ตอนที่ 9 เงินมา อะไรก็ซื้อให้ท่านได้! ตอนที่ 10 ควรจะทำตัวสงบเสงี่ยมเจียมตัว

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 9 เงินมา อะไรก็ซื้อให้ท่านได้! / ตอนที่ 10 ควรจะทำตัวสงบเสงี่ยมเจียมตัว

ตอนที่ 9 เงินมา อะไรก็ซื้อให้ท่านได้!

ฉินหลิวซีหลับไปถึงสองวัน ตอนที่นางเดินออกมาจากห้อง ท้องฟ้าปกคลุมไปด้วยเมฆสีแดง ช่างเป็นภาพที่งดงามมาก

เพียงแต่นางเพลิดเพลินกับทิวทัศน์อันงดงามนั้นอยู่ได้ไม่นานก็ถูกเสียงที่ไม่เข้ากันทำลายบรรยากาศไปเสียสิ้น

อารมณ์อันแสนสุขของฉินหลิวซีหายวับไปในทันที นางเม้มปากและเดินไปยังทิศทางที่เสียงนั้นดังลอยมา

บ้านเก่าตระกูลฉินเป็นบ้านที่มีทางเข้าสามทาง และเมื่อก่อนมีเพียงฉินหลิวซีที่เป็นเจ้าบ้านอาศัยอยู่เท่านั้น ในบ้านหลังใหญ่โตเช่นนี้จึงใช้เพียงเรือนห่างไกลที่อยู่ใกล้กับถนนด้านหลังเพื่อสะดวกสำหรับการไปไหนมาไหนของนาง

เสียงดังมาจากห้องโถง

ตอนที่ฉินหลิวซีมาถึง ป้าหลี่และเสี่ยวเสวี่ยกำลังยืนอยู่ตรงประตูด้วยสีหน้าลำบากใจเล็กน้อย พอพวกเขาเห็นนางก็ตาเป็นประกายขึ้นมาทันที

“คุณหนูใหญ่” ทั้งสองย่อกายลงคำนับพร้อมกัน

ฉินหลิวซีโบกมือแล้วก้าวเข้าไป “มีอะไรหรือ”

นางเงยหน้าขึ้นกวาดตามอง ห้องโถงขนาดใหญ่เต็มไปด้วยผู้คนทั้งเด็กและผู้ใหญ่ พวกเขาทั้งหมดหันมามองนางเป็นตาเดียว บางคนมีสีหน้าไม่คาดคิด

ในห้องโถงมีโต๊ะกลมขนาดใหญ่สองโต๊ะจัดวางอยู่ บนโต๊ะมีอาหารจำนวนหนึ่งที่ไม่สามารถเรียกว่าประณีตละเอียดอ่อนได้ อันได้แก่ ปลานึ่งหนึ่งจาน เครื่องในหมูผัดกะหล่ำปลีดองหนึ่งจาน อาหารมังสวิรัติสองจาน และซาลาเปาชามใหญ่

ฉินหลิวซีเลิกคิ้ว ถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว แต่เห็นได้ชัดว่าอาหารเหล่านี้ไม่สามารถทำให้เจ้านายทั้งเด็กและผู้ใหญ่กลุ่มนี้พอใจได้

“มีอะไรน่ะหรือ” สะใภ้เซี่ยชี้ไปที่อาหารบนโต๊ะ เอ่ยด้วยท่าทางไม่พอใจ “นังหนูซี เจ้าลองดูอาหารพวกนี้สิ นี่มันของที่เอาไว้ให้คนกินหรือ นี่คืออาหารเย็นหรือ เมื่อวานก็เป็นอย่างนี้ ข้าก็ไม่ได้พูดอะไร วันนี้ก็ยังเป็นเช่นนี้อีก ถ้าคนในครัวทำไม่ได้ ก็หาคนที่มีความสามารถมาทำแทน”

ขณะที่พูดนางก็ถลึงตาใส่ป้าหลี่และลูกสาวไปด้วย

ป้าหลี่เป็นพวกใจร้อน “คุณหนูใหญ่ บ้านนี้เคยมีคนแค่ไม่กี่คน แต่ไหนแต่ไรมาท่านก็ไม่เคยชอบปลาหรือเนื้ออะไรขนาดนั้น บ่าวก็ซื้อของง่ายๆ เหมือนที่เคยเป็นมา สองวันมานี้จู่ๆ ในบ้านก็มีคนเพิ่มมาเยอะขนาดนี้ ข้าเปลี่ยนนิสัยความเคยชินในการซื้อของไม่ทัน ได้แต่ซื้อปริมาณมากๆ แทน อีกอย่างเรื่องเงิน…”

ป้าหลี่ชะงักไปเล็กน้อยและมีท่าทางลำบากใจที่จะพูด

การซื้อของเข้าบ้านแต่ละวันต้องใช้เงินเท่าไรนางรู้ดี เมื่อก่อนในบ้านเก่านี้มีแค่ฉินหลิวซีเป็นเจ้านายคนเดียว ที่เหลือก็เป็นบ่าวรับใช้ นอกจากอาหารของฉินหลิวซีจะพิถีพิถันกว่านิดหน่อยแล้ว อาหารของบ่าวรับใช้เหล่านี้ก็เหมือนกับคนธรรมดาทั่วไป เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว

แต่ในช่วงสองวันที่ผ่านมา มีคนเพิ่มเข้ามาสิบกว่าคนอย่างกะทันหัน พวกนางจะซื้อของได้อย่างไรถ้าไม่มีเงิน เพียงซื้อกับข้าวทำกินง่ายๆ ตามกำลังเงิน จะพิถีพิถันประณีตหรือไม่ก็ไม่ต้องคิดแล้ว

ตอนนี้เจ้านายเหล่านี้กำลังสร้างปัญหา พวกนางเองก็ลำบากใจเช่นกัน แม้แต่ผู้หญิงฉลาดก็ไม่สามารถทำกับข้าวได้หากไม่มีข้าว ความจริงข้อนี้แม้แต่เด็กสามขวบก็ยังรู้เลยมิใช่หรือ

“โกหก ข้าเห็นว่าเจ้าแอบตุ๋นน้ำแกงเนื้อแดงกับพุทราจีนให้นาง” เด็กสาวอายุสิบสามหรือสิบสี่ปีชี้ไปที่ฉินหลิวซีหน้านิ่วคิ้วขมวด

ฉินหลิวซีเหลือบมองนาง นางมีฐานะเป็นลูกพี่ลูกน้องของตน เป็นบุตรสาวบ้านอารองชื่อว่าฉินหมิงเย่ว์

ป้าหลี่นิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะอธิบาย “คุณหนูใหญ่ไม่ได้กินข้าวมาสองวันแล้ว ทำไมข้าถึงจะเก็บน้ำแกงไว้ให้นางไม่ได้”

“เจ้าหมายความว่าคุณหนูใหญ่สูงส่งกว่านายหญิงผู้เฒ่าอย่างนั้นหรือ” สะใภ้เซี่ยรีบต่อคำทันที

ป้าหลี่พูดไม่ออก “ไม่ใช่ คือ…”

ในใจของนางนั้นคุณหนูใหญ่สูงส่งกว่าใครๆ อยู่แล้ว แต่เมื่ออยู่ตรงนี้นางจะกล้าเอ่ยออกมาได้เช่นไร หากนางเอ่ยออกมา คุณหนูใหญ่ก็จะได้ชื่อว่าเป็นหลานอกตัญญูทันทีน่ะสิ

ป้าหลี่หันไปมองฉินหลิวซีด้วยสายตาขอความช่วยเหลือ

ฉินหลิวซีมองสะใภ้เซี่ยด้วยสายตาเย็นชาเล็กน้อย

สันคิ้วของสะใภ้เซี่ยไม่มีเนื้อ โหนกแก้มคม ใบหน้าเช่นนี้มีนิสัยที่แข็งกร้าว ชอบวางอำนาจ ฉาบฉวยไร้น้ำใจ เน้นผลกำไร ทั้งชีวิตแสวงหาแต่ผลประโยชน์ คนเช่นนี้นางไม่อยากจะข้องแวะด้วยแม้แต่น้อย ซ้ำยังรังเกียจด้วย

น้ำเสียงของฉินหลิวซีเย็นชาเล็กน้อย “เพราะฉะนั้นพวกท่านกินอิ่มแล้วก็เลยสร้างปัญหาให้ที่นี่งั้นหรือ อยากกินอาหารเย็นเลิศรสมีทั้งเนื้อสัตว์และผัก ต้องการของบำรุงอย่างรังนกและโสมด้วยหรือไม่ ก็ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้หรอกนะ อาสะใภ้รอง เงินล่ะเจ้าคะ”

นางยื่นมือไปตรงหน้าสะใภ้เซี่ย “เงินมา สิ่งใดก็ซื้อให้ท่านได้!”

ตอนที่ 10 ควรจะทำตัวสงบเสงี่ยมเจียมตัว

อยากกินของดีก็ต้องเอาเงินมา

สะใภ้เซี่ยจ้องมองนิ้วเรียวยาวขาวอย่างกับต้นหอมของฉินหลิวซี ใบหน้านางแดงก่ำด้วยความโกรธที่อัดอั้นอยู่ข้างในทันที

เงิน นางจะเอาเงินมาจากไหน?

ต่อให้นางพอมี ก็เป็นแค่เงินเล็กน้อยเท่านั้น นางจึงไม่กล้าเอาออกมาใช้อะไรง่ายๆ ไม่อย่างนั้นหากถึงเวลาที่ต้องใช้เงินจริงๆ นางก็คงไม่มีอะไรเลยแม้แต่แดงเดียว

“อะไร เงินอะไร!” นางหลบสายตาแล้วเอ่ยอย่างตะกุกตะกัก “เจ้าก็รู้ว่าสถานการณ์บ้านพวกเราเป็นอย่างไร ข้ามีเงินที่ไหน!”

ฉินหลิวซียิ้ม “อ้อ ตอนนี้อาสะใภ้รองรู้แล้วหรือว่าตระกูลฉินอยู่ในสถานการณ์เช่นไร ข้านึกว่าท่านเป็นพวกมองโลกในแง่ดี รู้แต่ทำเหมือนไม่มีอะไร ทำเหมือนกับยังมีบ่าวรับใช้คอยล้อมหน้าล้อมหลัง พรั่งพร้อมด้วยอาหารชั้นเลิศอุดมสมบูรณ์เหมือนแต่ก่อนเสียอีก!”

คำพูดเหล่านั้นราวกับตบหน้าทุกคนที่ยืนอยู่ ณ ที่นั้น มันแสบร้อนและทำให้พวกเขาได้สติขึ้นมาด้วย

ถูกต้อง ตระกูลฉินในปัจจุบันไม่ใช่ตระกูลขุนนางขั้นสามเหมือนในอดีตอีกแล้ว แต่เป็นคนธรรมดาที่ถูกยึดบ้าน พวกเขาไม่สามารถใช้ชีวิตที่สูงส่งมีบ่าวรับใช้คอยปรนนิบัติ วันทั้งวันเอาแต่พูดคุยเรื่องร้านเครื่องเงินไหนออกเครื่องประดับแบบใหม่อะไรบ้าง ร้านตัดเสื้อร้านไหนมีผ้าลายใหม่ๆ ออกมาบ้าง หรือความร่ำรวยแบบที่มีอาหารรสเลิศล้ำค่ามากมายให้กินจนแทบอาเจียนออกมาได้อีกแล้ว

ของที่ดูฟุ่มเฟือยเหล่านี้ล้วนอยู่ห่างไกลและไม่มีอยู่อีกต่อไป

ทุกคนหันไปมองจานอาหารบนโต๊ะอีกครั้งและรู้สึกหนาวเหน็บในหัวใจ พวกเขาไม่สามารถมีชีวิตที่ร่ำรวยรุ่งเรืองได้อีกแล้ว บางทีพวกเขาอาจไม่สามารถกินอาหารที่มีเนื้อสัตว์ได้อีกแล้วด้วยซ้ำ เพราะพวกผู้ชายที่เป็นกำลังสำคัญของครอบครัวถูกเนรเทศออกไปหมดแล้ว ส่วนผู้หญิงและเด็กที่อ่อนแออย่างพวกนางที่เหลืออยู่นี้มีใครบ้างที่หาเงินได้

ตื่นตระหนก มึนงง มันเหมือนมีเมฆดำทะมึนเข้าครอบงำทำให้พวกเขาหายใจไม่ออกอีกครั้ง

สะใภ้เซี่ยรู้สึกอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี

แต่ในไม่ช้านางก็ทำหน้าบูดบึ้งทันทีด้วยคิดว่าถึงอย่างไรนางก็เป็นผู้อาวุโส เด็กคนนี้ไม่รู้จักเคารพผู้ใหญ่

ในขณะที่นางกำลังจะพูดอะไรออกมา ฉินหลิวซีก็หันไปมองฉินหมิงเย่ว์อีกครั้งแล้วถามว่า “น้องหญิงท่านนี้ เจ้ารับรู้สถานการณ์ปัจจุบันแล้วหรือไม่ การเห็นตนเองเป็นคุณหนูผู้สูงส่งไม่ผิดหรอก แต่เจ้าต้องดูสถานการณ์ด้วยใช่หรือไม่”

หากไม่สามารถเข้าใจสถานการณ์ได้อย่างชัดเจนก็จะเป็นปัญหาใหญ่ นางเห็นว่าหางตาของฉินหมิงเย่ว์กดลึกจนดูเหมือนว่าดวงตาของนางหลบซ่อนอยู่ ตามหลักโหงวเฮ้งแล้ว ผู้ที่มีเรือนคู่ครองยุบลงมักจะไม่มีความสุขในชีวิตสมรส ลูกพี่ลูกน้องของนางคนนี้มีนิสัยไม่มั่นคง อารมณ์แปรปรวน เกรงว่าการแต่งงานในอนาคตจะไม่ดี ครอบครัวไม่สงบสุข

ฉินหมิงเย่ว์แข็งทื่อไปทั้งตัว กัดฟันเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “ถึงข้าจะไม่ใช่คุณหนูผู้สูงส่งแล้ว พี่หญิงใหญ่ก็ไม่ใช่เหมือนกัน”

พวกเขาทั้งหมดเป็นคนตระกูลฉินเหมือนกัน ตระกูลฉินใช่จะหมายถึงนางคนเดียวเสียเมื่อไหร่ พวกเขาตกต่ำ นางก็ต้องตกต่ำเหมือนกันไม่ใช่หรือ ก็เป็นเพียงสามัญชนคนธรรมดา อีกอย่างนางก็เป็นเพียงลูกอนุภรรยาที่อยู่ในนามแม่ใหญ่เท่านั้น จะสูงส่งไปกว่าคนอื่นได้อย่างไร

ฉินหมิงเย่ว์ยืดอกขึ้นมาทันทีเมื่อคิดได้เช่นนั้น

“อ้อ ข้าไม่เหมือนเจ้า ข้ามองว่าตัวเองเป็นเด็กกำพร้ามาตลอด!” ฉินหลิวซีพูดออกมาง่ายๆ

ฉินหมิงเย่ว์ “!”

สะใภ้หวังและอนุวั่น “……”

พวกนางยังยืนหัวโด่ตรงนี้อยู่เลยนะ!

สะใภ้เซี่ยกลับจับประเด็นได้แล้วจึงเอ่ย “พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านดูสิ เด็กคนนี้ต้องได้รับการอบรมสั่งสอนจริงๆ นี่ไม่ใช่ว่านางสาปแช่งท่านกับพี่ใหญ่อยู่หรือ”

ฉินหลิวซีแค่นเสียงหยัน

นางถูกส่งตัวมาอยู่บ้านเก่าตั้งแต่อายุยังน้อย ตอนนี้กลับอยากจะมาสั่งสอนนาง อยากจะรู้นักว่าใครจะกล้าพูด!

สะใภ้หวังเอ่ย “น้องสะใภ้รอง นังหนูซีก็พูดถูกอยู่นะ ตระกูลฉินของเราไม่ใช่ตระกูลฉินในอดีตอีกแล้ว พวกเราต้องประหยัดเรื่องอาหารการกินและเสื้อผ้า จะทำตัวร่ำรวยเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้แล้ว หากเจ้าต้องการสั่งอาหารเพิ่มจริงๆ เจ้าก็สามารถใช้เงินส่วนตัวขอให้ป้าหลี่ทำอาหารให้เจ้าได้”

“พี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้าพูดถูกแล้ว!”

น้ำเสียงอ่อนแอดังขึ้นตรงประตู

พอทุกคนหันไปมองก็เห็นติงหมัวหมัวประคองนางฉินผู้เฒ่าเดินเข้ามา จึงต่างพากันเข้าไปต้อนรับแสดงความเคารพ

“ท่านย่า”

“คารวะท่านแม่”

“ท่านแม่” สะใภ้หวังก้าวเข้าไปพยุงนางก่อนจะเอ่ยด้วยความเป็นห่วง “ท่านมาได้อย่างไรเจ้าคะ”

นางฉินผู้เฒ่านั่งลงตรงตำแหน่งเหนือสุดและมองไปรอบๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าน่าเกรงขาม “หากข้าไม่มา พวกเจ้าก็คงจะลืมกันไปหมดแล้วว่าพวกเราถูกฝ่าบาทยึดบ้าน และตระกูลฉินควรจะทำตัวสงบเสงี่ยมเจียมตัวอย่างไร”