ตอนที่ 1 บ้านตระกูลฉินถูกยึดทรัพย์แล้ว ตอนที่ 2

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 1 บ้านตระกูลฉินถูกยึดทรัพย์แล้ว / ตอนที่ 2 เคราะห์ซ้ำกรรมซัด

ตอนที่ 1 บ้านตระกูลฉินถูกยึดทรัพย์แล้ว

ในที่สุดบ้านตระกูลฉินก็ถูกยึดทรัพย์!

และวันนี้ก็เป็นวันที่นางรอมาถึงสิบปี!

สิบปีก่อน นางข้ามเวลามาพร้อมกับวิชาทำนายลักษณะ[1] ทันทีที่นางลืมตาตื่นขึ้นก็คำนวณแล้วว่าตระกูลฉินจะต้องประสบกับหายนะครั้งนี้

และนางก็เป็นเพียงจุดเปลี่ยนเดียว

แต่ก่อนที่นางจะได้ช่วยเหลือแก้ไขภัยพิบัติให้ตระกูล นางกลับถูกท่านย่าใจร้ายเนรเทศให้ไปอยู่ในชนบทเสียก่อน

ฉินหลิวซีมองกลุ่มคนที่กำลังร้องห่มร้องไห้อยู่ในห้องโถง

ใบหน้าแต่ละคนเปียกปอน แต่สีหน้ากลับเปี่ยมไปด้วยความหยิ่งทะนง อาจเพราะพวกเขายังรับความจริงไม่ได้และคิดว่าตนเองยังคงเป็นตระกูลขุนนางที่มีสถานะสูงส่งอยู่อีก

ฉินหลิวซีถอนหายใจก่อนจะเอ่ยกับหญิงชราผู้นำตระกูล “ท่านย่า หลานให้คนเตรียมน้ำขิงกับน้ำร้อนไว้ให้แล้ว ท่านย่าดื่มน้ำขิง อาบน้ำร้อนไล่ความหนาวก่อน แล้วค่อยว่ากันดีหรือไม่เจ้าคะ”

หือ? นางฉินผู้เฒ่าชะงักไปทันที แววตาสงสัยปรากฏขึ้นในชั่วขณะ

พวกเขาไม่ได้แจ้งข่าวที่ตระกูลฉินถูกยึดทรัพย์ให้ทางนี้ทราบเลยแม้แต่น้อย นังหนูนี่ได้ข่าวมาจากไหนและเตรียมการทั้งหมดนี้ล่วงหน้าได้อย่างไร

แต่หลังจากการเดินทางไกลมาเหน็ดเหนื่อย นางฉินผู้เฒ่าจึงไม่สามารถที่จะถามเอาความจริงอะไรตอนนี้ได้ นางจึงได้แต่พยักหน้าพลางเอ่ย “เจ้าจัดการตามนั้นเถิด”

ฉินหลิวซีให้ป้าหลี่และคนอื่นๆ พาคนทั้งหมดสิบกว่าคนนี้ไปต่อแถวอาบน้ำชำระร่างกาย แล้วสายตาของนางก็หยุดลงตรงหญิงตั้งครรภ์คนหนึ่ง หนังตาของนางกระตุกทันที

นี่มันผีซ้ำด้ำพลอยชัดๆ

ตระกูลฉินเกิดเรื่องอย่างกะทันหันจนพวกเขาไม่มีเวลาพอจะเก็บซ่อนอะไรได้ยามที่ถูกยึดบ้าน ไม่เพียงแต่พวกเขาจะไม่สามารถนำของมีค่าใดๆ ออกมาจากบ้านได้ แม้แต่ปิ่นปักผมและเสื้อผ้าที่อยู่บนร่างกายก็ยังถูกปลดออกไปด้วย ไม่อย่างนั้นแล้วเหล่าญาติผู้หญิงของนางคงจะไม่ได้สวมเพียงกระโปรงธรรมดาและเสื้อผ้าชั้นในแค่นี้เดินทางมาถึงนี่แน่

นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร อย่างมากก็แค่ทำอาหารง่ายๆ กินกัน นางไม่มีวันปล่อยให้คนเหล่านี้อดอยากหิวโหยอยู่แล้ว แต่ปัญหาคือหญิงท้องโตผู้นี้กำลังตกอยู่ในคราวเคราะห์พอดิบพอดี นางรู้สึกหวาดกลัวมาก สภาพจิตใจอ่อนแอ ทารกในครรภ์กำลังจะคลอด ทว่าใบหน้าของนางกลับมีไอดำปกคลุม

ฉินหลิวซีหันไปกระซิบกระซาบอะไรกับฉีหวงที่เดินตามมา จากนั้นฉีหวงก็เดินออกไปอย่างรวดเร็ว

แล้วก็เป็นไปอย่างที่คาดไว้ ทันทีที่ฉีหวงเดินจากไป ฮูหยินผู้นั้นก็ส่งเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด นางเอามือกุมท้องในขณะที่ทรุดลงกับพื้น เลือดแดงๆ ค่อยๆ ซึมออกมาย้อมกระโปรงสีขาวจากใต้ร่างของนาง

เหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างฉันพลันทันใด ผู้คนที่ยังคงอยู่ในห้องโถงต่างก็หน้าซีดและกรีดร้องด้วยความตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิดนี้

“น้องสะใภ้สาม” สตรีผู้มีใบหน้าซีดเซียวเล็กน้อยแต่ยังคงสง่างามรีบเข้าไปประคองผู้หญิงที่นอนร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดอยู่บนพื้นขึ้นมา แล้วกอดนางไว้ในอ้อมแขน

“เจ็บ ข้าเจ็บท้องมาก” สะใภ้กู้กุมท้องพลางคร่ำครวญ ใบหน้าของนางซีดขาวราวหิมะ เหงื่อเย็นๆ ผุดพรายขึ้นกลางหน้าผาก

“ท่านแม่” สะใภ้หวังหันไปมองนางฉินผู้เฒ่าพลางเอ่ยด้วยสีหน้าซีดเซียว “เกรงว่าน้องสะใภ้สามกำลังจะคลอดแล้วเจ้าค่ะ”

นางฉินผู้เฒ่าร่างอ่อนปวกเปียกทันที นี่เป็นครรภ์ที่สองของภรรยาบุตรชายคนเล็กของนาง ซึ่งกำลังตั้งครรภ์เด็กแฝด และตอนนี้ก็มีอายุครรภ์ได้เพียงเจ็ดเดือนเท่านั้น หากคลอดก่อนกำหนดเช่นนี้เด็กทั้งสองจะรอดชีวิตได้หรือ

อย่าว่าแต่เด็กทั้งสองเลย แม้แต่ตัวมารดาเองก็ตาม นางเพิ่งจะประสบเคราะห์ภัยมา ทั้งตกใจทั้งหวาดกลัว การคลอดลูกในสถานการณ์เช่นนี้สุ่มเสี่ยงอันตรายไม่ต่างอะไรกับการเดินบนขอบผาเลย

นางฉินผู้เฒ่าหลับตาลง ความโศกเศร้าท่วมท้น

ตระกูลฉินร่มเย็นเป็นสุขมานานหลายสิบปี เมื่อถึงคราวล้ม สวรรค์คิดจะให้ตระกูลฉินของนางล่มสลายไปเลยหรือไร

“ท่านแม่?”

นางฉินผู้เฒ่ากัดปลายลิ้นตนเองอย่างรุนแรงจนรู้สึกได้ถึงกลิ่นคาวของเลือด จากนั้นนางก็ลืมตาขึ้นและสูดลมหายใจเข้าลึก “เตรียมตัวช่วยกันทำคลอดสะใภ้กู้”

นางหันไปมองฉินหลิวซีที่อยู่ข้างๆ อีกครั้ง

ฉินหลิวซีก้าวเข้าไปพลางเอ่ยทันที “ท่านย่า หลานให้คนไปตามหมอตำแยมาแล้ว ท่านย่าไม่ต้องกังวล เราพาอาสะใภ้สามไปที่ห้องทำคลอดก่อนดีหรือไม่เจ้าคะ”

นางฉินผู้เฒ่ามองไปรอบๆ ห้อง ขณะที่มองดูเหล่าญาติที่เป็นผู้หญิงและเด็กกำลังหวาดกลัวตัวสั่นด้วยความตกใจ นางกลับนึกไม่ถึงว่าฉินหลิวซีเด็กหญิงที่เพิ่งจะผ่านพิธีปักปิ่น[2]มาได้ไม่นานผู้นี้จะสามารถช่วยเหลือนางได้

ตอนที่ 2 เคราะห์ซ้ำกรรมซัด

นางฉินผู้เฒ่าชี้ไปที่สะใภ้เซี่ยพลางเอ่ย “สะใภ้รอง เจ้าพาอนุพานและคนอื่นๆ ไปปลอบเด็กๆ ก่อน สะใภ้หวังกับเหมยเหนียงไปรออยู่ในห้องทำคลอด รอให้จัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วค่อยเข้ามาช่วย”

“เจ้าค่ะ ท่านแม่”

ฉินหลิวซีสั่งให้เฉินผีนำคนอื่นๆ ไปจัดแจงที่ทางสำหรับอยู่อาศัยให้เรียบร้อย ส่วนนางและฉีหวงก็พาสะใภ้กู้ไปยังห้องทำคลอดที่จัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นตอนนี้นางก็รู้สึกปวดศีรษะขึ้นมาบ้างแล้ว

ปกติแล้วนางชอบความสงบ ไม่ชอบออกนอกบ้าน ดังนั้นในบ้านเก่าหลังนี้จึงไม่ได้จัดบ่าวรับใช้ไว้ดูแลมากมายนัก ข้างกายนางก็มีแค่พวกฉีหวงสองพี่น้องคู่นี้เท่านั้น แม้ในบ้านจะมีครอบครัวของลุงหลี่อยู่ด้วยก็จริง แต่พวกเขาก็มีกันเพียงสี่คน ป้าหลี่คอยสอนให้บุตรสาวเสี่ยวเสวี่ยดูแลงานครัวและงานเล็กๆ น้อยๆ ในบ้าน ขณะที่ลุงหลี่และเด็กชายที่มีชื่อว่าหลี่เฉิงเป็นทั้งพ่อบ้านและคนเฝ้าประตูทำงานจิปาถะทุกอย่าง

เจ้านายในบ้านเก่ามีน้อย ฉินหลิวซีเองก็ไม่ชอบความวุ่นวาย มีคนแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว แต่ตอนนี้จู่ๆ ก็มีคนอยู่เยอะขึ้น การงานต่างๆ จึงค่อนข้างจะตึงมือ

หลังจากที่วุ่นวายกับการจัดแจงให้สะใภ้กู้นอนลงบนเตียงที่ปูไว้สำหรับเตรียมคลอดแล้ว ฉินหลิวซีก็เหลือบมองนาง ในใจพลันรู้สึกเย็นยะเยือกขึ้นมาเล็กน้อย

หลังจากนั้นไม่นาน ไอดำบนใบหน้าของนางก็ยิ่งเข้มข้นรุนแรงขึ้น นางจะไม่สามารถผ่านด่านนี้ไปได้หรือไม่ก็ยังไม่แน่

ฉินหลิวซีหันไปมองครรภ์ที่มีขนาดใหญ่โตนั้นแล้วถือโอกาสแตะข้อมือของนาง นี่เป็นครรภ์แฝด

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดจริงๆ

ฉินหลิวซีปลดจี้หยกที่ห้อยเอาไว้ที่เอวออกมาและผูกไว้ที่สาบเสื้อของสะใภ้กู้ ก่อนจะหันไปมองฉีหวงที่กลับมาแล้วโดยไม่เอ่ยอะไร จากนั้นฉีหวงก็เดินออกไปอีกครั้ง

เมื่อเห็นการกระทำเช่นนั้น นางฉินผู้เฒ่าและคนอื่นๆ ต่างก็ตกตะลึงไปในทันทีพลางหันไปมองหน้าฉินหลิวซี

สีหน้าของฉินหลิวซีไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ “นี่เป็นหยกหรูอี้ที่ผ่านการปลุกเสกเพิ่มพลังมาแล้ว จะได้คุ้มครองให้อาสะใภ้สามคลอดลูกอย่างปลอดภัยน่ะเจ้าค่ะ”

สีหน้าของนางฉินผู้เฒ่าอบอุ่นอ่อนโยนขึ้นเล็กน้อย แววตาก็มีประกายแห่งความหวังขึ้นมาบ้างเช่นกัน

ส่วนฮูหยินที่กอดสะใภ้กู้ไว้ในทีแรกนั้นก็คือสะใภ้หวัง แม่ใหญ่[3]ของฉินหลิวซี “ซีเอ๋อร์มีน้ำใจแล้ว อาสะใภ้สามของเจ้าจะต้องปลอดภัยทั้งสามคนแม่ลูกแน่”

แม้จะเอ่ยเช่นนั้น แต่เมื่อพวกนางหันไปมองคนที่นอนอย่างอ่อนแรงอยู่บนเตียงพลางนึกถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับครอบครัวเมื่อเร็วๆ นี้แล้ว สีหน้าของพวกสะใภ้หวังก็ยิ่งแสดงออกถึงความกังวลมากขึ้นไปอีก

ตอนที่ฉีหวงกลับเข้าไปในห้องพักแขกพร้อมกับกล่องเล็กๆ ในอ้อมแขน นางก็เห็นว่าสีหน้าของทุกคนที่อยู่ในห้องเต็มไปด้วยแววกลัดกลุ้ม จึงอดเขย่งเท้าเดินย่องเข้าไปยืนอยู่ข้างๆ ฉินหลิวซีและยืนรออย่างสงบเสงี่ยมไม่ได้

เพราะฉินหลิวซี นางจึงไม่ได้รู้สึกดีอะไรกับคนตระกูลฉินมากนัก แต่คนตระกูลฉินมาอย่างกะทันหันทั้งยังอยู่ในสภาพตกต่ำน่าสิ้นหวัง เมื่อบวกกับที่มีฮูหยินอายุน้อยกำลังจะคลอดก่อนกำหนดผู้นี้อีก ต่อให้จะรู้สึกไม่พอใจเพียงไหนก็คงจะสร้างปัญหาให้พวกเขาลำบากขึ้นไปอีกไม่ได้แน่นอน

“หมอตำแยยังไม่มาอีกหรือ” นางฉินผู้เฒ่าร้อนใจเล็กน้อยพลางมองออกไปข้างนอกหลายครั้ง

ฉินหลิวซีเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสงบเยือกเย็น “ตอนนี้ข้างนอกฝนตก ทางเดินลำบาก พวกเราเองก็ไปเชิญอย่างกะทันหันด้วย นางอาจจะไม่ได้อยู่ที่บ้านก็ได้เจ้าค่ะ คงจะล่าช้าไปบ้าง”

นางฉินผู้เฒ่ายิ่งเม้มริมปากแน่นขึ้น

ในขณะที่พวกนางกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น ทางด้านนอกก็มีคนสองสามคนมาพอดี เป็นภรรยารองของตระกูลฉิน สะใภ้เซี่ย และอนุภรรยาอีกสองคน ซึ่งหนึ่งในนั้นคือสะใภ้วั่น มารดาผู้ให้กำเนิดของฉินหลิวซี

หลังจากที่พวกนางเข้าไปในห้องแล้ว สายตาของอนุวั่นก็จับจ้องไปที่ฉินหลิวซีเป็นอันดับแรก

ฉินหลิวซีเองก็มองไปที่นางเช่นกัน มารดาและบุตรสาวสบสายตากัน

อนุวั่นจ้องนางเขม็งพลางขมวดคิ้วน้อยๆ ด้วยสายตาไม่ค่อยจะพอใจ เศร้าใจ และสงสัย

บุตรสาวของนางคนนี้เกิดมาก็เป็นลูกชิ้นเนื้อเหมือนกัน แต่พอโตขึ้นนางกลับกลายเป็นน้ำแกงใสๆ ถ้าไม่ใช่เพราะผมที่ยาวเพียงนั้น นางก็คงไม่ต่างอะไรกับแม่ชีแล้ว

ฉินหลิวซีลอบถอนใจภายใน มารดาผู้กำเนิดนางน่าจะอยู่ในวัยสามสิบกว่าปีแล้ว อีกทั้งนางยังให้กำเนิดลูกถึงสองคน แต่มองดูใบหน้าของนางสิ ช่างขาวนวลสะอาดสะอ้านจริงๆ แม้จะไม่ได้แต่งหน้าผัดแป้ง แต่ความงามของนางก็ไม่ได้ลดน้อยลงเลย ตรงกันข้ามกลับดูบริสุทธิ์และน่าปรารถนาราวกับเด็กสาวอายุสิบแปดก็ไม่ปาน

เมื่อมองดูรูปร่างของนางนั่นอีก อกเป็นอก เอวเป็นเอว เห็นแล้วก็ยังรู้สึกว่าสวยงามน่ารัก สมแล้วที่เป็นอนุภรรยาที่งามเลิศและเป็นที่โปรดปรานรักใคร่

ดูเหมือนว่าชีวิตของนางที่ตระกูลฉินจะไม่ได้ลำบากลำบนหรือคับข้องใจใดๆ ไม่เพียงแต่ไม่ต้องทนทุกข์เท่านั้น แต่ยังมีชีวิตอยู่อย่างสุขสบาย สุขสบายจนลืมไปแล้วว่ายังมีบุตรสาวอยู่อีกคน

ฉินหลิวซีย่อตัวลงเล็กน้อยและทำความเคารพ “แม่รอง”

อนุวั่นเอ่ย “เจ้าหน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่ ไม่ค่อยเหมือนข้ากับน้องชายของเจ้าเลยนะ”

[1] เซี่ยงชู่ (相术) วิชาทำนายลักษณะ ทำนายได้จากทั้งสิ่งที่มีรูปลักษณ์และไร้รูปลักษณ์ เช่น ฮวงจุ้ย โหงวเฮ้ง ฯลฯ

[2]พิธีปักปิ่น เด็กผู้หญิงอายุสิบห้าปีจะผ่านพิธีนี้ซึ่งหมายความว่าพร้อมจะออกเรือนแล้ว

[3] แม่ใหญ่ ภรรยาหลวงของบิดา