“……เอาไงดี”

 

ตั้งแต่ตอนที่ฉันตัดสินใจตามหาเส้นทางการใช้ชีวิต มันก็ยังดีอยู่นะ

โชคดีที่ถนนมันแทบจะเป็นทางตรงตลอดทาง ฉันก็เลยเดินไปถึงหมู่บ้านได้โดยที่ไม่ได้เจอปัญหาอะไรขนาดนั้น

นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ฉันได้เห็นคนอื่นๆ บ้าง นอกจากพ่อแม่ พวกคนค้าทาส กับพวกทาสคนอื่นๆ แต่ฉันก็เริ่มบทสนทนาออกไปจนได้

 

“นี่หรือว่า แม้แต่เข้าเมืองก็จะไม่ยอมปล่อยให้ฉันเข้าไปด้วยซ้ำน่ะ…”

 

ดูเหมือน การเลือกปฏิบัติกับคนผมดำ หรือกับพวกเส้นผมชั้นต่ำคนอื่นๆ ดูจะฝังรากลึกไปเยอะกว่าที่ฉันนึกภาพเอาไว้มากเลย

 

ตั้งแต่วันที่เกิดอุบัติเหตุรถม้าขนทาสพลิกคว่ำนั่น ก็ผ่านมา 3 วันแล้ว ทุกคนในรถม้าที่ฉันอยู่ตายหมดเลย ยกเว้นแค่ฉันคนเดียว

ฉันเจอเมืองแห่งนึงใกล้ๆ กับป่านี้เมื่อตอนเย็นนี่เอง

พอรู้ว่าได้เจออาหารการกินแล้ว ความโล่งอกกับความตื่นเต้นที่ฉันรู้สึกได้ที่ในที่สุดก็หาเมืองเจอซักที หลังจากที่เดินหลงไปทั่วอยู่ในป่าน่ะมันเกินคำบรรยายเลย

แต่ว่า อารมณ์ที่พุ่งทะยานนั่นก็ถูกตบกลับลงมาแทบจะทันทีเลย

 

“เดี๋ยว! นี่แกผมสีดำเรอะ!?”

“อ๊า!? โกหกน่า! ข้าไม่มีทางให้พวกผมสีดำมันเข้าไปในเมืองได้เด็ดขาด!”

“ไสหัวไปให้พ้นซะ!”

 

แค่ฉันเดินไปให้พวกเขาเห็น พวกทหารเฝ้ายามก็กรูกันออกมาพร้อมกับหอกในมือ แล้วก็เอะอะกันซะใหญ่โตเลย ทำเหมือนจะแทงฉันแน่ถ้าไม่รีบๆ หันหลังกลับไปจากตรงนั้น

ทั้งๆ ที่ฉัน เด็ก 5 ขวบที่อยู่ข้างนอกเมือง มันไม่เกี่ยวแล้วล่ะว่าอะไรมันอยู่ข้างในนั้นกันแน่ แต่ฉันไม่คิดว่าตัวฉันเองควรจะโดนปฏิบัติด้วยแบบนี้นะ

ฉันเจอเรื่องอะไรต่อมีอะไรมาเยอะแยะ อย่างวิ่งหนีในตอนกลางคืน แถมโดนใช้เป็นตัวล่อ เพราะงั้นฉันก็เบื่อมันเต็มทนแล้ว แต่ตามทุกที มันก็เป็นแผลใจชั่วชีวิตไปแล้วล่ะ

 

อาจจะคิดว่าเป็นเรื่องเลวร้ายนะ แต่พอลองคิดอย่างใจเย็น แล้วคิดถึงความหายากของผมสีดำแล้วนี่ มันก็เป็นปฏิกิริยาตามปกติเลย

ต่อให้เป็นโลกในชาติก่อน การเหยียดเชื้อชาติมันก็ยังฝังรากลึกอยู่เลย แล้วในญี่ปุ่นเอง สีผมอื่นๆ นอกจากสีดำกับสีน้ำตาลเข้มก็ยังเห็นได้ชัดมากๆ เหมือนกัน

ส่วนในโลกนี้มันกลับกัน ผมสีดำกลับหายาก แล้วก็ถูกกีดกัน เพราะงั้นฉันก็เข้าใจได้นะว่าทำไมผู้คนถึงได้มีทีท่าแบบนี้

แต่ถึงงั้นก็เถอะ

 

“ถึงจะมีเงิน แต่ถ้าไม่มีที่ไหนที่จะเอาเงินไปใช้ได้มันก็ไร้ความหมายสิ ด้วยผมสีนี้ ฉันก็ใช้เวทมนตร์ไม่ได้เลย ไหนจะแรงของเด็ก 5 ขวบอีก แบบนี้มันจะไปล่าสัตว์อะไรได้กันล่ะ… เฮ้อ แบบนี้มันจะทุเรศทุรังไปหน่อยหรือเปล่าเนี่ย?”

 

ฉันจะไปพูดว่า ‘ค่ะ เข้าใจแล้ว’ แล้วก็เดินกลับบ้านได้ที่ไหนเล่า

ชีวิตของฉันแขวนอยู่บนเส้นด้ายแล้วตอนนี้ แถมฉันก็ไม่มีบ้านที่ไหนให้กลับไปแล้วด้วย พ่อแม่ฉันขายฉันทิ้งไปแล้วนี่

แต่ถ้าฉันเข้าเมืองไม่ได้ ฉันก็คิดวิธีอื่นในการมีชีวิตอยู่ นอกจากใช้ชีวิตแบบพึ่งพาตัวเองพร้อมกับร่างกายอ่อนแอของฉันอยู่แบบนี้สินะ

ในป่าที่แยกไม่ออกเลยว่าอะไรกินได้ อะไรกินไม่ได้นี่น่ะ

เวรกรรม ดูเหมือนชีวิตที่ 2 ของฉันมันจะจบลงตั้งแต่ยังไม่ทันเริ่มซะแล้วสิ

 

ฉันเดินตัดผ่านป่ามาจนอยู่ใกล้ๆ กับเมืองได้แล้วแท้ๆ ตอนนี้ดวงอาทิตย์ก็เริ่มตกแล้วด้วย อาหารที่มีอยู่นิดเดียวที่ฉันเอามาจากในรถม้าเองก็ลดไปทีละนิดๆ อีกต่างหาก

ดวงอาทิตย์ค่อยๆ มืดลง แสงอาทิตย์สีแดงฉายลอดมาตามแนวช่องต้นไม้ก็ส่องมาถึงฉันด้วย

ยังกับว่าอยากจะหนีจากตัวตนสีดำอย่างฉันเลยนะ ถึงจะหงุดหงิดก็เถอะ แต่ฉันรู้สึกสะอิดสะเอียนกับสถานการณ์ในตอนนี้ของฉันที่แม้แต่ธรรมชาติก็ยังรังเกียจนี่มาก จนต้องถอนหายใจออกมาเลย

 

“ไม่รู้เลยแฮะ ว่าจะทำยังไงต่อดี…”

 

ตอนนี้ รอบๆ ตัวฉันมันก็มืดสนิทไปหมดเลย แล้วฉันก็เป็นคนที่ [มืดแปดด้าน] แบบที่ไม่ใช่แค่สำนวนเลยล่ะ

 

TN: 一寸先は闇 (Issun saki wa Yami) แปลตามตัวอักษรเลยจะแปลว่า ‘หนึ่งนิ้วข้างหน้า คือความมืด’ ความหมายคือ การตกอยู่ในความมืดมิด ที่แม้แต่ระยะทางที่ห่างไปเบื้องหน้าเพียงเล็กน้อย ก็มองอะไรไม่เห็น ดังนั้น หนทางข้างหน้าจะพบกับอะไรบ้าง จึงไม่อาจคาดคะเนได้เลย ใช้หมายความถึงอนาคตที่ไม่สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้ หรือการประสบโชคร้ายโดยไม่ได้คาดฝัน ส่วนในสำนวนไทยก็ค่อนข้างใกล้เคียงกับสำนวน [มืดแปดด้าน] นะครับ

 

ในสถานการณ์ที่ไม่มีแสงสว่างแบบนี้ อาจจะไม่เห็นแม้แต่เงาของตัวเองด้วยซ้ำ แล้วเสียงกรอบแกรบของต้นไม้ กับเสียงโหยหวนของลมที่พัดมาก็น่ารำคาญเหมือนกัน

มันชวนให้รู้สึกว่า―――

 

“…ไม่สิ จะท้อแท้อยู่แบบนี้ไม่ได้นะ”

 

มาลองคิดดูแล้ว ฉันไม่เคยกลัวหนังผี ผี คำสาป หรืออะไรแบบนั้นเลยนี่นา

เพราะฉันกลัวแต่ความรุนแรงที่ฉันคุ้นเคยกว่าเรื่องพวกนั้นมากกว่า

ขนาดเป็นกลางคืนในป่า เวลาคนที่หนีออกมาในตอนกลางคืนจะหลบมาในที่แบบนี้มันก็ไม่ได้แปลกอะไรหรอก แล้วฉันก็ค่อนข้างจะคุ้นกับที่ที่แสงน้อยๆ แบบนี้เหมือนกัน

พอลองพิจารณาข้อมูลสถานการณ์ในตอนนี้ของฉันอย่างใจเย็นดูแล้ว ต่อให้จะมีปัญหาเรื่องอายุก็เถอะ แต่ฉันก็รู้สึกดีกว่าชาติก่อนนะ เพราะฉันไม่มีพ่อแม่ระยำแบบนั้นแล้วด้วย

ก็จริงอยู่นะที่ตอนนี้ ฉันอยู่ในสภาพที่ไม่มีอะไรเลยซักอย่าง แต่พอคิดว่าตัวเองไม่ได้มีอะไรที่มันติดลบอย่างหนี้สินท่วมหัวหรือพ่อแม่ท็อกซิกแล้วนี่ ตอนนี้ฉันมีความสุขกว่านะ

 

ที่โลกนี้ ไม่มีพวกตามทวงหนี้ ไม่มีพ่อแม่ที่เอาแต่ตบตีลูกตัวเอง ไม่มีเพื่อนร่วมชั้นคอยดูถูก

ถึงจะโดนพ่อแม่ในโลกนี้ขายทิ้งมา แต่ตอนนี้ฉันก็ใช้ชีวิตได้อย่างอิสระโดยไม่ถูกขายไปที่ไหนแล้ว

 

“ระดับความสุขของฉันนี่ ต่ำจังเลยนะ”

 

โดนพ่อแม่ขายให้เป็นทาส ก่อนจะร่วงตกลงเหวมา พอคิดว่าโชคดีจังที่รอดมาได้ ก็ยังจะโดนกีดกันเพราะสีผมของตัวเองอีก คนที่ยังจะคิดว่ามีความสุขกว่าก่อนหน้านี้ ในตอนที่อยู่ตามลำพังกลางป่าแบบนี้เนี่ย ฉันว่าคงจะไม่มีหรอกนะ

 

แต่ว่า พูดกับโดยเนื้อแท้แล้วนี่ ฉันจะทำแค่นั่งเฉยๆ แล้วไม่ทำอะไรเลยก็ไม่ได้ซักหน่อย

ดูจากอาหารสำหรับให้เด็กร่างกายสมบูรณ์คนนึงกินแล้วนี่ ก็คงพอแค่อีกซัก 2 วันล่ะมั้ง

น้ำเองก็ไม่เหลือแล้วด้วย

ต้องขอบคุณประสบการณ์ที่ไม่น่าอภิรมย์ไม่รู้เท่าไหร่จากชาติก่อนของฉันเอง ที่ทำให้ฉันพอมีความรู้ในการเอาชีวิตรอดอยู่บ้าง แต่ระบบนิเวศของโลกนี้กับโลกก่อนมันต่างกันอย่างสิ้นเชิง

มีต้นไม้ที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อนเลย แถมแม้แต่บางอย่างที่รู้สึกคุ้นเคย อย่างเจ้าเห็ดดอกนี้ที่งอกขึ้นมาใกล้ๆ เท้าฉันเนี่ย มันดูเหมือนเห็ดกินได้ที่โตที่ญี่ปุ่นเลยนะ แต่อันที่จริง มันอาจจะเป็นเห็นพิษร้ายแรงเลยก็ได้

 

ฉันไม่เห็นรอยเท้าสัตว์เดินผ่านไปนะ เพราะงั้น ฉันคิดว่าคงจะไม่โดนสัตว์ร้าย จู่ๆ ก็พุ่งเข้าใส่จากตรงไหนแถวๆ นี้หรอก แต่ถ้ามองจากอีกมุมนึงแล้วล่ะก็ แสดงว่าไม่มีทางหาเนื้อที่ไหนกินได้เลยเนี่ยสิ

แล้วฉันก็ไม่รู้วิธีทำกับดักสัตว์ที่ใช้ได้จริงๆ ด้วย

ด้วยความรู้เกี่ยวกับระบบนิเวศในโลกนี้ที่เท่ากับศูนย์ ไม่มีทางที่ฉันจะยืนยันได้เลยว่ามีอะไรบ้างที่มัน [ปลอดสารพิษ]

พิษส่วนใหญ่ก็สามารถใช้ความร้อนจัดการทำให้สลายตัวได้นั่นแหละ แต่ที่นี่มันก็ไม่มีไฟเลย

มันก็ยังสามารถเอาพิษบนผิวออกได้ด้วยการล้างมันให้สะอาดได้นะ แต่ก็ไม่มีน้ำไว้ใช้ทิ้งใช้ขว้างได้ซักหน่อย

อยากจะด่าพระเจ้าซะตรงนี้จังเลย ทำไมไม่ให้ผมฉันเป็นสีแดงหรือสีน้ำเงินเนี่ย

 

“เฮ้อ ช่วยไม่ได้ วันนี้นอนซะก่อนแล้วกัน ต้องรักษาแรงกายเอาไว้ก่อน ถ้าจำไม่ผิด การนอนหลับในป่าให้เอาเท้าใส่ในกระเป๋าไว้ แล้วก็หลับในท่านั่งหลับสินะ”

 

“อยู่นี่เอง! เจ้าปีศาจ!”