีวิตของเธอยังสุขสบาย ล้อมรอบไปด้วยเพื่อนฝูง เป็นที่รักของพ่อแม่และคู่หมั้นของเธอ แต่เพียงแค่วันที่เลวร้ายหนึ่งวัน ทุกอย่างก็พังทลายลง เธอถูกปีศาจจู่โจม ใบหน้าของเธอได้รับบาดเจ็บ หลงเหลือแผลเป็นเหวอะหวะขนาดใหญ่ ขาของเธอถูกทำให้พิการ ไม่อาจเดินได้อีกตลอดชีวิต

ผู้คนรอบตัวเธอเองก็เปลี่ยนไป ถูกมองด้วยความสงสารปนรังเกียจ คู่หมั้นของเธอก็ทอดทิ้งเธอไป อย่างเดียวที่เธอสามารถทำได้คือเกลียดชังทุกสิ่งทุกอย่าง เกลียดชังพระเจ้าที่มอบชะตาชีวิตเช่นนี้มาให้

ทำไมเธอถึงต้องเจ็บปวดแบบนี้? ทำไมพระเจ้าต้องมอบบททดสอบนี้ให้เธอด้วย?

ความเกลียดชังทุกสิ่งทุกอย่างนำมาซึ่งความสิ้นหวัง

ผู้ใช้เวทย์รักษาที่มีชื่อเสียงก็คงพอจะทำอะไรกับแผลของเธอได้บ้าง อย่างน้อยก็คงดีกว่าที่เธอเป็นอยู่ แต่การรักษาแบบนั้นต้องใช้เงินจำนวนมหาศาลที่ครอบครัวของเธอไม่อาจจ่ายไหว

ถ้าจะต้องใช้ชีวิตอยู่แบบนี้ล่ะก็ “ให้ชั้นตายซะยังจะดีกว่า” เธอคิดเช่นนั้น

อยู่มาวันหนึ่ง จู่ๆคำสาปนี้ก็ถูกคลายออก

ด้วยเหตุผลบางอย่าง เซนต์ได้ปรากฏตัวที่หมู่บ้านเล็กๆที่เธออาศัยอยู่…และเอลริส ผู้ใช้เวทมนตร์ที่อยู่เหนือสามัญสำนึก ได้รักษาใบหน้าและขาของเธอจนหายเป็นปกติ ไม่ขอรับค่าใช้จ่ายหรือกระทั่งคำขอบคุณใดๆ

ทำท่าจะเดินจากไปอย่างเงียบๆราวกับนี่เป็นเรื่องธรรมชาติ เด็กสาวหยุดเซนต์ผู้นั้นไว้

“ทำไมถึงช่วยชั้นล่ะ? คุณไม่ได้อะไรตอบแทนจากการช่วยชั้นสักหน่อย…”

ตอบกลับมาด้วยรอยยิ้มที่ถึงแม้เป็นผู้หญิงด้วยกันก็ต้องหลงไหล เซนต์กล่าวว่า;

“มือคู่นี้ของชั้นไม่ยาวพอที่จะเอื้อมไปหาทุกคนที่ต้องการความช่วยเหลือ ไม่ว่าอย่างไรก็จะต้องมีผู้คนที่ชั้นไม่สามารถช่วยได้ แต่ว่า อย่างน้อยที่สุด ชั้นก็อยากจะช่วยทุกคนที่ชั้นสามารถเอื้อมถึงค่ะ…ถ้าจะมีสิ่งใดที่ชั้นได้รับจากการทำแบบนี้ ชั้นได้รับมันมาแล้วล่ะค่ะ รอยยิ้มของคุณน่ะทำให้ชั้นมีความสุขที่สุดเลย”

ถึงแม้โลกนี้จะโหดร้าย แต่อย่ายอมแพ้นะ อนาคตจะต้องดีขึ้นอย่างแน่นอน

ชั้นอยากให้คุณเข้มแข็ง หัวเราะ และใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข

ราวกับว่าเธอได้ยินเสียงจากหัวใจของเซนต์

ไม่อาจทนได้อีก น้ำตาของเธอพรั่งพรูออกมา

เธอสมเพชตัวเองที่ยอมแพ้ให้แก่ความเจ็บปวด ที่ยอมให้ความสิ้นหวังกัดกินเธอ ยอมแพ้ทั้งที่ยังไม่ทันได้พยายามอะไร ได้แต่จมปลักกับความอับโชคของตน พาลเกลียดชังไปเสียทุกอย่าง

เธอเทียบอะไรกับเซนต์ไม่ได้เลย เธอไม่แม้แต่จะพยายามด้วยซ้ำ

“ท่านเซนต์คะ! สักวันหนึ่ง…ชั้นจะต้องตอบแทนพระคุณของท่านให้ได้เลย! บุญคุณนี้ชั้นจะไม่มีวันลืมไปชั่วชีวิต!”

ไม่มีอีกแล้ว ชีวิตที่เต็มไปด้วยความเกียจคร้าน ลังเล และไร้ความหมาย

ท่านเซนต์มอบความหวังให้เธอ มอบอนาคตให้เธอ

ชีวิตของเธอต่อจากนี้มีไว้เพื่อท่านผู้นั้น

เด็กสาวได้ตัดสินใจ

เธอจะทำทุกวิธีเพื่อตอบแทนบุญคุณนี้ เธอจะอุทิศชีวิตนี้ให้แก่เซนต์

.

เด็กหนุ่มคนนั้น-เวอร์เนลถูกทุกสิ่งทุกอย่างทอดทิ้ง

เดินอย่างจุดหมายอยู่ในป่าด้วยดวงตาที่ไร้วิญญาณ เขาสะดุดและล้มลง

เขาหวังว่าตัวเองจะตายที่นี่ เป็นเศษเสี้ยวของความหวังหนึ่งเดียวที่เขามี ความตายในตอนนี้นับเป็นเมตตาสำหรับเขา อย่างไรซะก็ไม่มีใครจะเศร้าที่เขาตายไปอยู่แล้วด้วย

ทว่า ไม่ว่าจะเดินไปเท่าไรหรือหิวกระหายแค่ไหน ร่างกายของเขาบังคับให้เขาต้องมีชีวิตต่อ พลังความมืดไม่ยอมให้ร่างสถิตเสียชีวิตลง

พืชใดที่เขาสัมผัสจะร่วงโรยไปจากหมอกทมิฬที่ลอยออกมาจากร่างอยู่ตลอดเวลา

เกิดในตระกูลขุนนางบ้านนอก เวอร์เนลใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในฐานะผู้สืบทอดวงศ์ตระกูล

อนิจจา ในวันเกิดครบรอบอายุ 14 ปีของเขา…จู่ๆพลังความมืดระเบิดออกจากร่างของเวอร์เนล และทำลายคฤหาสถ์จนย่อยยับ

เขาไม่อาจรู้ได้ว่าเป็นเพราะอะไร

เด็กหนุ่มผู้น่าสงสารคนนี้ไม่อาจรู้ได้เลยว่าในร่างของเขามีเศษเสี้ยววิญญาณแม่มดสถิตอยู่

อย่างเดียวที่เขารับรู้ก็คือพลังความมืดในร่างของเขาถูกปลุกขึ้นมา เหมือนกับแม่มด

“ไปตายซะไอ้ปีศาจ! แกไม่ใช่ลูกข้า!”

“ไม่อยากเชื่อเลยว่าครอบครัวเราจะมีตัวอะไรแบบนี้อยู่ด้วย…”

“ไปจากที่นี่ซะ ไอ้สัตว์ประหลาด!”

“ไม่ต้องกลับมาให้เห็นอีกนะ ไอ้สมุนของแม่มด!”

“ปีศาจ”

“สัตว์ประหลาด”

“อสูรกาย”

“อมนุษย์”

“ตัวโสโครก”

ไม่มีใครต้องการผม

ทุกคนต้องการให้ผมตาย

จิตใจของเด็กชายอายุเพียงสิบสี่ปีไม่สามารถรับเรื่องเหล่านี้ไหว

ไม่มีความมุ่งมั่นที่จะมีชีวิตต่อ น้ำตาที่ไหลออกจนไม่เหลือแม้แต่หยดได้เหือดแห้งกลายเป็นคราบอยู่บนแก้ม เงาดำปรากฏตัวตรงหน้าของเด็กหนุ่มที่ไม่สนใจอะไรอีกแล้ว

“ข้าเจอเจ้าแล้ว…ข้ามาเพื่อต้อนรับ…เจ้า…ท่านแม่มด…รอเจ้าอยู่…”

เงาดำนั้นยื่นมือเข้าหาเวอร์เนล

ก็แค่รับมือนี้ไว้ ยังไงผมก็กลับไปไม่ได้อีกแล้ว…

ถึงแม้จะรู้ว่าไม่ควร แต่เวอร์เนลไม่มีความมุ่งมั่นใดเหลือจะต่อต้าน…

อย่างเดียวที่เขาคิดได้คือ…”ผมไม่มีอะไรเหลืออีกแล้ว”

ในชั่วเวลานั้น ใครบางคนเข้ามาขัดขวาง ผลักให้เงาดำนั้นถอยห่างออกไป

“แก…เป็นใคร…”

“ไปซะ มารร้าย ตราบเท่าที่ชั้นยังอยู่ ชั้นจะไม่ปล่อยให้เจ้าลวงเด็กคนนี้เข้าสู่วิถีแห่งความชั่วร้ายเด็ดขาดค่ะ”

“เจ้า…เซนต์!? แก…แกกล้าดียังไงมาขวางข้า…! แต่พลังนี้…ดูเหมือนว่าการต่อสู้กับเจ้าจะไม่ใช่ความคิดที่ดีสินะ”

เงาดำหลบหนีไปหลังจากพูดคุยกับเด็กสาวได้ไม่กี่คำ

เซนต์ จากที่เงาดำเรียกเธอ ค่อยๆหันมาหาเวอร์เนล

สิ่งเดียวที่ปรากฏในความคิดของเขาก็คือความงดงามไร้ที่ติของเธอคนนั้น

ขนาดแสงที่ส่องผ่านใบไม้ยังช่วยเสริมให้เธอยิ่งดูงดงาม

เซนต์พูดกับเวอร์เนลด้วยรอยยิ้ม

“เป็นอะไรมั้ยคะ?”

“…เธอน่าจะปล่อยผมไว้”

ไม่ เขาไม่ควรพูดอย่างนั้นเลย

ถึงแม้จะคิดแบบนั้น ปากของเวอร์เนลขยับไปเอง พูดในสิ่งที่ตัวเขาก็ไม่นึกถึง

เซนต์ทำเพียงมองอย่างเงียบๆ ไม่ไหวติงกับสิ่งที่เขาพูด

“…ยังไงผมก็ต้องตายอยู่แล้ว ไม่มีใครมาเศร้ากับการที่ผมตายหรอก เพราะแบบนั้น ถึงจะโดนเงาดำนั่นจับไป…อย่างน้อยผมก็คงได้ตาย…”

ทั้งที่ไม่ได้ถูกถามแท้ๆ ปากของเขากลับระบายความทุกข์ที่อัดอั้นอยู่ในใจออกมาอย่างต่อเนื่อง

“เธอไม่รู้หรอก ไม่มีทางที่เซนต์อย่างเธอจะเข้าใจผมหรอก! ไม่มีทางเข้าใจจิตใจของคนที่ไร้ค่าอย่างผม! ไม่มีใครเข้าใจความคิดของสิ่งสกปรก ไร้ค่าเสียยิ่งกว่าขยะข้างถนน! ถึงผมจะรอดไปได้ อนาคตของผมก็…”

เขาพบว่าตัวเองตะโกนเสียงดัง

เขาอิจฉาตัวตนที่อยู่ตรงหน้า

เซนต์…ความหวังของมนุษยชาติ ตัวตนที่เป็นที่รักของทุกคน

เธอน่ะต่างจากผม ด้วยความอิจฉาริษยา คำที่ไม่อยากจะเอ่ยก็ถูกพ่นออกมาจากปากของเขาเอง

น่าแปลกที่เขาสามารถซื่อสัตย์กับตัวเองได้แบบนี้ต่อหน้าเธอ แม้จะไม่รู้ว่าเป็นเรื่องดีรึเปล่า

แค่รู้สึกอยากจะระบายมันออกมา

เซนต์กล่าวกับเด็กหนุ่ม;

“อย่างน้อยที่สุด ชั้นจะเศร้าค่ะ ถ้าคุณตายไปล่ะก็…ชั้นคงจะเศร้ามาก”

เวอร์เนลหยุดชะงัก เขาเงยหน้ามองตาของเซนต์ ที่มีน้ำตาหยดหนึ่งไหลลงมา

นี่เธอคนนี้ร้องไห้ให้กับชายต้องสาปที่เธอเพิ่งเคยพบเป็นครั้งแรกงั้นหรือ?

…เธอบอกว่าเธอจะเศร้าให้กับผมงั้นหรือ?

ในวินาทีนั้น นั่นเป็นคำปลอบโยนที่อบอุ่นที่สุดเท่าที่เวอร์เนลที่จะสามารถฝันถึง

ก่อนที่เขาจะรู้สึกตัว เขาสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่นุ่มนวล…ในที่สุดเวอร์เนลก็เข้าใจว่าเขาถูกโอบกอดอยู่

“ดูให้ดีๆสิ เธอน่ะไม่สกปรก เธอน่ะไม่ไร้ค่าสักหน่อยนะ”

“…!”

ดวงตาของเวอร์เนลปริ่มน้ำ น้ำตาที่คิดว่าเหือดแห้งไปแล้วไหลออกมาอย่างกับเขื่อนแตก

ตั้งแต่ที่พลังตื่นขึ้นมา เขาถูกปฏิบัติราวกับเป็นสิ่งโสโครกในทุกๆที่ที่เขาเดินผ่าน

ไม่มีใครกล้าแตะต้อง ไม่มีใครอยากเข้าใกล้

เด็กสาวคนนี้กอดตัวตนโสมมนี้โดยไม่ลังเลแม้แต่นิด

เขาอยากจะหลับตาต้อนรับการปลอบโยนนั้น…แต่เวอร์เนล พยายามผลักไสเด็กสาวออกด้วยความตกใจ

“ไม่ ไม่! อย่ามาแตะต้องตัวผม! ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปล่ะก็ เธอก็จะ…รีบออกห่างจากตัวผมเร็วเข้า!”

หมอกทมิฬที่ไหลออกจากตัวเวอร์เนลจะทำลายทุกอย่างที่เขาสัมผัส ไม่ว่าเขาจะต้องการหรือไม่

ไม่มีทางที่เขาจะกอดใครได้หรอก

เวอร์เนลต้องการจะผลักไสเธออกไป แต่เซนต์กลับลูงหลังของเขาเบาๆ พูดเสริมความมั่นใจให้แก่เขา

“ไม่เป็นไร…ไม่เป็นไรหรอก อย่ากลัวไปเลยนะ สักวันหนึ่งพลังนี้จะเป็นประโยชน์แก่ตัวคุณ แต่ว่าในตอนนี้ คุณอาจจะต้องเจ็บปวดหากไม่สามารถควบคุมมันได้…เพราะแบบนั้น ขอชั้นยืมพลังไปใช้สักพักก่อนนะคะ”

ในขณะเดียวกับที่เซนต์กล่าว หมอกทมิฬที่คอยสร้างความทรมานให้เวอร์เนลก็ถูกดูดเข้าไปในร่างกายของเซนต์

เหมือนฝันที่เป็นจริง

เขาต้องทรมานกับมันมาอย่างยาวนาน เขาไม่เคยคิดว่าการควบคุมพลังนี้จะเป็นไปได้ด้วยซ้ำ

สามารถดูดพลังนี้เข้าไปได้อย่าง่ายได้ ในที่สุดเวอร์เนลก็เชื่ออย่างสนิทใจว่าเธอคือเซนต์ตัวจริง…

“อย่ายอมแพ้ที่จะมีความสุขเลยนะคะ บางทีในอนาคตอาจจะมีอุปสรรครอคุณอยู่ แต่ชั้นเชื่อค่ะ…ว่าวันหนึ่ง คุณจะต้องได้พบกับแฮปปี้เอนดิ้งแน่นอน…ไม่สิ ชั้นจะทำให้มันเป็นจริงเองค่ะ”

ถึงแม้ร่างกายนี้จะแตกสลาย

ในส่วนสุดท้ายเป็นเสียงกระซิบที่ยากจะได้ยิน เซนต์ผละตัวออกจากเวอร์เนลพร้อมกับยิ้มอ่อนๆ

เธอมีพลังบางอย่างที่ทำให้เขาต้องการที่จะเชื่อในเธอแบบไร้ข้อกังขา