“เลิกเรียนแล้วรอฉันหน่อยได้ไหม?”

        ชวีเสี่ยวปอพิมพ์ข้อความนี้ลงไปในแชทอย่างรวดเร็ว แต่หลังจากที่กดส่งไปแล้ว เขากลับจ้องมองข้อความเหล่านั้นอย่างเหม่อลอย ไม่รู้ว่าในใจกำลังคิดอะไรอยู่

        สิ่งที่ซือจวิ้นพูดก็มีเหตุผล หากเซี่ยเจิงเอาจดหมายรักให้อาจารย์จริงๆ ตอนที่เจอหน้ากันเมื่อครู่เธอคงไม่นิ่งเฉยแบบนั้น

        ชวีเสี่ยวปอไม่อยากให้เรื่องคลุมเครืออยู่แบบนี้ ดังนั้นเขาจึงตั้งใจว่าควรจะถามให้ชัดเจนดีกว่า

        “ตกลง” เซี่ยเจิงตอบกลับอย่างรวดเร็ว

        แต่ไม่ว่าอย่างไรความรู้สึกอึดอัดภายในใจของชวีเสี่ยวปอก็ยังไม่หายไป นี่เป็นครั้งแรกที่เขาตามจีบใครสักคนและเขียนจดหมายรักให้ แต่ผลลัพธ์ที่ได้ค่อนข้างแตกต่างจากที่เขาคิดเอาไว้มาก ความรู้สึกนี้เหมือนกับตัวเองหั่นผักนานาชนิดเตรียมเอาไว้ทำอาหารให้เต็มโต๊ะ ทว่าสุดท้ายกลับทำออกมาได้แค่ซุปผักรวมธรรมดาๆ

        ไม่อยากจะกลืนมันลงไปสักนิด

        “ปอเอ๋อร์ อ่อนโยนกับผู้หญิงหน่อยสิ” ซือจวิ้นกำชับชวีเสี่ยวปออยู่ข้างหลัง

        “ฉันก็ไม่ได้จะไปทะเลาะกับเธอสักหน่อย” ชวีเสี่ยวปอเอ่ยออกไปอย่างหมดความอดทน ขณะที่เขากำลังเดินไปทางห้องหกก็เห็นเซี่ยเจิงออกมาจากห้องเรียนและมองมาทางนี้พอดี ทั้งสองสบสายตากัน

        เซี่ยเจิงยิ้มกว้างให้เขา

        “ให้ตายเถอะ” ซือจวิ้นเองก็เห็นท่าทางนั้นเช่นกัน เขาเอ่ยเสียงเบา”ปอเอ๋อร์ ฉันว่านะ…”

        “ฉันเห็นแล้ว” ชวีเสี่ยวปอหวั่นไหวกับรอยยิ้มของเซี่ยเจิงอีกครั้ง เขาไม่กล้าบอกซือจวิ้นว่าเขาไม่อยากถามแล้ว เขารู้สึกว่าไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้ว

        แต่คงสายไปแล้ว

        “มีอะไรเหรอ?” การพูดจาของเซี่ยเจิงยังคงนุ่มนวลอ่อนโยนเช่นเดิม ราวกับหากพูดเสียงดังจะไปทำให้ใครตกใจเข้า “มาหาฉันมีธุระอะไรหรือเปล่า?”

        “เอ่อ ไม่มีอะไรหรอก” ชวีเสี่ยวปอเลียริมฝีปาก ปากของเขาแห้งผากไปหมด “เธอกินข้าวหรือยัง?”

        “ยังเลย” เซี่ยเจิงเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างไม่เข้าใจ พลางเอ่ยว่า “นายบอกให้ฉันรอนายหลังเลิกเรียนไม่ใช่เหรอ?”

        “อืม ฉันจะบอกว่า” ชวีเสี่ยวปอเกาฝ่ามือตัวเองอย่างประหม่าและคิดว่าควรจะเปลี่ยนวิธีคิดเสียใหม่ “ฉันฝากเพื่อนในห้องของเธอเอาของไปให้น่ะ เธอได้รับมันหรือยัง?”

         “ของอะไรเหรอ?”

        ครั้นเซี่ยเจิงเอ่ยถามกลับ ชวีเสี่ยวปอก็สบตากับซือจวิ้นทันที ทั้งสองคนทำปากโดยไม่เปล่งเสียงออกมาพร้อมกัน

        ชิบหาย

        “มันคืออะไรเหรอ?” เซี่ยเจิงยังคงเอ่ยถามเช่นเดิม

        “ช่างเถอะ ไม่มีอะไร ฉันกลับก่อนนะ” ชวีเสี่ยวปอส่ายศีรษะ พลางจับแขนซือจวิ้นและหมุนตัวจะเดินจากไป

        “เดี๋ยวก่อนสิ! เป็นของสำคัญหรือเปล่า? ส่งมาแล้วมันหายไปงั้นเหรอ?” เซี่ยเจิงไม่รู้ว่าทำไมถึงต้องรีบห้ามเขาเอาไว้ “นี่จะรีบไปไหนน่ะ บางทีอาจจะส่งผิดก็ได้นะ ในห้องฉันมีเพื่อนอีกคนก็ชื่อเซี่ยเจิงเหมือนกัน”

        “ว่าไงนะ?” ชวีเสี่ยวปอหยุดนิ่งทันที เขาขมวดคิ้ว “ยังมีอีกคนงั้นเหรอ?”

        “อืม เป็นผู้ชาย ชื่อเซี่ยเจิงเหมือนกัน แต่เป็นตัวอักษรเจิงคนละตัวกันน่ะ” ขณะที่พูดเซี่ยเจิงก็หันไปมองทางห้องเรียน “เฮ้อ เขาก็อยู่ เดี๋ยวฉันไปถามเขาดูดีกว่า อาจจะส่งไปให้เขาก็ได้”

        “เธอเรียกเขาออกมาก็ได้ เดี๋ยวฉันจะถามเอง” ชวีเสี่ยวปอลอบกำมือแน่น

         “โอเค”

        “ปอเอ๋อร์ อย่าบอกนะว่าส่งไปให้ผู้ชายคนนั้นจริงๆ น่ะ?” ซือจวิ้นยืนอยู่ข้างหลังชวีเสี่ยวปอ ทั้งสองมองเข้าไปในห้อง เซี่ยเจิงพูดอยู่สองสามคำ ผู้ชายคนที่กำลังหันหลังให้พวกเขาสองคนก็เหลือบมองมาทางนี้แล้วลุกขึ้นเดินออกมา

        “นายว่าไงล่ะ?” ชวีเสี่ยวปอจิตใจว้าวุ่น เขาไม่ได้สนใจซือจวิ้นอีก

        “นายมาหาฉันเหรอ?”

        อีกฝ่ายผิวขาวกระจ่าง รูปร่างสูงโปร่ง สูงกว่าตัวเขาเล็กน้อย นี่เป็นความรู้สึกแรกของชวีเสี่ยวปอ หลังจากเหลือบมองคนคนนี้คร่าวๆ เขาก็ทำท่าทางเป็นเชิงให้อีกฝ่ายถอยออกห่างมาจากเซี่ยเจิงแล้วมาคุยกันตามลำพัง

        อีกฝ่ายขยับออกมาสองก้าวอย่างว่าง่าย

        “ฉันเขียน…จดหมาย…ถึงเธอ จดหมายนั่นอยู่กับนายหรือเปล่า?” เลือกวิธีพูดที่ดูนุ่มนวล เขาถือโอกาสเหลือบมองเซี่ยเจิง เด็กสาวก็กำลังมองมาทางพวกเขาอย่างสนอกสนใจ

        “จดหมาย?” เซี่ยเจิงทำท่าทางงุนงงไปครู่หนึ่ง

        “ที่เป็นกระดาษหลากสี” ชวีเสี่ยวปอเอ่ยเสียงเบา “เมื่อวานตอนเที่ยง มันน่าจะถูกใส่ไว้ในลิ้นชัก”

        “จดหมายรักสินะ” เซี่ยเจิงกระตุกยิ้มมุมปาก

        “มันถูกส่งไปให้นายจริงๆ งั้นเหรอ?” ชวีเสี่ยวปอรู้สึกสับสน เขาไม่สามารถหาคำจากคลังคำศัพท์ที่มีอย่างจำกัดของตัวเองมาอธิบายความรู้สึกอัศจรรย์นี้ได้

        “แต่ว่า มันถูก…”

        “ไอ้บ้าเอ้ย!”

        เซี่ยเจิงยังพูดไม่จบประโยค ชวีเสี่ยวปอก็เป็นเติมข้อความที่เหลือให้อีกฝ่ายโดยอัตโนมัติ ‘แต่ก็ถูกไอ้บ้าอย่างนายเอามันไปให้อาจารย์แล้วสินะ?’

        ชวีเสี่ยวปอเหวี่ยงหมัดของเขาออกไปอย่างรวดเร็ว จนเซี่ยเจิงไม่ทันได้ตั้งตัว แม้เขาจะเอียงศีรษะไปตามสัญชาตญาณ แต่ก็ยังถูกต่อยเข้าที่ใบหน้าด้านซ้าย เสียงดังผัวะ เสียงของหมัดที่กระทบเนื้อนั้นฟังดูเจ็บปวดไม่น้อย แน่นอนว่าตอนนี้คงไม่มีใครเข้าใจความรู้สึกนี้ได้ดีไปกว่าเซี่ยเจิงแล้ว

        เซี่ยเจิงเองก็ไม่เกรงใจเช่นกัน

        ชวีเสี่ยวปอไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเตะซี่โครงของเขาได้อย่างแม่นยำด้วยการหลับตาครึ่งหนึ่งแบบนี้ เขาเกือบจะโดนเตะจนสำลักออกมาอยู่แล้ว แต่เรื่องการชกต่อยชวีเสี่ยวปอไม่เคยแพ้ หากไม่ใช่เพราะได้ยินเสียงกรีดร้องของเซี่ยเจิง เขารู้สึกว่าตัวเองคงเอาคืนได้ดีกว่านี้เป็นแน่

        “หยุดนะ!”

        เซี่ยเจิงต้องการเข้าไปแยกทั้งสองออกจากกัน แต่ถูกซือจวิ้นรั้งเอาไว้ ในขณะที่ชวีเสี่ยวปอกำลังเสียสมาธิ เขาก็ถูก เซี่ยเจิงเตะเข้าที่ลำตัวอีกหลายครั้ง เขากัดฟันก่นด่า “ไอ้เวรเอ้ย” แววตาของเขาเดือดดาล

        “ทำอะไรกันน่ะ! เอะอะโวยวายอะไรกัน!”

        ร่างอ้วนเตี้ยรีบแหวกทางนักเรียนที่ยืนล้อมอยู่รอบข้างเข้ามาทันที ชวีเสี่ยวปอเองก็ไม่ทันรู้สึกตัว รู้ตัวอีกทีคนคนนี้ก็มายืนอยู่ด้านหลังของเขาแล้ว “ชวีเสี่ยวปอ!”

        แม้อาจารย์หัวหน้าระดับชั้นจะตัวเตี้ย แต่เธอก็เป็นหญิงวัยกลางคนที่มีเสียงดังสุดๆ ชวีเสี่ยวปอแยกไม่ออกว่าเพราะตัวเองชกต่อยกับเซี่ยเจิง จนทำให้รู้สึกวินเวียนศีรษะหรือเพราะถูกหัวหน้าระดับชั้นตะโกนใส่กันแน่ หลังจากแยกทั้งสองคนออกจากกันได้แล้ว เธอเหลือบมองเซี่ยเจิงอย่างไม่เชื่อสายตา “เซี่ยเจิง เธอเป็นยังไงบ้าง?”

        “ผมไม่เป็นไรครับ” เซี่ยเจิงพูดเสียงอู้อี้ ไม่รู้ว่าเจ็บหรือไม่

        “มุงดูอะไรกัน? กลับเข้าห้องเรียนให้หมดเลยนะ! แยกย้ายกันได้แล้ว” หัวหน้าระดับชั้นโบกมือไล่เด็กนักเรียนที่อยู่รอบๆ ออกไป จากนั้นก็หันมาตะโกนใส่พวกเขา “พวกเธอสองคนตามฉันมาที่ห้องทำงานด้วย!”

 

        “ไม่ให้เธอกลับไปสำนึกผิดที่บ้านก็ดีเท่าไหร่แล้ว”

        ครั้นถูกเหลาหม่าพาออกมาจากห้องทำงานของหัวหน้าระดับชั้น ชวีเสี่ยวปอก็รู้สึกผิดต่อเขามาก ถึงปกติเขาจะชอบดุด่าพวกเขาเป็นพิเศษ แต่พอเกิดเหตุการณ์เช่นนี้เหลาหม่าก็ยังปกป้องพวกเขาเต็มที่ ชวีเสี่ยวปอถูกอาจารย์หัวหน้าระดับชั้นหมายหัวมานานแล้ว หากครั้งนี้ไม่ใช่เพราะเหลาหม่าขอร้อง เอาไว้ คงต้องถูกลงโทษอย่างหนักเป็นแน่

        “ขอบคุณครับ เหลาหม่า” ชวีเสี่ยวปอสูดจมูก ยังคงมีกลิ่นคาวเลือดติดอยู่ในปากของเขา อาจเป็นเพราะเมื่อครู่ที่ชกต่อยกัน เขาไม่มีสติจนเผลอไปกัดลิ้นตัวเองเข้า

        “เธอน่ะ สร้างปัญหาให้มันน้อยๆ หน่อย” เหลาหม่าคงอยากจะต่อยชวีเสี่ยวปอสักหมัด แต่พอทิ้งมือลงกลับกลายเป็นตบไหล่เขาแทน ให้ความรู้สึกเหมือนพ่อที่อ่อนโยนและมีเมตตาเล็กน้อย “ทำไมถึงชกต่อยกันล่ะ? เมื่อกี้หัวหน้าระดับชั้นถามเธอก็ไม่ยอมบอก”

        “ไม่มีเหตุผลครับ” ชวีเสี่ยวปอเอ่ยเสียงเบา “แค่มองเขาแล้วรู้สึกไม่ชอบหน้าน่ะครับ”

        “ฉันว่าพวกเธอนี่มีเวลาว่างไปไม่ชอบหน้ากันเยอะดีนะ แต่ยังไงก็ไม่ควรไปชกต่อยกันแบบนั้นนี่ เฮ้อ จะบอกหรือไม่บอกก็แล้วแต่เธอแล้วกัน” เหลาหม่าถอนหายใจ พลางมองชวีเสี่ยวปอ “ไปล้างหน้าล้างตา แล้วก็กลับไปเขียนหนังสือทบทวนตัวเองให้เรียบร้อย ตั้งใจสำนึกผิดให้ดีๆ ด้วยล่ะ”

         “ครับ เข้าใจแล้ว”

        เจ็บชะมัด

        เมื่อเหลาหม่าเดินห่างออกไปไกลแล้ว ชวีเสี่ยวปอก็อดไม่ได้ที่จะร้องโอดโอยออกมา เขารู้สึกแสบร้อนตรงบริเวณซี่โครง เจ้าเซี่ยเจิงอะไรนั่นดูผอมบางแบบนั้น คิดไม่ถึงว่าจะแรงเยอะแบบนี้

        ชวีเสี่ยวปอลูบซี่โครงไปมาอยู่ครู่หนึ่งและเมื่อรู้สึกดีขึ้น เขาถึงค่อยๆ เดินกลับไปยังห้องเรียน ขณะที่เพิ่งเดินไปได้แค่ครึ่งทางก็เห็นซือจวิ้นวิ่งตรงมาทางเขา

        “ไม่มีอะไร” ชวีเสี่ยวปอรีบเอ่ยขึ้น “แค่ให้เขียนหนังสือทบทวนตัวเอง แล้ววันจันทร์หน้าก็เอาไปอ่านหน้าเสาธง”

        “ให้ตายเถอะ ฉันนึกว่าหัวหน้าระดับชั้นจะให้นายกลับบ้านซะอีก หน้าอาจารย์ดูโมโหขนาดนั้น” ซือจวิ้นถอนหายใจอย่างโล่งอก “เมื่อกี้ฉันไปปลอบเซี่ยเจิงมา เธอตกใจกลัวจนร้องไห้เลย”

        “เธอไม่เป็นไรใช่ไหม?” ชวีเสี่ยวปอขมวดคิ้ว เมื่อครู่เขาถูกเซี่ยเจิงต่อยไปหลายหมัด ในใจกลับไม่รู้สึกไม่รู้สึกอะไร แต่พอได้ยินว่าเซี่ยเจิงร้องไห้ เขากลับรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา

        ไอ้บ้านั่นคงจะไม่ไปก่อกวนอะไรเธอใช่ไหม?

        “ไม่เป็นไร เธอหยุดร้องไห้แล้วละ” ซือจวิ้นตอบ “เฮ้อ ถ้านายอยากจะลงไม้ลงมือก็ไม่ควรทำในโรงเรียนสิ รอหลังเลิกเรียนไม่ได้หรือไง?”

        “รอไม่ไหว” ชวีเสี่ยวปอไม่เสียใจกับความหุนหันพลันแล่นของตัวเอง เขาแค่อยากจะต่อยคนคนนี้สักหมัด จนรอไม่ไหวแม้แต่วินาทีเดียว จู่ๆ เขาพลันหรี่ตาราวกับกำลังนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “จริงสิ นายเห็นหรือยัง? ไอ้หมอนั่นน่ะอวดเก่งชะมัด”

        “อะไรเหรอ?”

        “ก็รอยบากที่คิ้วไง” ชวีเสี่ยวปอกล่าว “คิ้วข้างขวาของเขาทำเป็นรอยบากอยู่เส้นหนึ่ง ส่วนฉันที่ทำทรงผมสกินเฮด หัวหน้าระดับชั้นกลับบอกว่าเหมือนนักโทษ แถมเมื่อกี้ยังเข้าข้างหมอนั่นอีก”

        “นายนี่มีเรื่องทะเลาะวิวาทแล้วยังมีเวลาไปใส่ใจอะไรพวกนี้อีกนะ? แล้วเขาโดนลงโทษยังไงอ่ะ?” ซือจวิ้นอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ

        “เหมือนฉัน ให้เขียนหนังสือทบทวนตัวเองพันคำ”

 

        เซี่ยเจิงยืนอยู่หน้าอ่างล้างหน้า พลางเช็ดหน้าของตัวเองลวกๆ

        เด็กหนุ่มในกระจกมีรอยแผลอยู่ที่หางตาข้างขวา พร้อมกับเลือดไหลซึมออกมา น่าจะโดนซิปบาดเอาตอนที่เขาถอดเสื้อออกเมื่อครู่ เซี่ยเจิงใช้นิ้วเช็ดเลือดออก แต่ไม่ทันไรเลือดก็ไหลออกมาอีก

        หลังจากที่ชวีเสี่ยวปอถูกอาจารย์ประจำชั้นพาตัวไป อาจารย์หัวหน้าระดับชั้นก็พูดกับเซี่ยเจิงอีกสองสามคำ

        “เซี่ยเจิง เธอเป็นเด็กเรียนดี จะไปยุ่งกับพวกเขาไม่ได้ เข้าใจไหม?”

        “ไม่ได้ยุ่งครับ” เซี่ยเจิงกล่าว “ผมแค่ไม่อยากยืนเฉยๆ ให้ถูกต่อย”

        “เธอ…” อาจารย์หัวหน้าระดับชั้นพูดไม่ออก ถอนหายใจ พลางกำชับอีกครั้ง “เธอเป็นเด็กเรียนดี ไม่เหมือนกับชวีเสี่ยวปอ”

        “ชวีเสี่ยวปอเป็นคนยังไงเหรอครับ?” เซี่ยเจิงเงยหน้าขึ้นพลางเอ่ยถามกลับ

        “เป็นคนที่คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิดน่ะ เข้าใจไหม? เขาไม่จำเป็นต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยดีๆ ก็มีอนาคตที่ดีได้” อาจารย์หัวหน้าระดับชั้นส่ายศีรษะ อาจเพราะรู้สึกว่าตัวเองพูดมากเกินไป จึงหยุดทุกอย่างเอาไว้แค่นั้นพลางเอ่ยว่า “อย่าไปยุ่งเกี่ยวกับเขา”

        คราวนี้เซี่ยเจิงไม่ได้พูดอะไรอีก

        อาจารย์หัวหน้าระดับชั้นจึงต้องเปลี่ยนเรื่องคุย “เธอเข้าใจก็ดีแล้ว จริงสิ จะเลือกสายวิทย์หรือสายศิลป์ล่ะ?”

        “ผมยังไม่ได้คิดเลยครับ” เซี่ยเจิงตอบ

        ความจริงหลังจากที่อาจารย์หัวหน้าระดับชั้นบอกว่าชวีเสี่ยวปอคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด เซี่ยเจิงเกือบจะโพล่งออกมาว่า ‘โคตรเจ๋ง’ แต่เขาก็ยั้งปากเอาไว้ได้ทัน

        “เอาล่ะ งั้นก็คิดให้ดีๆ นี่เป็นเรื่องสำคัญ เดี๋ยวฉันจะให้อาจารย์ประจำชั้นของพวกเธอช่วยดูให้เธอด้วย กลับไปที่ห้องเรียนเถอะ”

        ทันทีที่เซี่ยเจิงกลับมาถึงห้องเรียนก็เห็นเซี่ยเจิงนั่งรอตัวเองอยู่ พร้อมกับดวงตาแดงก่ำ

        เซี่ยเจิงไม่พูดอะไร แต่ค่อยๆ หาพลาสเตอร์ยาจากในลิ้นชักและเอามาปิดแผลที่อยู่บนใบหน้า สุดท้ายก็ได้ยินเสียงเด็กสาวสะอื้นไห้เบาๆ

        “เป็นอะไร อย่าร้องไห้สิ” ยามนี้เซี่ยเจิงถึงค่อยเปล่งเสียงออกมา เขาไม่ได้รำคาญที่ผู้หญิงร้องไห้ ก็แค่ทำอะไรไม่ถูก

        “ฉะ…ฉันขอโทษ” เซี่ยเจิงสะอึกสะอื้น เส้นผมที่ระอยู่ข้างแก้มเปียกชื้น ทำให้เธอดูน่าสงสารมาก “ฉันไม่ควรเรียก…เรียกนายออกไป”

        “ไม่เป็นไรหรอกน่า” เซี่ยเจิงหยิบกระดาษทิชชู่ห่อหนึ่งในลิ้นชักออกมา พลางยื่นมันให้เด็กสาวสองแผ่น “เธอจะขอโทษเรื่องอะไร เธอไม่ได้ต่อยกับฉันสักหน่อย”

        “ฉันไม่รู้จริงๆ…” คิดไม่ถึงว่าเซี่ยเจิงจะยิ่งร้องไห้หนักกว่าเดิมอีก “ปกติแล้ว ชวีเสี่ยวปอไม่ใช่คนแบบนั้น เขานิสัยดีมากเลย ไม่รู้ว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้น”

        “เขาชอบเธอ” อยู่ดีๆ เซี่ยเจิงก็เอ่ยขึ้น

        “ฮะ?” เซี่ยเจิงเงยหน้าและหยุดร้องไห้ทันที ใบหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจ “อะไรนะ?”

        “หมอนั่นเขียนจดหมายรักถึงเธอ แต่ดันส่งมาให้ฉัน เขาคิดว่าฉันเป็นคนส่งจดหมายไปให้อาจารย์” เซี่ยเจิงอธิบาย “ก็ประมาณนี้แหละ”

        “นายส่งให้อาจารย์เหรอ?” ดวงตาของเซี่ยเจิงเบิกกว้างอย่างไม่เชื่อสายตา

        “ก็นะ” เซี่ยเจิงถอนหายใจและยัดกระดาษทิชชู่ที่เหลืออีกครึ่งห่อใส่มือของเด็กสาว “ฉันคิดว่าคนอื่นส่งมาให้ฉัน ก็เลยสอดมันไว้ในหนังสือนิยาย แต่หนังสือนิยายดันถูกอาจารย์ประจำชั้นริบไป เพราะงั้นจดหมายรักฉบับนั้นก็เลยถูกส่งไปให้อาจารย์ประจำชั้นของชวีเสี่ยวปอละมั้ง”

        “ถ้าอย่างนั้น…” เซี่ยเจิงทำท่าทางเหมือนจะร้องไห้ขึ้นมาอีกครั้ง

        “โอเคๆ หยุดร้องไห้ได้แล้ว เดี๋ยวได้ตาบวมเหมือนปลาทองเอาหรอก” ความจริงแล้วเซี่ยเจิงเข้าใจเด็กสาวดี เพราะเขามีเรื่องชกต่อยกับชวีเสี่ยวปอ เธอจึงรู้สึกผิดและไม่สบายใจ แต่ตัวเขาเองก็รู้สึกรำคาญที่ถูกร้องไห้ใส่แบบนี้เช่นกัน “เลิกเรียนเลี้ยงไอติมฉัน แล้วเรื่องนี้ก็ถือว่าแล้วกันไป ตกลงไหม?”

        “ตกลง” เซี่ยเจิงพยักหน้าตอบรับ ในที่สุดก็เปลี่ยนจากร้องไห้เป็นแย้มยิ้ม

 

         “เรียนอาจารย์ที่เคารพ”

        ชวีเสี่ยวปอเกาหน้าผากตัวเองพลางเขียนตัวอักษรไป ทุกครั้งที่เขียนตัวอักษรลงไปก็จะอ่านมันไปด้วย “ผมรู้ซึ้งถึงความผิดพลาดของตัวเองแล้วครับ”

        ผิดพลาดกับผีน่ะสิ

        ชวีเสี่ยวปอควงปากกา เขารู้สึกอึดอัดชะมัด เสียดายที่ไม่ได้ต่อยหน้าเซี่ยเจิงอีกสักสองสามหมัด ให้ตายเถอะ ไอ้หมอนี่ยังมีชื่อเดียวกันกับเซี่ยเจิงอีก เวลาจะก่นด่าทีไรก็รู้สึกไม่สะใจ

        “ชวีเสี่ยวปอ เขียนอะไรอยู่เหรอ?”

        ชวีเสี่ยวปอไม่แม้แต่เงยหน้าขึ้นมา จ้าวชิวเจียจึงเดินวนรอบตัวเขาอยู่อีกหลายครั้ง ในที่สุดก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยออกมา

        “ฉันถามนายอยู่นะ!” ชวีเสี่ยวปอไม่ยอมพูดอะไร จ้าวชิวเจียเองก็ไม่แม้แต่จะเขินอาย กลับลากเก้าอี้ที่อยู่ด้านข้างเข้ามาใกล้ๆ และนั่งลง เธอเป็นเด็กสาวรูปร่างสูงเพรียว หน้าตางดงามชวนมอง เป็นคนที่หากเดินอยู่ท่ามกลางฝูงชนก็จะมองเห็นเธอเป็นคนแรกอะไรทำนองนั้น แต่ทำไมเธอถึงเมินคนที่เข้ามาจีบมากมาย แล้วดันมาชอบคนที่ไม่สนใจไยดีตัวเธออย่างชวีเสี่ยวปอด้วย นั่นก็เหมือนกับที่ซือจวิ้นกล่าวเอาไว้ “ถ้าเธอไม่ยอมเปิดหูเปิดตา ก็คงจะหน้ามืดตามัวอยู่แบบนี้ไปตลอด”

        “เธอก็เห็นแล้วไม่ใช่เหรอ?” ชวีเสี่ยวปอรู้สึกรำคาญอย่างมาก เขาเพียงต้องการอยู่เงียบๆ แต่การที่จ้าวชิวเจียยังคงก่อกวนไม่เลิกนั่นทำให้เขารู้สึกอึดอัด

        “อ้อ” จ้าวชิวเจียทำราวกับว่าเพิ่งรู้เรื่อง แต่ก็แสร้งทำได้ไม่สมจริงนัก เธอเหลือบมองไปบนโต๊ะของเขา “เขียนหนังสือทบทวนตัวเองงั้นเหรอ?”

        “อืม” ชวีเสี่ยวปอจ้องอยู่ที่คำว่า “ความผิดพลาด” อย่างเหม่อลอย จึงเปล่งเสียงตอบกลับออกมาคำหนึ่ง

        “แต่ว่า นายชอบเซี่ยเจิงที่อยู่ห้องหกคนนั้นจริงๆ เหรอ?” หลังจากอ้อมค้อมอยู่นาน ในที่สุดก็เข้าเรื่อง แต่จ้าวชิวเจียไหนเลยจะรู้ว่าคำถามที่ตัวเองแสร้งเอ่ยถามอย่างไม่ใส่ใจ จะที่ทำให้ความอดทนของชวีเสี่ยวปอหมดลง

        “เกี่ยวอะไรกับเธอ? ไม่มีอะไรจะทำแล้วหรือไง” น้ำเสียงที่ดังขึ้นอย่างกะทันหันของชวีเสี่ยวปอ ทำให้จ้าวชิวเจียตกใจกลัวขึ้นมา เธอรีบลุกขึ้น ดวงตาของเธอแปรเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ สุดท้ายเด็กสาวพอน้อยใจก็เป็นเหมือนกันหมด จ้าวชิวเจียทำท่าทางกระฟัดกระเฟียด พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ชวีเสี่ยวปอ นายต้องทำถึงขนาดนี้เลยเหรอ?” จากนั้นก็เอามือปิดหน้าวิ่งออกไปจากห้องเรียน

        “พี่ปอ” หลังจากหลิวหางที่อยู่โต๊ะข้างหน้า แน่ใจแล้วว่าชวีเสี่ยวปอที่เปล่งเสียงเกรี้ยวกราดออกมาเมื่อครู่คงไม่ได้มีความคิดจะทำร้ายใครอีก จึงเอ่ยว่า “ไม่น่าทำถึงขนาดนั้นเลยนะ นายทำเธอตกใจกลัวแล้วเนี่ย”

        “อืม” ชวีเสี่ยวปอถอนหายใจ เขาเองก็รู้สึกเสียใจเช่นกัน แต่เหตุการณ์เมื่อครู่ เขารู้สึกสับสนจนขาดสติไปจริงๆ หากจะให้อธิบายล่ะก็ “เซี่ยเจิง” ชื่อนี้มีปฏิกิริยาที่ต่อเนื่องกันกับ “เซี่ยเจิง” อีกคน ตอนนี้เขาจึงยังไม่สามารถแยกแยะความรู้สึกพวกนี้ออกจากกันได้

        ความรู้สึกนี้ยังคงอยู่จนถึงคาบเรียนเสริมด้วยตนเองภาคค่ำ ซือจวิ้นที่เพิ่งฝึกซ้อมกลับมาจึงยังไม่ทันได้อาบน้ำทำให้ทั้งเนื้อทั้งตัวมีแต่กลิ่นเหงื่อไคล ถึงอย่างนั้นอีกฝ่ายก็ไม่ลืมที่จะซื้อบาร์บีคิวเสียบไม้ที่เขาชอบกินติดไม้ติดมือมาด้วย แต่เพราะชวีเสี่ยวปออารมณ์ไม่ดี จึงกินได้เพียงสองคำ

        “ไม่งั้นคืนนี้ไปค้างบ้านฉันดีปะ?” ซือจวิ้นเช็ดหน้าผาก เอ่ยในสิ่งที่ชวีเสี่ยวปอกำลังกลุ้มใจได้ตรงประเด็น พลางโยนไม้เสียบบาร์บีคิวที่เพิ่งรูดเข้าปากทิ้งลงถังขยะ

        “ช่างเถอะ ไม่เป็นไร” ชวีเสี่ยวปอปฏิเสธ พ่อแม่ของซือจวิ้นล้วนทำงานอยู่ต่างเมือง ปกติอีกฝ่ายจะอาศัยอยู่ที่บ้านของคุณยาย หญิงชราใจดีและเป็นมิตรกับผู้คนมาก คราวก่อนที่ชวีเสี่ยวปอไปที่บ้าน หญิงชราชวนเขาคุยจนดึกดื่น ชวีเสี่ยวปอง่วงจนตาจะปิดอยู่รอมร่อ แต่หญิงชราก็เล่าเรื่องราวที่เพิ่งเล่าไปเมื่อครู่ใหม่อีกครั้ง

        “งั้นก็ได้ ถ้ามีอะไรก็โทรหาฉันนะ” ซือจวิ้นสั่ง จากนั้นทั้งสองคนก็แยกย้ายกัน