ฮื้ม? อยากรู้เรื่องของฉันอีกแล้วหรอ? ฉันก็เคยเล่าให้เธอฟังไปตั้งหลายรอบแล้วนี่นา?

ในช่วงเวลากลางดึกของค่ำคืนอันเงียบสงบคืนหนึ่ง ภายในห้องเขียนเอกสารเล็กๆ อันมืดสลัวของกระท่อมหลังหนึ่งก็ได้มีเสียงของหญิงในเสื้อกาวน์ ที่กำลังพูดตอบเด็กสาวผมแดงที่เดินเข้าห้องทำงานของเธอมาด้วยรอยยิ้มปนเหนื่อยใจกลับไป

ที่ถึงแม้ทั้งสองจะมีเส้นผมสีแดงเหมือนๆ กันราวกับแม่ลูก แต่บนหัวของเด็กสาวคนนั้นก็กลับมีหูจิ้งจอกที่กระดิกไปมา พร้อมกับหางที่ส่ายซ้ายขวาดุ๊กดิ๊กราวกับกำลังขอร้องหญิงสาวอยู่

จนทำให้หญิงสาวในเสื้อกาวน์นั้นอดที่จะอมยิ้มให้กับท่าทีของอีกฝ่ายเป็นไม่ได้ พร้อมปิดหนังสือเก่าๆ ในมือของเธอ และเอามือตบตักของเธอเบาๆ แทนคำอนุญาตให้เด็กสาวเดินเข้ามาหาที่เก้าอี้ที่เธอนั่ง

ซึ่งนั่นก็ทำให้เด็กสาวหูจิ้งจอกรีบเดินฝ่าความมืดของห้อง เพื่อที่จะไปนั่งบนตักของหญิงสาว ก่อนที่เธอจะหันไปรับคริสตัลสีแดงก้อนเล็กที่หญิงสาวในเสื้อกาวน์ส่งมาให้

วิ๊ง~ พรึบ—

เมื่อเด็กสาวรับมันมาวางไว้บนฝ่ามือได้สักครู่หนึ่ง ก็ได้มีเปลวไฟถูกปล่อยและแผ่ขยายออกมาจากตัวคริสตัลก้อนนั้น ก่อนที่ลูกไฟนั้นจะถูกควบคุมให้หดเล็กลงไปได้อย่างรวดเร็ว

“ดีมาก ค่อยๆ ควบคุมไว้แบบนั้นแหละจ้ะ”

หญิงสาวในเสื้อกาวน์ก็ได้เอ่ยปากชมเธอออกมาเล็กน้อย พร้อมสะกิดเรียกเด็กสาวที่กำลังใช้สมาธิและชี้นิ้วไปยังตะเกียงอันหนึ่งที่ถูกแขวนและเปิดฝาเอาไว้ เพื่อให้เด็กสาวที่หันตามไปนั้นส่งลูกไฟในมือของเธอให้พุ่งตรงไปหามัน และเลี้ยวเข้าไปด้านในตะเกียงเพื่อที่จะจุดให้มันสว่างขึ้นได้อย่างคล่องแคล่ว พร้อมเผยให้เห็นสภาพห้องที่เต็มไปด้วยข้าวและเครื่องมือต่างๆ ที่ตกกระจายเกลื่อนกลานอยู่เต็มห้องราวกับว่ามันได้ถูกเขวี้ยงทิ้งหรือตกลงมาระเนระนาด

ก่อนที่เด็กสาวหูจิ้งจอกนั้นจะหันมากลับมายิ้มมองหญิงสาวในเสื้อกาวน์ เพื่อรอรางวัลของตนราวกับมันเป็นเรื่องปกติ

“ให้ตายสิ…ฉันล่ะไม่เข้าใจเธอจริงๆ ว่าทำไมถึงชอบฟังเรื่องของฉันซ้ำๆ ซากๆ แบบนี้น่ะนะ ไม่ใช่ว่าเด็กคนอื่นเขาสนใจเรื่องสงครามกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกันมากกว่า แล้วไม่ใช่แค่เรื่องกลุ่มเล็กๆ ที่อยู่ข้างในนั้นไม่ใช่หรอไงหื้อ?”

ท่าทีของเด็กสาวนั้นก็กลับทำให้หญิงสาวได้แต่ส่ายหน้าพร้อมบ่นออกมานิดหน่อย แต่เมื่อเธอหันกลับมาเห็นใบหน้าของเด็กน้อยที่กำลังจ้องมองมาอย่างใจจดใจจ่อ ก็เลยทำให้เธอได้แต่ต้องยอมเก็บหนังสือเก่าๆ นั้นเข้าด้านในเสื้อกาวน์ไป

“เอาเถอะ แต่มันก็อย่างที่ฉันเคยเล่าไปนั่นแหละ ว่าที่โลกของเราอยู่รอดมาได้ถึงทุกวันนี้ได้ มันเป็นเพราะได้มีผู้กล้าคนหนึ่งพยายามต่อสู้เพื่อปกป้องมันเอาไว้ ผู้กล้าที่แปลกประหลาดทำตัวไม่สมกับฉายาของตัวเองสักเท่าไหร่นั้นน่ะ…”

ทั้งปากไม่ตรงกับใจ…ทั้งหัวรั้นจนเหลือเชื่อ… ไหนจะยังมีนิสัยเอาแต่ใจจนน่าเป็นห่วงนั้นอีก…

แต่หญิงสาวนั้นก็กลับเลือกที่จะคิดส่วนที่เหลือไว้นั้นแค่ในใจของเธอ และไม่เล่ามันออกมาให้เด็กสาวที่ตั้งตารออยู่นั้นฟัง ราวกับว่าเธอพยายามที่จะรักษาชื่อที่ยังเหลืออยู่ของอีกฝ่ายอยู่อย่างไรอย่างนั้น

“แต่ถึงเขาจะทำตัวเป็นเด็กเปรตแค่ไหนแต่ผู้กล้าก็ยังเป็นผู้กล้าอยู่ดี… จะว่าไปมันก็ตลกดีนะ… เพราะต่อให้เขาเป็นแบบนั้นแต่พวกเราก็ยังร่วมต่อสู้กันมาตลอดทั้งๆ ที่ไม่รู้อะไรเลยแบบนั้น มันเป็นกลุ่มคนที่โง่เขลาและไม่เหมาะกับการกอบกู้โลกใบนี้เลยเธอว่ามั้ย?”

ไหนหลังจากที่เรื่องทุกอย่างมันจบลงไปแล้ว ก็ยังเหลือคนที่ยังพยายามต่อไปอีก… เหลือเชื่อเลยจริงๆ

หญิงสาวหัวเราะในลำคอออกมาเบาๆ พร้อมยกมือมาลูบหัวของเด็กสาวที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาฟังอยู่นั้นไปมา ก่อนที่เธอเองนั้นจะนึกอะไรขึ้นมาได้แล้วจึงค่อยถอนหายใจออกมาทีหนึ่ง พลางเงยหน้าไปมองเพดานไม้ที่อยู่เหนือหัวของเธอด้วยสายตาหน่ายใจ

“ให้ตายสิ… แต่จะให้พูดแบบนั้นมันก็ย้อนกลับมาโดนฉันเองด้วยแหละ… คงจะบอกได้แค่ว่าเป็นกลุ่มที่เชื่อใจกันจริงๆ แค่นั้นล่ะมั้ง?”

แต่ก็นั่นแหละเลยทำให้มันเป็นสิ่งสำคัญน่ะ…

เธอพูดบอกพร้อมก้มหน้ากลับลงมาหาเด็กสาว พลางเลื่อนมือไปลูบหูและหางจิ้งจอกฟูๆ ของเด็กสาวไปเบาๆ

“แต่ก็เพราะการเสียสละของผู้กล้าที่ว่าที่ทำให้มนุษย์รอดพ้นจากภัยพิบัติในครั้งนั้น และก้าวข้ามความแตกต่างหลายๆ อย่าง รวมถึงคว้าโอกาสที่จะเริ่มต้นใหม่มาได้น่ะ แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีใครได้พบเห็นหรือเจอผู้กล้าคนนั้นอีกเลย… ไม่ว่าพวกเขาจะพยายามค้นหากันสักเท่าไหร่ก็ตาม— หื้ม?”

แต่ในขณะที่หญิงสาวกำลังเล่าอยู่นั้นเอง เด็กสาวหูจิ้งจอกนั้นก็เงยหน้ากลับขึ้นมาพร้อมยกมือขึ้นเพื่อที่จะเอ่ยถามอะไรบางอย่างออกมา

“ห่ะ…ที่เธออยากรู้คือที่ว่าฉันเป็นใครแล้วเกี่ยวข้องอะไรกับกลุ่มนั้นงั้นหรอ? ฮะฮะ…ช่างเป็นเด็กที่แปลกประหลาดดีจริงๆ นะเธอน่ะ…”

แต่หญิงสาวนั้นก็หัวเราะแห้งๆ ออกมา แล้วจึงค่อยหันเอื้อมมือไปหยิบชุดถ้วยชาที่ข้างๆ มีขวดยาขวดหนึ่งวางไว้ ก่อนที่จะเทของเหลวสีขาวที่มีกลิ่นหอมหวานราวน้ำผึ้งจากด้านในลงไปบนแก้ว พร้อมนำมันมาส่งให้เด็กสาวผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่บนตักของเธอถือเอาไว้

“แต่ตอนนี้เธอดื่มยาของเธอก่อนเถอะ ส่วนเรื่องที่ว่าฉันเป็นใครมาจากไหนน่ะ…มันไม่สำคัญขนาดนั้นหรอก…โอ๋ะ—”

ทันใดนั้นเองเมื่อเด็กสาวดื่มของเหลวจากในถ้วยตามที่หญิงสาวบอกมาอย่างว่าง่าย สติของเธอก็เริ่มที่จะหลุดเลือนก่อนที่จะดับพลอยไปอย่างรวดเร็ว จนหญิงสาวในเสื้อกาวน์นั้นต้องรีบยื่นมือมาคว้าถ้วยชาเอาไว้เพื่อไม่ให้มันหล่นหกไปซะก่อน

“ให้ตายสิ พอจะหลับก็หลับไปดื้อๆ แบบนี้เลยเนี่ยนะ… เพราะแบบนี้แหละฉันถึงไม่ถูกกับเด็กเนี่ย…”

ฟ๊าวววววว—-โคร๊มมมมม!!

แอ๊ดดดดด—-แอ๊ดดดดด—

แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้พูดบ่นอะไรออกมามากนัก จู่ๆ ก็มีเสียงอะไรบางอย่างพุ่งตรงมาจากด้านนอก ก่อนที่มันจะกระแทกพร้อมระเบิดที่บริเวณใกล้ๆ กับกระธ่อมของพวกเธอจนทำให้ตะเกียงไฟที่เด็กสาวเป็นคนจุดเมื่อสักครู่ตกกระแทกและแตกกระจายลงกับพื้น

และทำให้หลอดไฟสีแดงทรงกระบอกที่ดูแปลกตาไปจากสภาพด้านในห้อง ถูกพลิกลงมาจากช่องด้านบนหลังคาและส่องแสงย้อมทั้งห้องให้กลายเป็นสีแดง พร้อมกับที่มีเสียงสัญญาณเตือนนั้นได้ดังขึ้นมาสนั่นทั่วทั้งห้อง

“แต่ผู้ใหญ่บางคนก็ไม่รู้จักยอมแพ้สักทีสิน๊า… จะมีสักวันที่พวกเขาทำความเข้าใจกันได้หรือเปล่านะ…”

แต่หญิงสาวในเสื้อกาวน์นั้นก็ยังคงท่าทีสบายๆ เอาไว้ พร้อมอุ้มร่างของเด็กสาวที่เหมือนจะยังพยายามฝืนฤทธิ์ยาเพื่อที่จะลืมตาขึ้น ก่อนที่หญิงสาวนั้นจะก้มลงไปเผยรอยยิ้มบางๆ ให้เธอกลับออกมา

“แต่ถึงบ่นต่อไปก็คงจะไม่มีประโยชน์หรอกมั้ง…กับคนธรรมดาๆ อย่างเธอน่ะ…”

เธอพูดพร้อมอุ้มร่างของเด็กสาวขึ้นพาดบ่า ก่อนที่จะเอื้อมมือข้างหนึ่งไปหยิบหนังสือเก่าๆ ที่เธอวางไว้บนโต๊ะเมื่อสักครู่กลับออกมาจากด้านในเสื้อกาวน์ พลางทอดสายตามองออกไปยังวิวของต้นไม้ด้านนอกหน้าต่าง ที่ได้กลายเป็นทะเลเพลิงเพราะแรงระเบิดเมื่อสักครู่ไปซะแล้ว

“เอาล่ะ…ถ้างั้นเรามาดูกันเลยดีกว่ามั้ย? บันทึกประวัติศาสตร์แห่งการเริ่มต้นใหม่ เล่มนี้น่ะ”