ซวย ซวยโครตๆ

         “ท่านนักบุญครับ สภาพการณ์ของกองทัพเราดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ กำลังใจพวกเขาเองก็เริ่มที่จะถดถอย กระผมเกรงว่า….”

         น้ำเสียงเต็มไปด้วยความกังวลและความสั่นเทาหลุดลอยออกมาจากชายสวมชุดเกราะอัศวินหนา โดยตอนนี้เขากำลังหันซ้ายขวามองสลับไปมาระหว่างผมกับสนามรบเบื้องหน้า

         “ท่านนักบุญออโรร่าขอรับ พ…พวกเราจะทำอย่างไรดีขอรับ ถูกตีวงล้อมแบบนี้ แม้แต่พระผู้เป็นเจ้าก็คงมิอาจช่วยพวกเราได้!”

         นายทหารอีกคนที่อยู่ข้างหลังของชายชุดเกราะพูดสนับสนุนขึ้นมาโดยทั้งสองคนนั้นจุดมุ่งหมายที่เขามาพูดในครั้งนี้กับผมก็คงไม่ใช่อะไรนอกจากขอให้ยอมแพ้

         ว่าแต่ว่านะทั้งสองคน ถึงจะไม่ใช่สถานการ์ณ์ที่ซวยขนาดโดนโอบล้อมจากทั้งสองฝั่งแบบนี้ แต่ถึงพวกนายจะตะโกนอ้าปากเปียกปากแฉะ อ้อนวอนขนาดไหน ไอ้พระเจ้ากวนโอ้ยนั่นมันก็ไม่มีทางมาช่วยหรอก มันคงนั่งขำอยู่…..

         งานงอกแล้วไง ลืมตัว

         “ต่อให้สถานการณ์ของเราจักเป็นเช่นนี้ ทว่าสิ่งที่พวกท่านพูดมานั้นช่างผิดเกินกว่าที่ตัวฉันจะยอมรับได้ค่ะ….พระผู้เป็นเจ้าไม่มีทางทอดทิ้งพวกเรา แม้จะเป็นสถานการณ์อันแสนลำบากลำบนเพียงใดก็ตาม”

         น้ำเสียงหวานๆดุจราวกับเครื่องแก้วชั้นดีดังขึ้นมา โดยต้นเสียงนั้นก็ไม่ใช่ที่ไหนอื่น มันมาจากปากของผมเอง ใช่ ตอนนี้ปากของผมมันกำลังขยับไปเองแบบควบคุมไม่ได้

         สำหรับผมมันดูโครตจะน่าอายที่ต้องมาพูดประโยคอะไรแปลกๆแบบนี้กลางสนามรบ แถมยังเป็นต่อหน้าชาวบ้านชาวช่องอีก อยากจะเอาหัวซุกปีปสักสามวันสามคืน

         แต่ก็มีอย่างหนึ่งที่ผมเห็นด้วย มันไม่ใช่เรื่องของพระจงพระเจ้าอะไรหรอก แต่ศึกนี้ถ้าเกิดพวกผมแพ้ขึ้นมาล่ะก็ ซวยทุกฝ่ายแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นประเทศ พวกแม่ทัพพวกนี้ และที่ซวยที่สุดมันก็คือตัวผมที่เอ่อ…..ออกแนวจะเป็นตัวจุดชนวนเล็กๆน้อยๆ

         ส่วนพระเจ้าน่ะหรอ มันคงนั่งเล่นหัวเราะดูฉากแบบนี้ที่ไหนแน่นอน ดังนั้นแล้วผมจะต้องพยายามทำให้มันไม่…..

         เห้อ งานงอกรอบสอง

         “พวกท่านรู้หรือไม่ ว่าในยามนี้ พระองค์ผู้ยิ่งใหญ่กำลังร้องไห้โศกเศร้าขนาดไหนที่ต้องทุกข์ทนเห็นพวกเราบาดเจ็บล้มตายกันมากมาย และมันคงจะน่าเศร้ายิ่งกว่าหากว่าเราพ่ายในศึกครั้งนี้ เพราะนั่นจะทำให้ผืนดินที่พระองค์ทรงรักหวงเหนและเหล่าชีวิตที่พระองค์ทรงเอนดูต้องพบกับความทุกข์ยาก….กับเรื่องแบบนั้น”

         กับเรื่องแบบนั้นจะอะไรก็ช่างมันเหอะ!

         “ดิฉันทนไม่ได้ค่ะ!”

         เอาฟะ ไหนๆเจ้าพระเจ้าบ้านั่นมันก็ลากผมมาจนถึงขั้นนี้แล้ว จะตามน้ำให้มันหน่อยก็ได้ฟะ

         “เช่นนั้นแล้วเหล่าผู้กล้าแห่งอาณาจักรอันศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย หากทุกท่านยังมีใจจะสู้ต่อล่ะก็ จงเดินตามข้ามา ด้วยแสงที่ส่องนำทางของพระผู้เป็นเจ้า ผู้มีชัยคือพวกเรา!”

         เฮๆๆๆ

         ด้วยน้ำเสียงปลุกใจราวกับโฆษณาชวนเชื่อในยุคสมัยก่อน ได้ปลุกขวัญกำลังใจของเหล่าทหารที่ตอนแรกดับมอดให้กลับมารุกโชดช่วงราวกับไฟไหม้ป่าที่พร้อมเผาผลาญศัตรูทุกคนที่คิดบุกเข้ามา

         “ในนามแห่งผู้รับใช้ผู้ศรัทธาพระองค์เหนือสิ่งอื่นใด ตัวข้าขอวิงวอน คมหอกแห่งความเมตตาของพระองค์จะเป็นดั่งแสงที่เบิกม่านอันมืดมิดและเปิดเส้นทางไปสู่อนาคตที่สว่างสไว!”

         ส่วนตัวผม หลังจากที่ได้พูดคำสรรเสริญอันแสนจะชวนขนลุกออกไปแล้ว มันคงทำให้ไอ้พระเจ้าด้านบนนั่นพอใจน่าดู และนั่นล่ะมันถึงทำให้สิ่งที่ผมได้รับมาจากเจ้าพระเจ้าเริ่มทำงานอีกครั้ง

         หอกสีเงินที่อยู่ในมือของผมได้ส่องประกายออกมาแล้วเปลี่ยนกลายเป็นสีทองอร่าม รัศมีของมันได้เปร่งประกายจ้าไปทั่วสนามรบที่แม้แต่ศัตรูซึ่งอยู่อีกฝั่งก็ยังสามารถมองเห็นได้

         “ท่านนักบุญ!”

         “ตามท่านนักบุญไป!”

         เหล่าทหารที่เห็นภาพนั้น ความกลัวซึ่งเคยมีอยู่ก็หายไป ถูกที่ด้วยความบ้าเต็มเหนียวซึ่งพร้อมจะกระโดดเข้าฟันข้าศึกโดยไม่คิดชีวิต โดยในใจของพวกเขาตอนนี้ก็คงคิดแน่ๆเลยว่า ตัวเองชนะแน่นอน เพราะมีนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์มารบเคียงกายแบบนี้

         ………

         ซึ่งไอ้นักบุญที่ว่านั่นมันก็ผมเอง

         แล้วหากถามว่าไหงนักบุญหญิงที่ทุกคนในสนามรบต่างก้มเคารพนับถือเชื่อใจ จนถึงขนาดยอมตายถวายชีวิตกลับมาพูดในหัวว่า ผมๆๆๆ อยู่แบบนี้

         ถ้าจะเล่ามันก็ต้องเล่าย้อนไปถึงเหตุการณ์ตั้งแต่ก่อนที่ผมจะเกิดมาโลกใบนี้…..ตั้งแต่ก่อนหน้าที่ผมจะสะดุดบันไดลื่นหัวแตกตาย…..

—————————————————————-

       

 

         เรื่องนี้ขอบอกเลยครับ…..กรุณาเสพกาวก่อนรับชม

         แค่นั้นล่ะครับ ดังนั้นแล้วกรุณาอย่าหาเหตุผลใดๆกับความผีบ้าผีบอในตัวละครของเรื่องนี้ที่สติดูจะไม่ค่อย….เต็มบาทสักเท่าไหร่