บทที่ 2 – ผู้กล้ามหาเผ่าพันธุ์

 

“ในที่สุด… ก็จะได้ฆ่า..”

เสียงทุ้มต่ำของหญิงสาวคนหนึ่งดังต่อหน้าฉันด้วยความแข็งกร้าว.. ขอบอกไว้ก่อนว่าตั้งแต่ตอนที่ฉันตระหนักว่าตัวเองเป็นมังกรและนี่เป็นการเกิดใหม่ในโลกแฟนตาซี

มันก็พึ่งผ่านมาไม่ถึงปีด้วยซ้ำ ถึงอย่างนั้นฉันก็ได้เรียนรู้หลายอย่างเกี่ยวกับโลกไปนี้.. อย่างแรกเลยทวีปที่อยู่ตอนนี้คือทวีปเลเรีย

เป็นทวีปที่มีความอุดมสมบูรณ์และงดงามที่สุดในสามมหาทวีปใหญ่ของโลก และเผ่ามังกรก็เข้ามารุกรานเนื่องจากที่แห่งนี้เป็นเหมือนผลไม้อันเย้ายวน

และอย่างที่บอก โลกนี้คือโลกแฟนตาซีอย่างแท้จริง มีทั้งเวทมนตร์ ปีศาจกึ่งมนุษย์หรือแม้แต่อมนุษย์ มีทุกอย่างที่ครบสูตรแฟนตาซี

อันที่จริงมีกระทั่งพวกไดโนเสาร์ด้วยซ้ำ แต่ว่าก็อย่างที่บอกถ้าเทียบกับมนุษย์ใช้เวทมนตร์ได้ไดโนเสาร์ก็คงไม่นับเป็นอะไรด้วยซ้ำ

แน่นอนว่าเผ่ามังกรถือเป็นจุดสูงสุดของบ่วงโซ่อาหารของโลกในปัจจุบันอย่างแท้จริง เพราะทุกส่วนของมังกรล้วนวิวัฒนาการโครงสร้างมาเพื่อเหนือกว่าทุกอย่างบนโลก

แต่ถึงแบบนั้นมังกรก็มีสิ่งหนึ่งที่ไม่เหมือนกับเผ่าอื่น ซึ่งเป็นจุดด้อยอย่างชัดเจนนั่นก็คือ ‘เวทมนตร์’ เวทมนตร์คือแนวคิดที่เผ่ามังกรไม่สามรถเอื้อมถึงได้

แต่พวกเขามีสิ่งที่เรียกว่า ‘พลังมังกร’ แทน.. นอกจากนี้ยังมีดวงตาที่สามารถมองไกลได้ครึ่งทวีป หรือดวงเนตรที่สามารถทำลายล้างการโจมตีได้ทุกอย่าง

คือทุกอย่างมันขี้โม้หมดเลยนะอยากจะบอกให้..

แต่ว่านะ..แต่ว่านะ!ทุกอย่างที่ว่ามาเนี่ยเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายมังกรไงเข้าใจป่ะ มันไม่ใช่เวทมนตร์ที่ต้องเรียนรู้ หนังสือที่ต้องอ่าน

ไม่ใช่อะไรแบบนั้น มันเหมือนกับการที่มนุษย์กำลังเข้าใจว่าต้องเดินสองขา ต้องถนัดมือข้างซ้ายหรือข้างขวา ต้องนั่งหรือยืน มันคืออะไรแบบนั้นเลย

ซึ่งโดยปกติแล้วสิ่งพวกนี้จะเป็นสิ่งที่เรียนรู้ได้โดยสัญชาตญาณที่เกิดมาในรูปร่างแบบไหนนั่นแหละ

ว่าง่ายๆ ก็คือมันเป็นสิ่งที่เด็กไม่รู้อะไรเลยถึงจะสามารถเข้าใจสัญชาตญาณแรกเริ่มของตนเองได้

แต่ไอ้ฉันใช้ชีวิตในแบบคนธรรมดา เดินสองขา กินข้าวสองมือ เขียนอ่านด้วยนิ้วมาตลอดยี่สิบกว่าปี ซึ่งจนเป็นเรื่องที่เคยชินจนธรรมดาไปแล้ว

พอมาเกิดใหม่ในร่างของมังกรที่มีทั้งปีก ทั้งหาง มันก็ไม่ต่างอะไรจากการที่ให้ฉันเริ่มควบคุมหางและปีกที่จู่ๆ ก็งอกมาเลย

ซึ่งว่ากันว่ายิ่งมีอายุเยอะการเรียนรู้จะยิ่งพัฒนาช้าลง ในอีกความหมายคือถ้าเป็นเด็กคุณจะสามารถหัดเดินได้ไวกว่าตอนที่คุณเป็นผู้ใหญ่

และฉันในตอนนี้ก็เข้าใจสิ่งนั้นดีเลยว่า.. แม่*เอ้ยควบคุมร่างกายมังกรบ้านี่ไม่ได้สักทีเลยเว้ย!

เห็นว่ามังกรแค่เดือนแรกก็ใช้อัตลักษณ์ของตัวเองได้จนครบทุกแบบแล้วเนื่องจากมันสมองที่ใหญ่และมีรอยหยักเยอะกว่ามนุษย์ถึงสิบเท่า

แต่เหมือนสมองไอ้ฉันจะไม่มีรอยหยักที่ว่านั้นเลยมั้งเนี่ย เลยไม่สามารถทำอะไรแบบนั้นได้..

และใช่.. กลับไปก่อนหน้านี้เผ่ามังกรได้บุกรุกทวีปเลเรีย ทวีปที่อุดมสมบูรณ์มากที่สุดเพื่อที่จะให้ฉันเติบโต

จากคำทำนายของอัครเทวะมังกรลำดับ 11 ได้ทำนายไว้ว่าเทพมังกรจะคืนชีพภายในช่วงนี้ พวกเขาถึงได้เตรียมสถานที่ให้ฉันเติบโต

และทวงคืนแผ่นดิน.. อาจจะฟังดูเว่อร์วังขี้โม้ไปสักหน่อย.. จากคำอธิบายของอัครเทวะมังกรลำดับที่ 1 ผู้มีอายุยืนนานที่สุดได้เล่าว่า

โลกถือกำเนิดขึ้นจากมังกรสองตัว.. มังกรตัวแรกคือมังกรปีศาจ และมังกรอีกตัวคือมังกรเทพ

ทั้งสองเคยเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันจนกระทั่งมังกรทั้งสองได้ค้นพบแนวคิดที่เรียกว่า ‘สวรรค์’ เขาจึงหวนขึ้นสู่สวรรค์ถือครองตำแหน่งพระเจ้าเพียงหนึ่งเดียว และหักหลังเพื่อนตนเอง

และสถาปนาตนเป็นพระเจ้าสาปส่งให้เชื้อสายมังกรเทพทั้งหมดไม่สามารถวิวัฒนาการเข้าสู่สวรรค์ได้

แต่ถึงอย่างนั้นมังกรเทพก็ยังไร้เทียมทาน มังกรปีศาจจึงสังหารต้นตอของมังกรเทพ นั่นคือ.. เทพมังกรจนสิ้นชีพลง

ทว่าก่อนที่จะถูกสังหารเทพมังกรได้รังสรรค์ประติมากรรมชีวิตตนเองขึ้นมาอย่างร่อแร่ จนเกิดเป็นตัวฉันนั่นแหละ

ถึงพวกนี้จะเข้าใจว่าเพราะดวงวิญญาณฉันสาหัสเลยจำเรื่องในอดีตไม่ได้ แต่เอาเข้าจริงเทพมังกรจริงๆ น่าจะตายไปแล้วเหลือแต่ร่างไร้วิญญาณ

ละไอ้ฉันก็ดันมาเกิดแทนที่นั่นแหละนะ สรุปคือยึดทวีปเลเรียและหวนคืนสู่สวรรค์นั่นแหละคือแผนพวกเขา ไม่เกี่ยวอะไรกับฉันเลยสักนิด

และเอาเข้าจริง ฉันยังทำอะไรไม่ได้เลย ว่างั้นว่างี้เหอะตั้งแต่เกิดมาฉันยังลุก ออกจากไอ้ที่ที่ฉันอยู่ตรงนี้ได้ไม่กี่ครั้งเองเท่านั้น

แต่ตอนนี้เหมือนจะมีผู้หญิงคนหนึ่งถือดาบน้ำแข็ง แต่ทว่าลุกไหม้เหมือนเปลวไฟด้านในดาบมีกระโหลกสีเทาแทนความตาย

แถมแสงรอบๆ ดาบมีออร่าสีดำน่าหวาดหวั่น.. ดาบมหาเผ่าพันธุ์ กึ่งมนุษย์ ปีศาจ มนุษย์และอสูร

แต่ละเผ่าพันธุ์ล้วนมีสิ่งที่เรียกว่าจิตวิญญาณแห่งเผ่าพันธุ์อยู่ สิ่งนั้นจะรวบรวมความหวัง ความสิ้นหวัง ทุกอารมณ์ของคนในเผ่าน้อยใหญ่เอาไว้

ว่ากันว่ามันคือตัวแทนของเผ่าพันธุ์เลย.. หากถูกทำลาย.. บางทีเผ่านั้นๆ คงสูญพันธุ์ไปเลยก็ว่าได้

แต่ไอ้พวกนั้นเขาเล่นใหญ่กันจับจิตวิญญาณแห่งเผ่าผสานรวมกันจนเกิดเป็นศาสตราวุธที่ตัดได้ทุกสิ่งอย่างบนโลกขึ้นมา

และผู้หญิงตรงหน้าฉันก็เป็นหนึ่งในผู้กล้าที่เกิดจากการผสมผสานยีนของมหาเผ่าพันธุ์ทั้งสี่.. ทำให้สามารถใช้พลังอันเป็นอัตลักษณ์ของสี่เผ่าได้อย่างช่ำชอง

ผู้กล้าเอริเนีย เวริส ทาเนีย… องค์หญิงผู้ถูกทอดทิ้ง ภัยอันตรายเพียงหนึ่งเดียวของเผ่ามังกร… ใช่เผ่ามังกรกลัวผู้หญิงคนนี้ยิ่งกว่าใคร

ดวงตาของเธอจ้องมาที่ฉันด้วยความเกลียดชัง ด้านหลังของเธอคือซากศพของอัครเทวะมังกรทั้งสิบสองซึ่งถูกเธอฟันจนตาย

และนอกปราสาทก็มีซากศพของมังกรอยู่มากมายที่เธอเป็นผู้สังหาร.. แต่เธอก็ไม่ได้อยู่ในสภาพสู้ดีเท่าไหร่นัก.. บาดแผลเต็มไปทั่วร่าง

อันที่จริงเสื้อผ้าเธอขาดรุ่ย.. ใต้บาดแผลที่เกิดจากการต่อสู้นั้นมีรอยน่าเกลียดน่ากลัวตามร่างของเธอซึ่งแตกต่างจากใบหน้าที่ค่อนข้างสวย

อย่างไรก็ตามถึงจะบอกว่าดวงตาที่น่าเกลียดน่ากลัว แต่ทว่า.. พอมองดีๆ แล้วดวงตาของเธอกลับไร้ซึ่งแววแสงราวกับจิตใจของเธอได้ตายไปแล้ว

แต่ถึงแบบนั้นความเกลียดชังที่พุ่งตรงมายังฉันก็ทำลายความด้านชาของจิตใจเธอไปจนหมด ผู้กล้ามหาเผ่าพันธุ์

หรือจะเรียกว่า.. หนูทดลองของมวลมนุษยชาติดีล่ะ

ทุกคนบนโลกนี้ที่อ่านเรื่องราวของเธอแล้วต่างชื่นชม ไม่ก็เกลียดชังแล้วแต่บุคลิกภาพตามบุคคล เช่นเผ่ามังกรก็จะเต็มไปด้วยความกลัวและเกลียดชัง

เผ่าปีศาจก็คงมองว่าสมควรเป็นแบบนั้น เผ่ากึ่งมนุษย์คงมองว่าทำไมไม่ตายไปตั้งแต่การทดลอง เผ่าอสูรคงมองว่าเป็นคนที่ควรกับคำว่าอสูร

และมนุษย์คงมองว่าเป็นหนูทดลองชั้นยอดและชื่นชมในฐานะ ‘ผู้กล้ามหาเผ่าพันธุ์’ ..องค์หญิงผู้ถูกทอดทิ้ง

แต่ว่าฉัน.. ฉันมองว่าเธอเป็นเพียงแค่เหยื่อของเหตุการณ์ทุกอย่าง เป็นคนที่โชคร้ายที่สุดเท่าฉันเคยเจอมาก็เท่านั้น