“โฮสต์ถูกตรวจพบว่าสมบูรณ์แบบและระบบก็สอนอะไรไม่ได้แล้ว ลาก่อน บ๊ายบาย ~”

เสียงเครื่องจักรทำให้หลี่เหนียนฟ่านเดินโซเซและตกตะลึง

“เชี่ย อย่าเพิ่งไป!”

ลี่เหนียนฟ่านรีบตะโกน ““ ข้ายังไม่สมบูรณ์แบบ นายต้องช่วยสอนวิธีฝึกตนให้ฉันก่อน!ระบบ? ระบบบบบบบบบบบบ!””

““ไปจริงดิ ?””

““ส่งข้ากลับบ้านก่อนนนนนนนนนนน!””

““ ทำไมแกถึงพาพ่อคนนี้มาที่นี่แล้วหนีแบบนี้ล่ะ ไอ้ระบบเวร!””

หลี่เหนียนฟ่านคำรามอย่างดุร้ายในใจ แต่ก็ไม่ได้เสียงตอบรับอะไรกลับมา

“ข้าจะไปหาพี่สาวของเอง ไอ้ระบบเวร!”

ห้าปีที่แล้ว เขาเดินทางมาที่นี่และผูกมัดกับระบบอมตะ ชื่อฟังดูน่าเกรงขามเลยทีเดียว และ หลี่เหนียนฟ่านเคยคิดว่าเขากำลังจะโบยบินไปถึงจุดสูงสุดในชีวิต

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ระบบนี้สอนเขา คือสิ่งที่ค่อนข้างน่าเบื่อ เช่น ภาษา คณิตศาสตร์ เคมี ฟิสิกส์ การเขียน บทกวี และการวาดภาพ

เขาไม่มีทางเลือกนอกจากกัดฟันและเรียนรู้มัน!

หลี่เหนียนฟ่านอดทนกับมันมาตลอด จนถึงวันนี้ ในที่สุดเขาก็ได้เรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง และได้รับฉายานักบุญแห่งบทกวี นักบุญแห่งการวาดภาพ นักบุญแห่งหมากรุก เซินหนง ฯลฯ ที่ระบบมอบให้

จากนั้น … ระบบก็หายไปแล้ว!

หากในชาติก่อนเขายังสร้างชื่อเสียงให้ตัวเองได้ด้วยสิ่งเหล่านี้ แต่ตอนนี้เขาอยู่ในอีกโลกหนึ่ง และสโลกที่เขาอยู่คือโลกผู้ฝึกตน

ในบางครั้งจะมีผู้ฝึกตนบินมาจากท้องฟ้า

เล่าลือกันว่ามีสัตว์อสูรที่กินเนื้อคนได้

มันดูเจ๋งสุด ๆ!

สิ่งที่เขาได้เรียนรู้มีประโยชน์ไหม! การคุยกับสัตว์อสูรนั้นสมเหตุสมผลหรือ?

เพราะเขากลัวความตาย เขาจึงจงใจเลือกเนินเขาที่ซ่อนอยู่ใกล้เมืองและใช้ชีวิตแบบพอเพียง เพราะกลัวว่าวันหนึ่งเขาจะได้รับผลกระทบจากการต่อสู้ของเหล่าผู้ฝึกตนและตายอย่างไม่

ในความเป็นจริง เขามักหวังเป็นผู้ฝึกตนในใจเสมอเพราะเขามีนิ้วทองคำ(ไอเทมโกง)

เขาอดทนต่อความอัปยศอดสูเป็นเวลาห้าปีโดยรอให้เจ้าระบบสอนให้เขาฝึกตน จากนั้นก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อเป็นผู้ยิ่งใหญ่

น่าเสียดายสิ่งที่เขาจินตนาการไว้ไม่เป็นจริง แต่เขาไม่ได้คาดหวังว่าระบบจะหายไปหลังจากสอนความรู้มากมายที่เขาไม่ได้ใช้

เวร!

เขาเคยคิดถึงว่าถ้าเขาไม่พึ่งพาระบบ จะเป็นยังไง

ในครั้งแรกที่เขาข้ามมิติมาเขาไปยังสำนักผู้ฝึกตน และพบว่าเขาไม่มีรากวิญญาณเลยและเป็นได้เพียงคนธรรมดาในชีวิตนี้

“นายท่าน ถึงเวลาอาหารกลางวันแล้ว”

หุ่นยนต์ตัวหนึ่งเดินออกจากห้องๆหนึ่งและทำท่าทางเชิญลี่เหนียนฟ่าน

“โอ้.”

หลี่เหนียนฟ่านหันเหความสนใจเล็กน้อย ก่อนเดินกลับห้อง

หุ่นยนต์ตัวนี้เป็นรางวัลจากระบบหลังจากที่เขาเรียนรู้ฟิสิกส์

ตอนแรกเขาคิดว่ามันดีมาก ที่มีหุ่นยนต์อัจฉริยะคอยรับใช้เขา แต่ตอนนี้หลี่เหนียนฟ่านอยากจะร้องไห้ หุ่นยนต์ตัวนี้เทียบเท่ากับกองเศษเหล็กในโลกแห่งการฝึกตน

บ้านที่หลี่เหนียนฟ่านอาศัยอยู่เป็นลานกว้าง มีศาลาและสะพานเล็ก ๆ ที่มีน้ำไหลผ่าน มีทิวทัศน์เป็นภูเขา มันถือเป็นสมบัติล้ำค่าเพียงอย่างเดียวของเขา

(ประมาณนี้)

ลานนี้ได้รับรางวัลจากระบบหลังจากที่เขาเรียนรู้ที่การสร้าง

ในความเป็นจริง ของใช้ในชีวิตประจำวันทั้งหมดที่นี่ได้รับรางวัลจากระบบหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจใหญ่และเล็ก นอกจากนี้หลี่เหนียนฟ่านยังเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ การปลูกผักผลไม้ไม่ใช่ปัญหา แต่อย่างใด ดังนั้นแม้ว่าจะแยกตัวจากโลกภายนอก แต่ก็ยังมีชีวิตอยู่ได้และอาหารก็อร่อยมาก มันไม่เลวเลย.

““ ถ้ามันไม่ได้ผลก็แค่ใช้ชีวิตเหมือนมนุษย์ธรรมดา อย่างน้อยอากาศและทิวทัศน์ที่นี่ก็ดีกว่าโลกก่อนมาก และไม่จำเป็นต้องทำงานหนักไปตลอดชีวิต มันก็ดีแล้ว””

หลี่เหนียนฟ่านปลอบใจตัวเอง

สิ่งเดียวที่ขาดหายไปตอนนี้คือแฟน ผู้ฝึกตนหญิงต้องสวยมากแน่ แต่น่าเสียดายที่พวกเธอต้องดูถูกมนุษย์อย่างเขาคนนี้แน่นอน

หลี่เหนียนฟ่านส่ายหัวและทำได้เพียงจินตนาการในหัวได้เท่านั้น

เขาตะโกนไปที่สวนหลังบ้าน: “ต้าเฮย ได้เวลากินข้าวแล้ว!”

สุนัขสีดำตัวหนึ่งพุ่งเข้ามา มันแลบลิ้นออกมาจ้องมองไปที่หลี่เหนียนฟ่านอย่างคาดหวัง

“เจ้าตะกละเอ๊ย!”

หลี่เหนียนฟ่านยิ้มและเตรียมอาหารให้ ต้าเฮย

หลี่เหนียนฟ่านพบต้าเฮยโดยบังเอิญบนภูเขานี้ เดิมทีมันเป็นแค่ลูกสุนัขที่ใกล้จะอดตาย มันเป็นลูกบุญธรรมของหลี่เหนียนฟ่าน และตั้งแต่นั้นมาบนเขาก็มีมนุษย์หนึ่งคนและสุนัขหนึ่งตัว

ต้าเฮยเก่งมาก เมื่อ หลี่เหนียนฟ่านเขียนและวาดภาพ ต้าเฮยจะสังเกตและฟัง หลี่เหนียนฟ่านเล่นพิณอย่างเงียบ ๆ

หลี่เหนียนฟ่านเคยรู้สึกว่า ต้าเฮย รู้จักธรรมชาติของมนุษย์และคู่ควรกับการเป็นสุนัขในโลกผู้ฝึกตน

ในเวลาเดียวกัน ผู้หญิงสองคนเดินมาจากเชิงเขามุ่งสู่ภูเขา

หนึ่งในนั้นสวมชุดสีขาว ใบหน้าเล็กบอบบาง มุมปากยกขึ้นสูง ใบหน้าของนางไม่มีความสุข และจากการมองเพียงแวบเดียวก็ทำให้ผู้คนรู้สึกถึงความน่ารักและมีเมตตา

สาวสวยแบบนี้ใครกันที่ทำให้นางขุ่นเคือง?

นางเดินด้วยความโกรธและพูดอย่างขมขื่น: “พ่อบ้า ท่านพ่ออยากให้ข้าแต่งงานกับผู้ชายสารเลวอย่าง ต้วนมู่หลี! “

ข้างหลังนาง เด็กผู้หญิงในชุดกระโปรงสีเขียวที่เดินตามมาหน้าซีดทันทีและสั่นสะท้าน: “องค์หญิง ท่านพูดแบบนี้ไม่ได้! ถ้าใครได้ยินเข้า ท่านจะตกที่นั่งลำบากนะเพคะ”

“ข้าจะถูกบังคับให้แต่งงานกับต้วนมู่หลี แล้วเจ้าจะกลัวอะไร”

หญิงสาวในชุดกระโปรงสีขาวร้องเสียงหลง ““ ถ้ายังพูดอีกข้าจะฆ่าตัวตาย!””

สาวใช้รีบคุกเข่าลงบนพื้นและพูดด้วยความกลัว: “องค์หญิง ท่านตายไม่ได้ อย่าทำให้ บ่าวกลัว”

“โอ้ ข้าแค่พูดเล่น ๆ ข้ายังไม่อยากตายหรอก”

หญิงสาวในชุดกระโปรงสีขาวฮึดฮัดและพูดอย่างขี้เล่น: “แต่ข้าซ่อนตัวได้ ถ้าท่านพ่ออยากจับข้าแต่งงานอีก ข้าก็จะหาที่ซ่อนตัว ป่านี้ก็ไม่เลว ทำไมข้าไม่หาที่ซ่อนเดี๋ยวนี้เลยล่ะ!”

“องค์หญิง อย่าพูดอะไรเกี่ยวกับการฝึกตนในอนาคตอีกนะเพคะ”

สาวใช้ตบหน้าอกของนางและยืนขึ้น

นางมองไปรอบ ๆ ทันใดนั้นก็หดคอและพูดว่า “ป่านี้รกร้าง อาจจะมีสัตว์ป่าอันตรายก็ได้ องหญิงได้โปรดอย่าไปเลยนะเพคะ “

“องค์หญิงคนนี้กำลังจะเข้าสู่ขอบเขตรากฐานแล้ว ยังต้องกลัวสัตว์ป่าอีกหรือ รีบตามข้าไปหาที่ซ่อนเร็ว” หญิงสาวกระโปรงขาวพบเป้าหมายก่อนหน้านี้และวิ่งไปที่ภูเขาอย่างรวดเร็ว

““ องค์หญิง รอข้าด้วย …” ”

ทั้งสองเริ่มวิ่ง คนหนึ่งนำอีกคนไล่ตาม และไม่นานพวกเขาก็มาถึงไหล่เขา

ข้างหน้าปรากฏสิ่งก่อสร้างที่ดูโบราณ

ดวงตาของสาวใช้เบิกกว้างนางรู้สึกประหลาดใจมาก “มีคนอาศัยอยู่ที่นี่?”

“บ้านประหลาดนี้ ดูราวกับว่าถูกย้ายออกมาจากภาพวาด” หญิงสาวในชุดกระโปรงสีขาวมองไปที่ลานบ้านอย่างอยากรู้อยากเห็น

รูปแบบของบ้านหลังนี้แตกต่างกับที่นางมักจะเห็นอย่างสิ้นเชิง ไม่ได้อลังการ แต่ให้ความรู้สึกพิเศษ แก่ผู้คน ดูเหมือนว่าจะรวมเข้ากับภูมิทัศน์โดยรอบซึ่งทำให้ผู้คนโหยหา

นางไม่รู้ว่ามันเป็นภาพลวงตาหรือเปล่า นางรู้สึกว่ามันไม่ด้อยไปกว่าพระราชวังเลย

หรือว่าจะมีผู้เชี่ยวชาญเร้นลับอาศัยอย่างสันโดษอยู่ที่นี่?

ดวงตาของหญิงสาวในชุดกระโปรงสีขาวสว่างจ้าขึ้นนางวิ่งเหยาะ ๆ อย่างคาดหวัง “ไปดูกัน จำไว้ว่าอย่าเรียกข้าว่าองค์หญิง เมื่อเจ้าพบใครจงเรียกข้าว่า สหาย”

สาวใช้เป็นกังวลก่อนตะโกนอยู่ข้างหลังนาง: “องค์หญิง ระวังอันตราย”

หญิงสาวในชุดกระโปรงสีขาวรีบเดินมาที่สนามหญ้าหน้าบ้านและมองทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้านางอย่างอยากรู้อยากเห็น

สวนผักเล็ก ๆ เก้าอี้หวาย โต๊ะหินพร้อมม้านั่งหินสี่ตัว …

—————————————————————