ตอนที่ 1 กลางคืน
“คุณหนู ยามสวีเจิ้ง[1] แล้วเจ้าค่ะ” อาหมานสาวรับใช้เดินเข้ามาเปิดม่านสีฟ้าดุจท้องฟ้าฟ้าหลังฝนที่ติดอยู่กับโครงเตียงออก พลางเอ่ยเรียกสตรีที่นอนตะแครงอยู่ด้านในด้วยเสียงเบา
ช่วงนี้เป็นฤดูใบไม้ผลิตอนต้น ท้องฟ้าด้านนอกเพิ่งจะมืดสนิท แสงกลางคืนจางๆ ส่องมายังสตรี บวกกับแสงสว่างจากเทียนบนโต๊ะ ทำให้พอเห็นเค้าโครงของสตรีที่อยู่ด้านในลางๆ
สตรีคนนี้มีคิ้วโก่งดุจคันศร มีจมูกเป็นคมสัน มีริมฝีปากสีอมชมพู และมีผิวพรรณนวลขาวผ่องใส ถือว่าเป็นหญิงรูปงามคนหนึ่ง
นางผู้นี้เป็นบุตรสาวลำดับที่สี่ในตระกูลเจียงแห่งจวนตงผิงปั๋ว[2] มีนามเพียงหนึ่งตัวอักษรชื่อว่า ซื่อ
เมื่ออาหมานเห็นท่าทางของเจียงซื่อก็รู้สึกโมโหแทนคุณหนูของตน
คุณชายสามแห่งจวนอันกั๋วกง[3] คงตาบอดสินะ รูปลักษณ์อย่างคุณหนู หากให้เข้าไปเป็นเหนียงเหนียงในวังหลวงก็ยังได้ แต่เขากลับไม่ให้ความสำคัญกับงานสมรสในครั้งนี้เลยสักนิด หรือเขารู้สึกว่าคุณหนูไม่คู่ควรกับตน
ความโกรธของอาหมานได้ก่อขึ้นหลังงานประพันธ์กลอนเมื่อช่วงฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านมา
งานนี้ถูกจัดขึ้นโดยเหล่าคุณชายตระกูลใหญ่ที่มีชื่อเสียงของเมืองหลวง ที่มารวมตัวร่วมสนุกสังสรรค์ ร่ำสุรา ประพันธ์บทกลอนด้วยกัน เมื่อฤทธิ์สุราเริ่มออก มีคนหนึ่งเริ่มหยอกล้อคุณชายสามจี้ฉงอี้แห่งจวนอันกั๋วกง ด้วยคำพูดที่ว่า อิจฉาคุณชาย ที่กำลังจะได้แต่งงานกับหญิงรูปงามขึ้นชื่อลือนามของเมืองหลวง
ใครเล่าจะคิด จี้ฉงอี้กลับเอ่ยวาจาดูถูกตัวเองด้วยความมึนเมา “รูปลักษณ์หน้าตาเป็นเช่นไรนั้น ก็เป็นเพียงแค่เปลือกนอก เป็นสตรี ควรให้ความสำคัญกับกิริยา ความสุภาพและความอ่อนโยนมากกว่า”
เดิมที นี่เป็นเพียงวาจาที่ลั่นออกจากปากของคนมึนเมา ยามสร่างเมา ก็คงหายไปตามกาลเวลา แต่แล้วใครก็คิดไม่ถึง ว่าประโยคนี้ได้แพร่งพรายออกไปสู่ภายนอก จนคุณหนูสี่แห่งตระกูลเจียงได้กลายเป็นตัวตลกที่ถูกพูดถึงบนโต๊ะอาหารในทันใด
จวนตงผิงปั๋ว เป็นตระกูลที่มีฐานะไม่มั่นคงมาแต่ไหนแต่ไร สามารถสืบทอดยศถาบรรดาศักดิ์ได้เพียงสามรุ่นเท่านั้น และตงผิงปั๋ว ผู้เป็นบิดาของเจียงซื่อ ก็คือรุ่นที่สาม นั่นทำให้พี่ชายของเจียงซื่อ ก็ไม่สามารถรับตำแหน่งซื่อจื่อได้
นั่นหมายความว่า หากตงผิงปั๋วดับสูญ จวนตงผิงปั๋วจะถูกตัดออกจากรายชื่อตระกูลชั้นสูง กลายมาเป็นตระกูลสามัญโดยปริยาย
แต่สตรีที่มีพื้นฐานตระกูลเช่นนี้ กลับมีหมายหมั้นกับจวนอันกั๋วกง ซึ่งโชคชะตานี้จะเป็นอย่างไรยังไม่ทันได้พูดถึง ก็กลายเป็นเหตุผลมากพอที่ทำให้หลายๆ คนรู้สึกไม่ถูกชะตากับเจียงซื่อผู้ที่ได้ออกเรือนกับคนที่มีฐานะสูงกว่าแล้ว
จี้ฉงอี้ คุณชายสามแห่งจวนอันกั๋วกงกล่าวว่ารูปลักษณ์ของสตรีนั้นไม่สำคัญ สิ่งที่เขาสนใจคือนิสัยใจคอ ซึ่งก็ตีความได้ว่า เขารังเกียจรังงอน ไม่พอใจในนิสัยใจคอของคุณหนูสี่นั่นเอง
ไม่ว่าจี้ฉงอี้จะเอ่ยประโยคนี้ด้วยความตั้งใจหรือไม่ แต่เพราะประโยคนี้ที่กล่าวออกไป ก็ทำให้เจียงซื่อต้องอับอายขายหน้าเป็นอย่างมาก ยามออกไปร่วมสังสรรค์งานเลี้ยงของเหล่าคุณหนูชนชั้นสูง ก็มักมีเสียงซุบซิบนินทาอยู่ในงานเต็มไปหมด
เจียงซื่อเป็นคนเก็บอารมณ์เก่ง แต่พอกลับมาถึงจวน นางก็ล้มป่วยไปเกือบครึ่งเดือน
เจียงซื่อที่พักผ่อนอยู่บนเตียงลืมตาขึ้นในทันใด
ดวงตาของนางโค้งเรียวสวยงามยิ่ง หางตากระดกขึ้นเล็กน้อย ช่างดูงดงามจนมิอาจใช้คำพูดบรรยายได้
ดวงตาอันสวยงามคู่นั้นกำลังสบตากับอาหมาน จากนั้นนางก็เผยรอยยิ้มจางๆ ออกมาพลางเอ่ยขึ้น “ทำไมถึงทำท่าเหมือนจะกลืนกินคนเช่นนี้”
“พอนึกถึงคนมีตาหามีแว่วไม่ บ่าวก็รู้สึกโมโหแทนคุณหนูเจ้าค่ะ”
รอยยิ้มของเจียงซื่อหายไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นตอบกลับเสียงเรียบ “เขาคนนั้นไม่เคยพบหน้าข้ามาก่อน จะบอกว่ามีตาหามีแววไม่ก็คงไม่ได้”
“คุณหนู ยังจะช่วยเขาพูดอยู่อีกหรือเจ้าคะ!” ผ่านไปแค่ครึ่งเดือน คุณหนูผอมลงมาก อาหมานรู้สึกทั้งสงสารและไม่พอใจ
ครึ่งเดือนก่อน คุณหนูไปร่วมงานเลี้ยงชมบุปผาที่จวนหย่งชังปั๋ว กลับมาก็ร้องไห้ไปยกใหญ่ แม้กระทั่งหยกปี่เซียะ[4]ที่นางชอบที่สุด ยังถูกโยนทิ้งจนแตกเป็นชิ้นๆ หากพูดถึงคุณชายสามแห่งจวนอันกั๋วกงก็ยิ่งโมโหเกลียดเข้าไส้ แต่ตอนนี้คุณหนูไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว มันเพราะเหตุใดกันนะ
“ข้ามิได้ช่วยเขาพูดอะไรเสียหน่อย นั่นมันแค่คำพูดของคนมึนเมา” เจียงซื่อหันมองสาวรับใช้อีกคน อาเฉี่ยวที่ยืนอยู่อีกด้านนึงของฉากกั้น พลางออกคำสั่ง “อาเฉี่ยว ไปหยิบชุดทั้งสองชุดที่ข้าให้เจ้าทำมาหน่อย”
ไม่นาน อาเฉี่ยวก็หยิบเสื้อผ้าสองชุดนั้นกลับมา ยื่นให้กับอาหมานหนึ่งตัว อีกหนึ่งตัวนางนำไปสวมให้กับเจียงซื่อ
อาหมานสวมชุดไปเอ่ยไป “คำพูดมึนเมาเพียงหนึ่งประโยค มันทำให้คุณหนูกลายเป็นตัวตลกในสายตาของคนอื่นนะเจ้าคะ”
เจียงซื่อเก็บความเยือกเย็นด้วยการหลับตาลง แล้วกล่าวออกเสียงเบา “นี่ยังไม่เท่าไหร่”
โชคชะตาร้ายๆ ในชีวิตของนาง ได้เริ่มขึ้นจากการถูกจับคู่กับผู้ที่มีฐานะไม่เหมาะสมนี่ล่ะ
เมื่อนึกย้อนไปในตอนต้น ด้วยความเป็นเด็ก นางรู้สึกมีความภาคภูมิใจที่จะได้หมั้นหมายกับคุณชายแห่งจวนอันกั๋วกง แต่ใครจะรู้ว่าจี้ฉงอี้ คุณชายสามท่านนั้นมีหญิงอยู่ในใจแล้ว
คนที่อยู่ในใจของจี้ฉงอี้ เป็นหญิงที่เกิดในครอบครัวธรรมดา
นางเริ่มรู้เรื่องนี้ก็หลังจากที่ได้แต่งเข้าจวนไปแล้ว ด้วยโชคชะตาที่พาให้หญิงธรรมดาคนนั้นมีโอกาสได้ช่วยเหลือจี้ฉงอี้ที่ประสบอุบัติเหตุเมื่อตอนไปเที่ยวเล่นด้านนอก ซึ่งกว่าที่คนในจวนอันกั๋วกงจะหาตัวเขาพบ จี้ฉงอี้ก็ได้พักรักษาตัวอยู่ที่เรือนของหญิงคนนั้นเป็นเวลาหลายวัน จนกระทั่งทั้งคู่เริ่มเกิดความรู้สึกดีๆ ต่อกัน และหลังจากนั้น ทั้งคู่ก็มีปฏิสัมพันธ์กันเรื่อยมา
และในขณะที่นาง ใฝ่ฝันและภาคภูมิใจกับงานสมรสในครั้งนี้เป็นอย่างมาก จี้ฉงอี้กลับยื่นคำขอปฏิเสธการแต่งงานกับผู้หลักผู้ใหญ่ถึงหลายครั้ง เพื่อจะได้อยู่กับนางในใจของเขา
แต่งานสมรสใกล้เข้ามาเต็มที อันกั๋วกงย่อมไม่ยอมให้จี้ฉงอี้ทำเช่นนั้นอย่างแน่นอน ที่สำคัญ คนที่เขาอยากแต่งงานด้วย เป็นแค่หญิงสาวในครอบครัวธรรมดา มีฐานะต่ำกว่าตระกูลเจียงเสียอีก การต่อต้านและความไม่พอใจของจี้ฉงอี้ก็ย่อมไม่ถูกแพร่งพรายออกไป
เมื่อเจียงซื่อนึกถึงคำพูดภายในใจที่จี้ฉงอี้โพล่งออกมาหลังเมาสุรา นางรู้สึกว่าตอนนั้นนางเป็นคนโง่สิ้นดี หลังจากโมโห ก็ยังอดใจไม่ไหวที่จะหาเหตุผลแก้ต่างให้กับเขา คิดว่าเขาไม่เหมือนบุรุษทั่วไป ที่ให้ความสำคัญกับแต่รูปลักษณ์ภายนอกของหญิงสาว และเขา ก็เพียงแค่กล่าวในสิ่งที่ควรจะเป็นเท่านั้น
ก็ช่างสิ่งที่ควรจะเป็นนั้นปะไร ค่ำคืนนี้เป็นวันที่ 15 เดือน 4 จิ่งหมิงปี 18 คุณชายตระกูลชนชั้นสูงได้เลือกจบชีวีตกับหญิงในใจด้วยกันที่ทะเลสาบมั่วโยว
ในภายหลัง จี้ฉงอี้ถูกช่วยไว้ได้ แต่หญิงในใจของเขา ร่วงโรยรามิอาจหวนกลับมา
เพื่อไม่ให้เรื่องนี้แพร่งพรายออกไป งานสมรสที่กำหนดเป็นช่วงต้นฤดูหนาวจึงต้องเลื่อนเข้ามาเร็วขึ้นถึงหลายเดือน แล้วนางที่แต่งเข้าไปด้วยความปิติ จนกระทั่งจี้ฉงอี้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ ซึ่งเป็นเวลาเกือบหนึ่งปีที่บุรุษผู้มีหญิงในใจอยู่แล้ว ไม่เคยแตะต้องตัวนางเลยสักครั้ง
ภายหลังจากนั้น ก็มีเรื่องราวเกิดขึ้นอีกต่างๆ มากมาย จนถึงวันที่นางตายจากอย่างน่าเวทนาและฟื้นขึ้นอีกครั้งในปีที่นางอายุสิบห้า
พูดได้เลยว่า ความโชคร้ายต่างๆ นานาที่นางพานพบ เริ่มขึ้นนับจากวันที่ได้แต่งงานกับจี้ฉงอี้ และวันนี้ นางได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง สิ่งที่จะต้องจัดการโดยด่วนที่สุด ก็คืองานสมรสในครั้งนี้ เริ่มจากการตัดขาดความสัมพันธ์กับคุณชายจี้ ผู้ต่างจากชายทั่วไป กับจวนอันกั๋วกงที่สูงส่งแทบเอื้อมไม่ถึง แม้ตายจากไปก็ขอให้ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกันอีก!
เพียงครู่เดียว เจียงซื่อสวมชุดเสร็จเรียบร้อย จึงหันไปเอ่ยกับอาหมาน “ไปกันเถอะ อาหมาน”
อาหมานหยิบถุงผ้าบนเก้าอี้ขึ้นมา
อาเฉี่ยวลังเลไปครู่หนึ่ง จึงขวางเจียงซื่อและเอ่ย “คุณหนู ดึกขนาดนี้แล้ว คุณหนูจะออกไปจริงๆ หรือเจ้าคะ ประตูสองลงกุญแจแล้วนะเจ้าคะ”
“ไม่เป็นไร ข้าเตรียมการไว้หมดแล้ว อาเฉี่ยว เจ้าอยู่เฝ้าเรือนให้ดีก็พอ” เจียงซื่อกล่าวด้วยความมุ่งมั่น
หากเป็นไปได้ นางก็ไม่ได้อยากออกไปเสี่ยงในเวลากลางคืนเช่นนี้ แต่ในจวนแห่งนี้นอกจากสาวรับใช้สองคนนี้แล้ว ก็หามีคนที่นางไว้ใจได้อีกไม่
อาเฉี่ยวเห็นดังนั้นก็พยักหน้ารับปากหงึกๆ เอ่ยด้วยความเป็นห่วง “คุณหนูวางใจได้เจ้าค่ะ” จากนั้นก็หลีกทางให้
เจียงซื่อพาอาหมานย่องออกจากเรือนไห่ถัง ทะลุผ่านประตูแล้วประตูเล่าโดยมีต้นไม้และดอกไม้ตามสวนเป็นตัวช่วยกำบังจนมาถึงประตูสอง
“คุณหนู!” อาหมานมองดูประตูที่ปิดสนิท พลางเอ่ยเรียกเสียงเบา
[1] ยามสวีเจิ้ง หมายถึง เวลา 2 ทุ่มตรง
[2] ปั๋ว หนึ่งในบรรดาศักดิ์ 5 ขั้นรองจากอ๋อง ที่ฮ่องเต้พระราชทานให้เชื้อพระวงศ์ และข้าราชสำนักชั้นสูง เรียงตามลำดับจากขั้นสูงสุดได้แก่ กง โหว ปั๋ว จื่อ และหนาน
[3] กั๋วกง ตำแหน่งบรรดาศักดิ์สูงสุดของชั้นกง ขั้น 1 ชั้นรอง และเป็นตำแหน่งสูงสุดที่ขุนนางจะได้รับพระราชทานจากจักรพรรดิ
[4]ปี่เซียะ เป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อของชาวจีนมาตั้งแต่สมัยโบราณ ถือเป็นวัตถุมงคลประเภทหนึ่ง สื่อความหมายในเชิงความกล้าหาญ การต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งชัยชนะ
← ตอนก่อน