“อุบ…”

 

ฉันก้มหน้าหนี ด้วยความรู้สึกเวียนหัวที่จู่ๆ ก็เข้ามา

ฉันพยายามเหลือบมองรูปร่างของคุเนะคุเนะด้วยมุมสายตา ภาพย้อนแสงเค้าโครงคล้ายมนุษย์รูปร่างผอมโย่งนั่น ดูแล้วนึกถึงงูอย่างที่คิดเลย มีส่วนที่งอกออกมาดูโค้งในเชื่อมต่อกันด้วยส่วนมี่บางคล้ายเส้นด้าย แต่พอฉันพยายามจะเพ่งดูดีๆ ความคลื่นไส้ก็ถาโถมเข้ามาใส่ทันทีเลย

 

“ง- งานหินจริงๆ ด้วยเนอะ”

 

โทริโกะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความขยะแขยง ฉันก็เตือนเธอไปแล้วไม่ใช่หรือไงเล่า…?

 

“ป- เป็นอะไรมั้ย? ยังไงก็ หนีกันก่อนดีหรือเปล่า?”

“ไม่ล่ะๆ พวกเรามาที่นี่เพื่อการนี้เลยนะ เพราะยังงั้น ก็ต้องลุยแล้ว”

 

โทริโกะล้วงเข้าไปในกระเป๋าโท้ทของตัวเอง ก่อนจะหยิบเอาก้อนเกลือหินขึ้นมา

 

“หย้า!”

 

เธอขว้างมันออกไปพร้อมเสียงตะโกนงี่เง่า การเล็งของเธอแม่นมากๆ จนน่าประทับใจเลย เกลือหินก้อนนั้นพุ่งเข้าไปหาเป้าหมาย และมันก็…

ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย

มีแค่เสียงเกลือหินกลิ้งไปกับพื้นดิน ไม่เห็นเลยว่ามันเด้งออกมาหรือทะลุผ่านไปกันแน่

 

“คุณโทริโกะคะ”

“…”

“คุณโทริโกะคะ?”

“…อ้าว?”

“ไม่สิ! อย่า ‘อ้าว’ สิ! มันไม่เห็นได้ผลเลย!”

“อ่า ชิ ช่วยไม่ได้ ถ้าเป็นยังงี้ล่ะก็…”

 

โทริโกะควักปืนออกมาจากกระเป๋าโท้ทของเธอ แล้วตั้งท่าพร้อมเลย

เอ๊ะ? เอ๊ะ? ตอนที่ฉันยังไม่ทำอะไรไม่ถูกอยู่เลย เสียงปืนลั่นก็ดังขึ้นมา

 

“กรี๊ด!”

 

ฉันก้มหัวหลบ ส่วนโทริโกะก็ยังยิงต่อไปไม่หยุด เสียงปืนดังก้องไปทั่วท้องฟ้า จากนั้น อีกไม่กี่วินาที เสียงสะท้อนก็ดังกลับมา เธอยิงแบบไม่ลังเลซักนิดเดียวเลย อะไรของเธอเนี่ย?

หลังจากยิงไปหลายนัด โทริโกะก็หยุดยิง ก่อนจะเอียงคอตัวเองข้างนึง

 

“อ่าว?”

“เดี๋ยวสิ!?”

 

คุเนะคุเนะไม่ได้เกิดความเปลี่ยนแปลงอะไรไปจากเดิมเลย ไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่าเธอยิงโดนหรือเปล่า แต่ท่ายิงของโทริโกะก็มั่นคงดีเลย ฉันก็ไม่คิดว่าเธอจะยิงพลาดทุกนัดได้หรอก แต่เจ้าตัวควันลึกลับนั่นยังเต้นบิดไปบิดมาเหมือนเดิมเป๊ะเลย

 

“อา ฉันว่ามันขยับตัวช้าลงหน่อยนึงมั้ย?”

“โกหกชัดๆ! ไม่เห็นต่างจากเดิมตรงไหนเลย! มันไม่ได้ผลเลยไม่ใช่หรือไง?”

“อ- อาจจะต้องยิงอีกซักหน่อยก็ได้―”

 

ก่อนที่โทริโกะจะทันพูดจบ อาการเวียนหัวที่รุนแรงยิ่งกว่าเดิมก็พุ่งเข้ามา

 

“อึก…”

 

ฉันยืนไม่ไหวจนทรุดลงไปนั่งคุกเข่ากับพื้นแล้ว โทริโกะเองก็เหมือนกัน มือข้างนั้นที่เธอถือปืนอยู่ก็กดลงกับพื้น ตาปิดแน่นด้วยความเจ็บปวดเลย

ถ้าฉันเหลือบมองไปที่คุเนะคุเนะ ความรู้สึกแปลกๆ ก็เข้ามา มันรู้สึกเหมือนจะนึกอะไรซักอย่างออก แต่การนึกออกมันต้องเป็นอันตรายแน่ๆ

 

“ขยับไหวมั้ย?”

“…ไม่อะ ขาเปลี้ยหมดเลย เธอล่ะ?”

“พอกันเลย”

“อ่า บ้าจริง โทษที เธอคิดว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย?”

“ไม่รู้สิ แต่ไม่ว่ามันจะเป็นอะไร มันก็ต้องไม่ดีกับพวกเราแน่ๆ”

 

ระหว่างที่เรายังคุกเข่าหมอบกันอยู่กับพื้น พูดกันอยู่แบบนี้ ฉันก็รู้สึกเหมือนว่าเจ้าคุเนะคุเนะมันเข้ามาใกล้พวกเราแล้ว

แย่แล้ว แย่แล้ว แย่แล้ว ทีนี้เอาไงดีล่ะ?

 

“ท- โทริโกะ! สถานการณ์! เราต้องยืนยันสถานการณ์ตอนนี้ก่อน!”

 

ฉันพูดออกมาแค่อยากจะลดความตระหนกของตัวเอง แต่โทริโกะก็รีบตอบกลับมา

 

“ได้ สถานการณ์ ยืนขึ้นไม่ได้ ออกวิ่งไม่ได้ เวียนหัวสุดๆ เกลือหินกับปืนใช้ไม่ได้ผล มีอะไรอีกมั้ย?”

 

รายงานสถานการณ์ของเธอใจเย็นจนไม่อยากเชื่อเลย แถมมันก็ช่วยให้ฉันใจเย็นลงหน่อยนึงด้วยเหมือนกัน ฉันกลืนน้ำลาย ก่อนจะตอบกลับไป

 

“แถม พอดูเจ้าสิ่งนั้นก็เข้าไปป่วนในหัวด้วย… ไม่แน่ใจเลยนะว่าจะบอกว่านี่ ‘ไม่เป็นไร’ ได้น่ะ”

“คิดว่ามันเกิดอะไรขึ้น ตอนที่มันเข้าไปป่วนในหัวเธอน่ะ?”

“มันมีบางอย่าง… ที่ถ้าเข้าใจล่ะก็ต้องแย่มากๆ แน่ๆ แถมก็รู้สึกเหมือนกำลังจะเข้าใจมันอยู่แล้วด้วย”

“หมายความว่าไงน่ะ? เธอต้องพูดให้มันเป็นรูปธรรมกว่านี้หน่อยสิ”

“ช่วยอย่าทำตัวไร้สาระซักทีจะได้มั้ย!? ก็เป็นเรื่องอะไรซักอย่างที่ไม่ควรจะทำความเข้าใจมันไง! แล้วฉันจะไปอธิบายมันให้เป็นรูปธรรมอย่างที่เธอว่าได้ยังง―”

 

เป็นตอนนั้นเองที่ฉันจำได้ ตอนที่ฉันเจอเข้ากับคุเนะคุเนะครั้งแรก ตอนที่ในหัวฉันมันเกือบจะสติแตกกระจาย ฉันก็รู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังจะจับจุดอะไรซักอย่างได้เลย

 

“…โทริโกะ อาจจะแค่เป็นไปได้นะ แต่บางที ถ้าเราจ้องดูมันเอาไว้ไม่ละสายตา มันอาจจะทำอะไรได้ก็ได้นะ”

“เธอหมายถึงแบบนั้นจริงๆ เหรอนั่นน่ะ?”

“เราเคยไล่เจ้านั่นไปได้ครั้งนึงแล้วนะ ตอนนั้น ฉันลงไปลึกยิ่งกว่านี้อีก ถ้าเกิดพวกเราทำสถานการณ์แบบเดิมขึ้นมาอีกครั้งล่ะก็ บางที เหตุการณ์เดิมอาจจะเกิดขึ้นเหมือนเดิมก็ได้นะ”

“ทั้งที่มันจะทำให้เธอสติแตกน่ะนะ?”

“มันจำเป็นนี่ คงเหมือนการปรับคลื่นสัญญาณให้ตรงกันนั่นแหละ ถ้าเกิดเราจะล่าสิ่งมีชีวิตในโลกเบื้องหลัง ฉันว่าเราจะต้องปรับตัวเองเข้ากับกฎและตรรกะของที่นี่ซะก่อน”

 

โทริโกะเงียบไปพักนึง ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

 

“…เข้าใจแล้ว เดี๋ยวฉันช่วยมองด้วย”

“อย่า อย่ามองนะ โทริโกะ เดี๋ยวฉันมองคนเดียวก็พอ”

“ทำไมล่ะ?”

“ถ้าเกิดเราสติแตกกันทั้งคู่ล่ะก็ พวกเราอาจจะกลับมาไม่ได้อีกเลยก็ได้ ถ้าดูแล้ว เหมือนฉันกำลังจะเป็นบ้าไปแล้วล่ะก็… ช่วยทำอะไรซักอย่างทีนะ”

 

นี่มันคำขอที่ไร้เหตุผลชัดๆ เลย แต่โทริโกะก็พยักหน้าตอบอย่างไม่ลังเลเลย

 

“โอเค เดี๋ยวฉันหาทางทำอะไรซักอย่างเอง”

“…ขอบใจนะ งั้นฝากด้วย”

 

แล้ว ฉันก็เงยหน้าขึ้น จ้องตรงไปที่คุเนะคุเนะ

 

“อึก… อุบ…”

 

เจ้าเงาผิดปกตินั่นเข้ามาใกล้ยิ่งกว่าที่ฉันคิดเยอะเลย แล้วฉันก็รู้สึกถึงมันได้ทันที มันเหมือนแรงปะทะยังกับโดนต่อยแรงๆ เข้าเต็มๆ ที่สมองเลย แล้วในเวลานั้น ความรู้สึกที่เหมือนใกล้จะเข้าใจอะไรซักอย่างก็พุ่งขึ้นมาอย่างเร็วไม่ยอมหยุดเลย

 

“แย่แล้ว เหมือนจะอ้วกเลย… อุบ”

 

ฉันทั้งร้องครวญคราง ทั้งอ้วก ก่อนที่คำพูดที่ฉันไม่เคยตั้งใจจะพูดเลยซักนิดก็เริ่มพ่นออกมาอย่างลื่นไหลจากปากของฉัน

 

“อา อา จากที่ น้องชายฉัน เล่า  เมื่อตอนที่ทุ่งเขียวขจีโตขึ้นจนหนา พวกคนพวก พวกนั้นมันอะไร คนในชุดขาวสะอาดพวกนั้นมาทำอะไรในที่แบบนั้นกัน? น- น- น- ไหนจะข้อต่อที่บิดเพี้ยนไปจนผิดธรรมชาติอย่างสิ้นเชิงนั่นอีก พี่ชายฉัน ค- ค- ค- แค่ แค่ แอ่ แอ แอ่ แค่”

“ซ- โซราโอะ?”

“พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว! ก- ก่อนจะเที่ยงตรง สายลมอุ่นๆ จะพัดมา ไม่เหลือเสียงของพี่ชายฉันอีกแล้ว เจ้านั่นพุ่งเข้ามาอยู่ข้างหลังฉันอย่างเร็วเลยไม่ผิดแน่ ขีดเสื่อทาทามิด้วยเท้าเปล่าไปมา ท้องทะเลสีเทาที่น่าเหลือเชื่อ―”

 

ฉันไม่เหลือสติแม้แต่จะสงสัยด้วยซ้ำว่าคำพูดหลุดโลกที่ฉันพูดออกมานี่มันอะไร แถมยังละสายตาออกมาจากคุเนะคุเนะไม่ได้เลยด้วย ยังกับว่ามันจับลูกตาของฉันเอาไว้ แล้วยึดมันให้อยู่กับที่ อีกนิดเดียว อีกแค่นิดเดียว ฉันจะเข้าใจแล้ว…

มันเริ่มจะสว่างขึ้นตรงหน้าฉันแล้ว ขอบเขตลานสายตาถูกกัดกินเข้ามาด้วยสีฟ้า ยังกับว่ามีใครทำขวดหมึกหกใส่ โลกถูกบิดเบี้ยวไปเหมือนฉันมองมันมาจากใต้น้ำ ซ้าย แล้วก็ขวา ก่อนจะแกว่งไปแกว่งมา ถึงจะแค่รางๆ แต่ฉันก็รู้สึกเหมือนมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในร่างกายของฉัน แล้ว ฉันก็รู้ว่าเจ้าของโปร่งใสแปลกๆ นั่น แบบเดียวกับที่งอกออกมาจากหน้าศพที่เราเพิ่งเจอนั่น มันพยายามจะงอกออกมาจากหน้าของฉันด้วย

ฉันเปิดปากแล้วกรีดร้องออกมา ส่วนยื่นโปร่งใสพวกนั้นก็บิดตัวและงอกออกมา ฟันของฉันมันสั่นกระตุก แถมฉันยังรู้สึกว่ามันอ่อนยวบลงด้วย ก่อนที่ฉันจะรู้สึกว่าสติสัมปชัญญะของตัวเองกำลังจะพังทลาย

 

―แล้ว ในที่สุด ฉันก็เข้าใจ

 

คุเนะคุเนะที่สะท้อนอยู่ในภาพไหวไปมาของฉันเคลื่อนไหวราวกับว่ามันไถลไปตามผิวของสิ่งแปลกปลอมที่งอกออกมาจากหน้าของฉัน สิ่งที่ปรากฏในตาของฉันเมื่อมองขึ้นไปบนท้องฟ้าสีคราม มันเป็นลวดลายคล้ายกับแพลงตอนมากๆ มันเหมือนกับว่าคุเนะคุเนะอยู่ตรงนั้นเลย แต่จริงๆ แล้วมันไม่ใช่ ก็คล้ายกับภาพของเม็ดเลือดขาวที่ลอยไปลอยมาอยู่ในลูกตา เวลามันฉายขึ้นไปบนท้องฟ้าสีครามสินะ คุเนะคุเนะน่ะ จริงๆ มันเป็นของคนละอย่างแบบสิ้นเชิงที่ฉายอยู่บนอะไรซักอย่างที่อยู่ระหว่างพวกเรากับโลก เจ้าสิ่งแปลกปลอมนี่ ก็คือของที่เชื่อมต่ออยู่กับอะไรซักอย่างที่ว่านี่แหละ

ฉันได้เข้าใจอะไรอย่างอื่นด้วย เหตุผลที่ว่าทำไมครั้งแรกที่ฉันเจอเข้ากับคุเนะคุเนะ เกลือหินของโทริโกะถึงสามารถไล่มันออกไปได้ นั่นก็เพราะ ฉันได้รับรู้ถึงเจ้าอะไรซักอย่างที่คุเนะคุเนะฉายอยู่บนนั้น พอฉันมองดูที่เจ้าสิ่งนั้น และรับรู้ถึงมัน เกลือหินก็เลยสามารถไปโดนเจ้าสิ่งนั้นเข้าได้ ถ้าเกิดฉันไม่รับรู้ถึงมันล่ะก็ มันก็จะไม่มีอะไรอยู่ตรงนั้นเลย!

 

“รู้แล้ว! รู้แล้ว! รู้แล้ว! รู้แล้ว!!”

 

ฉันตะโกนออกมาไม่หยุดเลย ต่อให้พยายามจะหยุดตัวเอง ฉันก็ทำไม่ได้ ฉันทำได้แค่ตะโกนว่า ‘รู้แล้ว!’ อยู่ซ้ำแล้วซ้ำอีก จนเหมือนฉันจะกรีดร้องออกมาแทนแล้ว

แล้ว จู่ๆ ความเจ็บก็วิ่งแปลบเข้ามาที่แก้มของฉันเหมือนกับโดนตบ ภาพของโทริโกะก็มาอยู่ที่ตรงหน้าของฉัน มือของเธอที่ถือปืนอยู่ยื่นเข้ามาหาฉัน พยายามจะปัดสิ่งแปลกปลอมที่งอกออกมาไม่หยุดนั่นออกไป มันเหมือนไปส่งผลกับนิ้วของเธอที่เข้าไปแตะมันด้วย มันทำให้นิ้วของเธอดูโปร่งแสง และเริ่มจะเสียรูปร่างไป แต่เหมือนเธอจะไม่ได้สนใจเรื่องนั้นเลย

โอ้โห ดูเหมือนเธอจะเป็นคนดียิ่งกว่าที่ฉันคิดซะอีกแฮะ

พอฉันมองดูที่หน้าเธอ ที่ยังดูสวยอยู่ ถึงมันจะบิดเบี้ยวไปด้วยความรู้สึกลนลานทำอะไรไม่ถูก คิดเหมือนกับว่า ‘เรื่องพวกนี้มันไม่ได้สำคัญอะไรกับฉัน’ โทริโกะต้องหมดความอดทนแล้วแน่ๆ เพราะเธอจับหัวของฉันเอาไว้ด้วยมือทั้ง 2 ข้าง ก่อนจะตะโกนใส่หน้าฉันอย่างดังเลย

 

“เธอรู้มากเกินไปแล้วน่า! โซราโอะ! กลับมาเดี๋ยวนี้นะ!”

 

ด้วยคำนั้น ในหัวของฉันมันก็กลับมาชัดเจนอีกครั้งนึง

อะ จริงสิ ― ถ้าฉันลงไปลึกกว่านี้ จะกลับมาไม่ได้อีกแล้วสินะ

ด้วยร่างกายของฉันที่ขยับอย่างช้าๆ เหมือนกับว่าตัวเองยังอยู่ในฝัน ฉันหยิบปืนออกมาจากกระเป๋าของตัวเอง และพยายามจะตั้งท่าขึ้นเล็ง…

ไม่ไหว เล็งไม่ไหว มือมันไม่มีแรงเลย รู้งี้ ฝึกยิงเอาไว้อย่างที่โทริโกะว่าก็ดีสิ ฉันหายใจเข้าลึก ก่อนจะตะโกนออกมา

 

“โทริโกะ! ยิงเลย! ยิงคุเนะคุเนะได้เลย!”

 

เธอสบตากับฉัน ก่อนจะพยักหน้าให้ครั้งนึง เธอปล่อยมือของตัวเองจากหน้าของฉัน กระชับปืนพร้อมกับหันกลับไปเผชิญหน้ากับคุเนะคุเนะ

 

แล้วก็ ลั่นไก

*ปั้ง!!*

ด้วยเสียงก้องสะท้อนของเสียงยิงปืน กระสุนที่ร้อนจัดวิ่งออกจากปากกระบอกปืน ก่อนจะเข้าไปกระแทกกับอะไรบางอย่างตรงกลางระหว่างฉันกับโลก หรือชั้นเยื่อที่คุเนะคุเนะฉายอยู่นั่น ก็แตกเป็นเสี่ยงๆ

ทั้งเสียง ทั้งความร้อน ผุดขึ้นมายังกับดอกไม้ ก่อนที่มันจะหดหายไปอย่างรวดเร็ว

เจ้าสิ่งนั้นพับเข้าหากันเหมือนโอริกามิ พับเข้ามา พับเข้ามา… จนมันกลายเป็นแค่ก้อนเล็กๆ ก่อนจะตกลงกับพื้น และดึงเอาคุเนะคุเนะเข้ามากับมันด้วย

 

“ฟิ่ว”

 

โทริโกะถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา ก่อนที่จะทิ้งปืนในมือลง

ฉันรีบเอามือขึ้นมาจับตามหน้าตัวเองทันที เจ้าสิ่งแปลกปลอมนั่นที่งอกออกมาจากปากจากหน้าของฉันไม่รู้เท่าไหร่ก็ไม่มีอยู่แล้ว ฉันทรุดลงกับพื้น ต้องพยุงตัวเองไว้ด้วยแขนกับขาด้วยหัวที่หมุนมึนไปหมด หายใจหอบแรง ก่อนที่ฉันจะหันไปมองที่โทริโกะ พอเห็นว่ามือของเธอก็กลับไปเป็นปกติแล้วเหมือนกัน ฉันก็โล่งอก

แล้ว พวกเราก็กลัวกันขึ้นมาแบบสุดๆ ไปเลย

 

“อ๊าาาาาาาาาาาาา!”

“กรี๊ดดดดดดดดดด!”

 

พวกเรา 2 คนกรี๊ดออกมาพร้อมกันเป็นเสียงเดียว ก่อนจะตะเกียกตะกายกันด้วยเท้าที่อ่อนเปลี้ยไม่มั่นคงของพวกเราเอง ระหว่างที่ฉันรีบเก็บปืนของตัวเองกลับขึ้นมา โทริโกะก็เกือบจะหกล้มหน้าทิ่มตอนที่รีบวิ่งไปดูตรงที่คุเนะคุเนะเคยอยู่เมื่อกี้นี้ ก่อนจะคุกเข่าลงไปคลานดูที่พื้น

 

“เจอแล้ว!”

 

โทริโกะกระโดดตะโกนร้องดีใจขึ้นมา พลางชูก้อนหินกระจกที่สะท้อนแสงอาทิตย์ในมือขึ้นมา มันคืออะไรซักอย่างนั่นที่พับเข้าหากันเป็นลูกบาศก์สินะ

พวกเราไม่ต้องพูดกันเลยว่าจะทำอะไร แต่พวกเราทั้งคู่ก็หันเท้าเผ่นออกมาจากตรงนั้นแบบสุดแรง

ขอบฟ้าเริ่มถูกย้อมเป็นสีม่วง ความมืดของตอนเย็นก็ใกล้เข้ามาแล้ว

พวกเราวิ่งแหวกหญ้าที่โบกไหวไปมาตามลม หายใจกันไม่ทันจนหอบ ยิ่งพวกเราออกมาไกลจากตรงนั้นเท่าไหร่ การอั้นขำเอาไว้ก็ยิ่งทำได้ยากขึ้นเรื่อยๆ

 

“น่ากลัวเป็นบ้า! น่ากลัวสุดๆ ไปเลยยยยย!”

 

โทริโกะตะโกนตอบ

 

“แต่เราทำได้แล้วนี่! เราล่าคุเนะคุเนะได้! เราทำได้แล้วนะ! โซราโอะ!”

 

ชวนให้นึกถึงตอนที่ฉันยังเด็กๆ อ่อนต่อโลกเลยแฮะ ตอนที่หลังจากออกไปเล่นมาจนหมดแรง ฉันก็จะวิ่งผ่านทุ่งหญ้าที่ถูกย้อมด้วยสีทองกลับบ้านนะ

ฉันกับโทริโกะวิ่งกันไป หัวเราะไปด้วย ขำกันแบบขาดๆ ตอนๆ เหมือนพวกเราเสียสติกันเลย ยังกับเด็กๆ เลยล่ะ

น้ำตาไหลออกมาด้วย

ขอบคุณสวรรค์ที่พวกเรายังไม่ตาย ขอบคุณสวรรค์ที่พวกเรายังไม่เป็นบ้ากันไปก่อน

 

“โซราโอะ กลับไปแล้ว มาฉลองกันเถอะ!”

 

จู่ๆ โทริโกะก็พูดออกมาแบบนั้น

 

“หา!?”

 

ฉันตกใจจนอุทานออกไป ส่วนโทริโกะก็พูดต่ออย่างร่าเริง

 

“เดี๋ยวเราก็ได้เงินเข้ามาแล้ว เพราะงั้นก็ไปฉลองกัน! ฉันยังไม่เคยเลี้ยงฉลองหลังปิดงานมาก่อนเลยนะ!”

 

ว่าไงนะ ไม่เคยหรอกเหรอ?

 

“…ก็ ฉันว่า คงได้นะ”

“เย้!”

 

ทุ่งราบนี้ เคยเป็นที่ที่ฉันอยากจะเก็บเอาไว้คนเดียว ขนาดตอนนี้ที่ฉันรู้แล้วว่ามันแปลกประหลาดและอันตรายกว่าที่ฉันเคยคิดในตอนแรกขนาดไหน ความรู้สึกนี้ก็ยังอยู่เหมือนเดิม

แต่ตอนนี้ ฉันเริ่มจะคิดว่า ถ้าอยู่กับยัยผู้หญิงแปลกๆ คนนี้ล่ะก็ จะเล่นด้วยกันแบบนี้ ฉันก็ไม่ติดขัดอะไรนะ

 

TN: เพราะ ‘ผู้สมรู้ร่วมคิด’ คือความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันที่สุดในโลกแล้วยังไงหล้า~!