ตอนที่ 2 ท่านย่า

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

“เจ้าค่ะคุณหนูใหญ่!” ชุนเหยียนขานรับเดินแหวกม่านเข้ามาจากด้านนอก เมื่อเห็นว่าไป๋ชิงเหยียนนั่งอยู่ตรงขอบเตียงก็รีบเดินมาหยิบผ้าคลุมไหล่มาคลุมให้ไป๋ชิงเหยียนพลางกล่าว

“พี่ชุนเถาไปช่วยงานแม่หลัวที่จวนฮูหยินยังไม่กลับมาเลยเจ้าค่ะ”

เห็นว่าไป๋ชิงเหยียนอารมณ์ไม่ค่อยดี ชุนเหยียนก็อดเป็นห่วงมิได้

“เหตุใดคุณหนูไม่เรียกบ่าวมารับใช้ล่ะเจ้าคะ”

“ยามใดแล้ว”

“ยามเว่ย[1]แล้วเจ้าค่ะ” ชุนเหยียนเก็บมุ้งทั้งสองข้างเตียงเข้าที่เรียบร้อย

“คุณหนูจะรับซุปไก่ฉีกสักหน่อยหรือไม่เจ้าคะ แม่ฟางที่โรงครัวอุ่นเอาไว้ให้คุณหนูตลอด กลิ่นหอมน่าทานมากเลยเจ้าค่ะ”

นางขยับผ้าคลุมไหล่เล็กน้อย “ช่วยข้าแต่งตัวเถิด”

สิ้นเสียงตะโกน “คุณหนูใหญ่ตื่นนอนแล้ว” ลานที่เมื่อครู่เงียบสงบก็เต็มไปด้วยเสียงอึกทึกทันที ใครมีหน้าที่กวาดหิมะก็ทำไป ใครมีหน้าที่เตรียมน้ำก็เตรียม

ไม่นานพวกสาวใช้ที่คอยดูแลเรื่องอาบน้ำก็ทยอยกันนำน้ำล้างหน้า กระโถน กะละมังทองแดง ผ้าเช็ดหน้าเข้ามายืนเรียงกันเป็นแถว ชุนเหยียนจึงสั่งให้เปิดม่านแล้วนำสาวใช้เข้าไปด้านใน

ชุนเถากลับมาถึงเรือนชิงฮุยได้ยินว่าคุณหนูใหญ่ตื่นแล้วจึงรีบปัดเศษหิมะบนตัวออก แหวกม่านเข้าไปด้านในเพื่อคอยรับใช้ เห็นไป๋ชิงเหยียนสวมเสื้อท่อนบนสีขาวท่อนล่างสวมทับด้วยกระโปรงซึ่งประดับด้วยลายดอกบัวสีเดียวกันคลุมทับด้วยเสื้อคลุมขนจิ้งจอกขาวเตรียมพร้อมออกไปข้างนอก ชุนเถารีบถลาเข้าไปช่วยผูกเสื้อคลุมให้ไป๋ชิงเหยียน

“ด้านนอกหิมะยังตกหนักอยู่เลยเจ้าค่ะ คุณหนูไม่สบายอยู่จะออกไปไหนหรือเจ้าคะ”

“ข้าไปพบท่านย่า”

ชุนเถาอยากเอ่ยพูดแต่สุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ย ช่วยไป๋ชิงเหยียนผูกเชือกเสื้อคลุมเสร็จนางนำถ่านร้อนๆ จากเตาถ่านใส่ไปในเตาผิงขนาดมือถือ นางรู้ว่าคุณหนูใหญ่ของนางมีความคิดเด็ดเดี่ยวต่อให้นางเอ่ยจนปากเปื่อยก็คงไม่มีประโยชน์อันใด

ไป๋ชิงเหยียนรับเตาอุ่นมือที่ชุนเถาส่งให้มาประคองไว้ในอ้อมแขน จากนั้นเอ่ยสั่ง

“ตอนข้าไปพบท่านย่าเจ้าไม่ต้องอยู่คอยรับใช้นะ เจ้าแอบไปที่เรือนหน้าบอกให้หลูผิงไปรอพบข้าที่ทางเดินตรงภูเขาจำลองท้ายเรือนอีกครึ่งชั่วยามข้ามีเรื่องจะสั่งให้เขาทำ”

“เจ้าค่ะ!” ชุนเถารับคำ

นางเดินไปได้สองก้าวกำเตาผิงในมือแน่นหันกลับไปมองชุนเหยียนที่กำลังเก็บเสื้อผ้าอยู่ ตอนนี้ถือว่าซุนเหยียนยังคงซื่อสัตย์ต่อนางอยู่ “ชุนเหยียนไปบอกให้ชิงจู๋มาพบข้ายามซี[2]ด้วยนะ”

นับดูแล้วตอนนี้ผู้ชายตระกูลไป๋น่าจะเสียชีวิตหมดแล้ว ทว่า…ในเมื่อสวรรค์เมตตาให้นางเกิดใหม่อีกครั้ง ไป๋ชิงเหยียนก็อยากจะลองสู้ให้สุดชีวิต หากปกป้องไว้ได้สักคนเล่ามันก็ดีกว่าไม่ได้ทำอันใดเลย!

“เจ้าค่ะ! หากบ่าวเก็บเสื้อผ้าเสร็จแล้วจะไปตามแม่นางเสิ่นให้เจ้าค่ะ!” ชุนเหยียนรับคำอย่างรวดเร็ว

หิมะยังไม่หยุดตกแม่นางเดินย่ำหิมะไป สาวใช้ซึ่งกวาดหิมะอยู่ที่เรือนฉางโซ่วไหวพริบดี มองเห็นนางแต่ไกลจึงรีบเข้าไปรายงาน

ไป๋ชิงเหยียนยังไม่ทันเดินถึงหน้าประตูเรือน เจี่ยงหมัวมัว[3]บ่าวรับใช้ข้างกายของท่านย่าก็รีบออกมาต้อนรับ

“คุณหนูใหญ่ หิมะยังไม่หยุดตกเลยคุณหนูมามีเหตุใดหรือเจ้าคะ?”

เจี่ยงหมัวมัวเดินถือร่มมาหยุดอยู่ตรงหน้าไป๋ชิงเหยียนพร้อมกับบรรดาสาวใช้ นำเตาผิงอันใหม่จากสาวใช้มาเปลี่ยนกับเตาผิงอันเก่าของไป๋ชิงเหยียนซึ่งเย็นเฉียบหมดแล้วอย่างคล่องแคล่ว จากนั้นกางร่มให้ไป๋ชิงเหยียนด้วยตัวเอง

ตอนนั้นไป๋ชิงเหยียนถูกแทงบริเวณช่องท้องจนตกลงไปในแม่น้ำทำให้ทนต่อความหนาวไม่ได้ ทุกคนในจวนต่างรู้กันดี

เจี่ยงหมัวมัวรับใช้ข้างกายของท่านย่ามาตั้งแต่อายุเจ็ดขวบยังไม่ได้แต่งงาน หลังจากที่ท่านย่าเสียชีวิต ไม่นานหลังจากนั้นเจี่ยงหมัวมัวก็ตายตามไป เห็นได้ชัดถึงความจงรักภักดีของนาง

“แม่นม…” นางเดินไปที่เรือนฉางโซ่วพร้อมกับเจี่ยงหมัวมัวพลางเอ่ยถาม

“ท่านย่านอนกลางวันท่านตื่นหรือยัง”

“องค์หญิงใหญ่ตื่นแล้วเจ้าค่ะ กำลังสวดมนต์ภาวนาให้พระคุ้มครองนายท่านกั๋วกงกับซื่อจื่อให้กลับมาอย่างปลอดภัยเจ้าค่ะ”

“ช่วงนี้ท่านย่าแข็งแรงดีใช่หรือ”

“คุณหนูใหญ่วางใจได้เจ้าค่ะ หมอหลวงตรวจดูอาการขององค์หญิงใหญ่แล้ว ท่านไม่ได้เป็นอันใดมากเจ้าค่ะ แค่ใกล้จะสิ้นปีแล้ว แต่ซื่อจื่อกับคุณชายท่านอื่นๆ ยังไม่กลับมาเสียทีองค์หญิงใหญ่เลยนอนไม่ค่อยหลับเจ้าค่ะ” เจี่ยงหมัวมัวกล่าว

นางพยักหน้าน้อยๆ เดินเข้าไปในห้องผิงไฟเพื่อจัดการกับเสื้อผ้าของตนเองก่อน เจี่ยงหมัวมัวกำชับให้บ่าวนำรองเท้าถุงเท้าที่มีแต่หิมะของไป๋ชิงเหยียนไปเปลี่ยน แล้วนำน้ำอุ่นมาล้างมือให้นาง

“หมัวมัวหยุดก่อนเถิด ข้ามีเรื่องจะกล่าวกับท่าน” นางถอดเสื้อคลุมส่งให้ชุนเถา นั่งลงข้างเตาผิง

“พวกเจ้าออกไปก่อน…”

เจี่ยงหมัวมัวเป็นคนฉลาด เมื่อรู้ว่าไป๋ชิงเหยียนมีเรื่องจะกล่าวด้วยจึงยืนนิ่งอยู่ข้างๆ

“หมัวมัว มีข่าวส่งมาจากทางหนานเจียง…”

เจี่ยงหมัวมัวกลั้นหายใจมีลางสังหรณ์ไม่ดี สีหน้าเริ่มแย่ “หรือว่านายท่านกั๋วกง…”

นางจ้องไปที่เตาผิงนิ่งๆ ยื่นมืออังไฟเงียบไปครู่หนึ่งจากนั้นเอ่ยขึ้น “ท่านช่วยเตรียมยาช่วยชีวิตที่ไทเฮา[4]เคยพระราชทานให้ท่านย่าเอาไว้ด้วย แล้วก็เตรียมพวกยาโสมเอาไว้เผื่อด้วยล่ะ”

เจี่ยงหมัวมัวพยักหน้า สีหน้าซีดเผือด

กร๊อบ! ได้ยินเสียงหักของอันใดสักอย่าง ไป๋ชิงเหยียนหันมองไปยังนอกหน้าต่างไม้แกะสลักเป็นเสียงกองหิมะเบียดทับกิ่งไม้จนหัก

นางกำนิ้วมือเย็นเฉียบของตัวเองไว้แน่น เม้มริมฝีปาก

“ให้คนนำบัตรเชิญของท่านย่าไปเชิญหมอหลวงหวงมาด้วย”

“คุณหนูใหญ่ ความจริงที่ช่วงนี้องค์หญิงใหญ่นอนไม่ค่อยหลับก็น่าจะเพราะมีลางสังหรณ์อยู่แล้วเจ้าค่ะ!” ดวงตาของเจี่ยงหมัวมัวแดงก่ำ

“องค์หญิงใหญ่เป็นคนเข้มแข็ง ไม่ต้องถึงกับตามหมอหลวงมาหรอกเจ้าค่ะ ท่านรับไหว”

“หมัวมัว ตามหมอหลวงมาด้วยดีกว่า” ไป๋ชิงเหยียนหลุบตาลง ดวงตาเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา

ท่านย่าเข็มแข็งรับไหวหรือไม่ไหวชาติที่แล้วนางรู้ดู ชาตินี้นางกลัวที่จะสูญเสียญาติไปอีก นางรู้ว่าด้วยความฉลาดของท่านย่าต่อให้นางจะอ้างว่ามันคือความฝันท่านก็คงพอจะเดาอันใดได้บ้าง นางต้องเตรียมพร้อมให้ดีที่สุด

“หรือว่า…เกิดเรื่องกับซื่อจื่อด้วยหรือเจ้าคะ” เจี่ยงหมัวมัวเกาะขอบประตูเอาไว้ ขาอ่อนแรงจนแทบจะล้มไปกองกับพื้น

ซื่อจื่อที่เจี่ยงหมัวมัวพูดถึงก็คือบิดาของไป๋ชิงเหยียน บุตรชายคนโตขององค์หญิงใหญ่

นางมองไปทางเจี่ยงหมัวมัวดวงตาแดงก่ำ แต่แผ่นหลังกลับยืดตรง “หมัวมัวไม่ใช่คนนอก ข้าไม่กลัวที่จะบอกกับหมัวมัว ต่อไปเกรงว่า…ทั้งตระกูลไป๋คงต้องพึ่งท่านย่าแล้วล่ะ เรื่องนี้ท่านรับรู้เอาไว้ก็พอ ก่อนที่จะมีรายงานข่าวสงครามส่งมาถึงวังหลวง ข้าตั้งใจจะอ้างว่าเรื่องนี้เป็นเพียงความฝันเพื่อให้ท่านย่าได้เตรียมใจเอาไว้ก่อน ท่านย่ายังต้องการให้หมัวมัวดูแล ท่านต้องเข้มแข็งเอาไว้นะ”

สมองของเจี่ยงหมัวมัวมีแต่เสียงวิ้งๆ เหงื่อท่วมไปทั้งร่างนางพยักหน้ารับเบาๆ รู้ว่าเรื่องนี้สำคัญเพียงใด เด็กอย่างคุณหนูใหญ่ยังทนไหว การเปลี่ยนแปลงภายในวังมากมายนางยังผ่านมาแล้วเลย จะสู้เด็กไม่ได้อย่างใดกัน

เจี่ยงหมัวมัวรวบรวมสติให้กลับคืนมาสั่งให้คนนำบัตรเชิญขององค์หญิงใหญ่ไปเชิญหมอหลวงหวงมา

ไป๋ชิงเหยียนผิงเตาทำร่างกายให้อุ่น ขจัดความเย็นบนร่างกายของตัวเองอยู่ที่เรือนด้านข้าง กะระยะเวลาที่หมอหลวงหวงน่าจะมาถึง จากนั้นจึงให้เจี่ยงหมัวมัวไปรายงานว่านางมาหา

“อาเป่า ร่างกายเจ้าไม่แข็งแรง ฝ่าหิมะมาเพราะเหตุอันใดกัน”

เมื่อองค์หญิงใหญ่เห็นไป๋ชิงเหยียนก็อดบ่นไม่ได้ คำพูดแม้จะดูเป็นการตำหนิ แต่องค์หญิงใหญ่ก็ยังคงยื่นมือไปลูบไป๋ชิงเหยียนเหมือนดั่งที่เคยทำ เมื่อพบว่ามือของนางยังอุ่นอยู่สีหน้าจึงดีขึ้น

เมื่อได้พบท่านย่าอีกครั้ง ได้ยินท่านเอ่ยเรียกชื่อเล่นของนาง ไป๋ชิงเหยียนรู้สึกเหมือนได้ผ่านมาชั่วชีวิตหนึ่งจริงๆ…

นางกลั้นสะอื้น พลางเอ่ย “ท่านย่า ข้าคิดถึงท่านเจ้าค่ะ”

องค์หญิงใหญ่มองดูท่าทีราวกับเด็กน้อยของไป๋ชิงเหยียน แกล้งทำเป็นโกรธใช้นิ้วจิ้มไปที่หน้าผากของนาง รวบตัวของหลานสาวเข้ามากอดแล้วก็ลูบไปที่มือของนางสำรวจดูว่าเย็นหรือไม่ พลางกล่าวอย่างใจดี

“อีกชั่วยามจิตกรของวังหลวงก็จะมาถึงแล้ว ผู้อื่นเขาแต่งกายอยู่ที่เรือนของตัวเองมีแต่เจ้าที่มาหาย่าที่นี่!”

พรุ่งนี้คุณหนูรองของจวนเจิ้นกั๋วกงจะออกเรือน แถมยังเป็นนางคนแรกของจวนเจิ้นกั๋วกงที่ได้ออกเรือนอีกด้วย ท่านย่าเลยตั้งใจเชิญบรรดาจิตรกรของวังหลวงมาวาดภาพเหมือนให้แก่บรรดาพี่สาวน้องสาวทั้งหลาย

เมื่อได้กอดองค์หญิงใหญ่ได้กลิ่นหอมอ่อนๆ จากเรือนร่างของท่าน นางก็ยิ่งปวดใจกลัวว่าผลลัพธ์มันจะออกมาเหมือนกับชาติที่แล้ว

เมื่อเห็นว่าเจี่ยงหมัวมัวแหวกม่านเดินเข้ามา พยักหน้าให้กับนางก็รู้ได้ทันทีว่าหมอหลวงหวงมาถึงแล้ว บ่าวรับใช้ด้านนอกก็ถูกเจี่ยงหมัวมัวไล่ไปหมดแล้ว

“ท่านย่าเจ้าคะ…” นางเงยหน้ามององค์หญิงใหญ่ “กลางวันวันนี้ข้าฝันเจ้าค่ะ ฝันเห็นท่านปู่ ท่านพ่อ บรรดาท่านลุงแล้วก็พวกน้องๆ ไม่ได้กลับมาจากหนานเจียง ท่านย่ารับไม่ได้จนล้มป่วย ยังมีคนใส่ร้ายว่าตระกูลไป๋ของพวกเราว่าเป็นกบฏ ตระกูลไป๋เหลือแค่สตรีไม่มีท่านย่าคอยปกป้องมีแต่คนมารังแกเจ้าค่ะ”

[1]ยามเว่ย หมายถึง ช่วงเวลาตั้งแต่ 13.00-15.00 น

[2]ยามซี ช่วงเวลาตั้งแต่ 17.00-19.00 น

[3]หมัวมัว คำเรียกขานบ่าวรับใช้อาวุโส ข้างหน้าจะเติมสกุลเดิมของหมัวมัวผู้นั้น เช่น สกุลเจี่ยง จะเรียก เจี่ยงหมัวมัว

[4] ไทเฮา เป็นพระอัครมเหสีของฮ่องเต้องค์เก่า อาจเป็นแม่ของฮ่องเต้รัชกาลปัจจุบันหรือไม่เป็นก็ได้