ตั้งแต่จำความได้ ฉันก็มักถูกคนรอบข้างบอกว่าน่ารักแล้ว。

 สมัยเรียนอยู่ชั้นอนุบาล ก็มักถูกผู้ปกครองของเด็กคนอื่น ส่งเสียงทักว่า「ตายแล้ว น่ารักจัง」อยู่เป็นประจำ。

 พอขึ้นชั้นประถม ก็มักถูกพวกเด็กผู้ชายเข้ามาตอแยไม่ก็เย้าแหย่อยู่บ่อยครั้ง。

 ถ้ามาคิดเอาตอนนี้ ก็คิดว่าการกระทำเหล่านั้นของพวกเด็กผู้ชายคงเป็นการเรียกร้องความสนใจจากฉัน。

พออายุมากขึ้น จำนวนการกลั่นแกล้งไม่ก็ตอแยเหล่านั้นจากพวกเด็กผู้ชายก็เริ่มลดลง พอขึ้นม.ต้น ก็หายไปเกือบหมด。

และ สิ่งที่เพิ่มมาแทนคือคำสารภาพรัก。

ในระยะเวลาหนึ่งเดือนจะต้องมีเด็กผู้ชายมาสารภาพรักหลายต่อหลายครั้ง。

เลวร้ายเลยคือ เรื่องที่ถูกสารภาพรักทุกวันตลอดหนึ่งสัปดาห์ก็มีมาแล้ว。

ตอนที่ได้รับคำสารภาพรักจากเด็กผู้ชายเป็นครั้งแรก ความรู้สึกแรกที่ผุดขึ้นในใจของฉันคือความสับสน。

ก็นั่นไง พวกเด็กผู้ชายที่มักเข้ามาตอแยไม่ก็กลั่นแกล้งอยู่ตลอดจนถึงตอนนี้ จู่ๆมาบอกว่า『ชอบครับ』มีใครจะไม่สับสนบ้างล่ะ。

 อีกอย่าง ตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา ฉันก็มักจะหลีกเลี่ยงพวกเด็กผู้ชายเพราะคิดว่าจะเข้ามาแกล้งตลอด เพราะงั้น เลยไม่มีผู้ชายที่เล่นหรือคุยด้วยแม้แต่คนเดียว。

คำสารภาพรักจากพวกเด็กผู้ชาย แน่นอนว่าปฏิเสธทั้งหมด。

ไม่รู้นิสัยใจคอกันสักนิดแท้ๆ แต่จะให้คบกันเนี่ย คิดไปได้ไง。

『คนเราไม่ใช่ภายนอกแต่ต้องมองที่ภายใน』คือสิ่งที่พ่อแม่พูดสอนมาตั้งแต่ฉันยังเด็กเพราะงั้น ยิ่งแล้วใหญ่。

ก่อนอื่น ก็ต้องเริ่มจากทักทายและพูดคุย จากนั้นก็เป็นเพื่อน แบ่งปันเรื่องราวของกันและกัน สนใจกัน ตกหลุมรักแล้วค่อยสารภาพรัก。

 ถ้ากระแสไหลมาแบบนั้นฉันอาจจะยอมรับไปแล้วก็ได้。

แต่ว่า เด็กผู้ชายที่มาสารภาพรักทุกคนต่างพูดว่า『ตกหลุมรักเธอตั้งแต่แรกพบ!』。

ก็ใช่ว่าจะปฏิเสธสิ่งที่เรียกว่ารักแรกพบเสียทีเดียวแต่ ฉันแค่ไม่เข้าใจ。

เพราะงั้น ถึงได้ปฏิเสธเด็กผู้ชายที่มาสารภาพรักรายต่อๆมาทั้งหมด。

และแล้วเหตุการณ์นั้นก็เกิดขึ้น。

จู่ๆเพื่อนที่สนิทกัน ก็ร้องไห้เข้ามาพร้อมเรียกร้องกับฉันว่า『อย่าแย่งคนที่ฉันชอบไปนะ!』。

ชั่วพริบตาฉัน ไม่เข้าใจสักนิดว่าเธอกำลังพูดอะไรอยู่。

ในตอนนั้น ไม่สิ แม้แต่ในตอนนี้เพื่อนของฉันก็มีแต่ผู้หญิง。

 อีกอย่าง ฉันที่หลีกเลี่ยงเด็กผู้ชาย จึงไม่มีเด็กผู้ชายคนไหนเข้ามาคุยกับตัวเองแม้แต่คนเดียว。

 ฉันที่อยู่ในสถานการณ์แบบนั้น ไม่มีทางจะไปแย่งคนในใจของเพื่อนได้อยู่แล้ว。

ฉันที่คิดว่าเพื่อนคนนั้นกำลังเข้าใจผิดอะไรอยู่ จึงพยายามถามเธอที่กำลังร้องให้。

เธอเล่าว่า ในหมู่เด็กผู้ชายที่มาสารภาพรักกับฉัน ดูเหมือนจะมีคนที่ตัวเองชอบอยู่ด้วย。

แล้วจะให้ฉันทำยังไงเล่า?

อีกฝ่ายเป็นคนมาสารภาพรักเอาเองตามใจชอบแท้ๆ。

 ฉันไม่เคยข้องเกี่ยวกับเด็กผู้ชายที่เพื่อนคนนั้นชอบแม้แต่นิดเดียว มิหนำซ้ำ แค่คุยกับอีกฝ่ายก็ยังไม่เคยแม้แต่ครั้งเดียว。

 ผลสุดท้าย กลายเป็นว่าเริ่มห่างเหินกับเพื่อนคนนั้นไปจนกระทั่งเรียนจบม.ต้น。

ผลจากเหตุการณ์ครั้งนั้น ทำให้ฉันไม่คิดจะยุ่งเกี่ยวกับพวกเด็กผู้ชายอีกต่อไป。

 แล้วก็ มีอีกเหตุผลที่ทำให้ฉันพยายามหลีกเลี่ยงเด็กผู้ชายตั้งแต่ช่วงหลังของม.ต้น。

นั่นคือ สายตา。

 ประมาณม.ต้น ปี.2 หน้าอกของฉันเริ่มใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แล้วก็ ถ้าให้เทียบกันรู้สึกว่าสายตาของพวกเด็กผู้ชายที่จับจ้องมาจะมากกว่าแต่ก่อนเสียอีก。

 ตามปกติก็จะรู้สึกได้ถึงสายตาที่ชำเลียงมองจากด้านข้างก็เถอะแต่ ในนั้นก็มีพวกที่ตั้งใจจ้องมาตรงๆเหมือนกัน。

 ฉันผู้รู้สึกหวาดกลัวต่อสายตาที่ราวกับจะเกาะหนึบพวกนั้น ตอนขึ้นม.ปลายก็เลยไม่เชื่อใจพวกผู้ชายไปโดยปริยาย。

ถึงจะขึ้นม.ปลายคำสารภาพก็ยังมีมาเหมือนเดิมไม่ขาดสาย。

แต่ ฉันได้เรียนรู้จากเหตการณ์ที่เกิดขึ้นสมัยม.ต้น จึงตั้งสถาณะกับพวกเพื่อนว่า『ฉันไม่สนใจผู้ชายกับความรักแม้แต่ปลายนิ้ว』。

เพราะตั้งจุดยืนไว้แบบนั้น ความสัมพันธ์ต่อคนรอบข้างเลยราบรื่นเรื่อยมาจนถึงตอนนี้。

ก็นะ เป็นเด็กสาวม.ปลายที่ชีวิตวัยรุ่นกำลังเบ่งบานแท้ๆ แต่ยังไร้วี่แววหรือรูปร่างของความรักแถมเพื่อนทุกคนก็มีแต่ผู้หญิง สถานการณ์ในตอนนี้จะให้พูดว่ากำลังราบรื่นมันก็น่าสงสัยอยู่นิดหน่อยน่ะนะ。

แต่ว่า ตัวตนที่เรียกว่าเด็กผู้ชาย สำหรับฉันในตอนนี้ก็เป็นเพียงบ่อเกิดแห่งหายนะเท่านั้น。

และแล้วเหตุการณ์สุดยอดก็เกิดขึ้นก่อนปิดเทอมฤดูร้อนครั้งนี้。

หลังเลิกเรียนหลังจากพิธีปิดภาคเรียน ระหว่างกำลังคุยเรื่องที่จะทำในช่วงวันหยุดกับเพื่อน พอคิดว่าคงได้เวลากลับบ้านแล้ว จู่ๆฉันก็ถูกโทรโข่งภายในโรงเรียนเรียกออกไป。

ตรงกันข้ามกับฉันที่ตะลึงไปชั่วขณะเพราะไม่เข้าใจ พวกเด็กผู้หญิงที่อยู่รอบๆกลับส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดกัน。

ดูเหมือนคนที่เรียกฉันออกไป จะเป็นรุ่นพี่ปี.3。

ส่วนชื่อก็ รู้สึกว่าจะเป็น……โกโตะ ไม่สิไซโตะ ละมั้ง。

เอาเป็นว่า ฉันตกอยู่ในสถานการณ์บีบบังคับให้ออกไปเจอ เพราะโทรโข่งภายในโรงเรียนที่รุ่นพี่คนนั้นใช้。

ก็นะ นั่นคงเป็นเป้าหมายของอีกฝ่ายแหละ。

โรงเรียนหลังเลิกเรียนที่ยังเหลือนักเรียนอยู่เป็นจำนวนมาก พอไปถึงสนามโรงเรียนพร้อมกับความอับอาย ฉันก็เจอกับตัวผู้ก่อเหตุคาโตะ……หรือรุ่นพี่อันโดะนะ? เอาเป็นว่าคนคนนั้น อยู่ตรงนั้น。

จากนั้น ไม่รู้ว่าตั้งใจจะกวนประสาทหรืออะไร จู่ๆก็เอาแหวนหมั้นออกมาแล้วขอแต่งงาน。

ถึงจะมีเสียงเชียร์ดังสนั่นจากพวกนักเรียนที่กำลังดูสภาพการสารภาพรักจากอาคารเรียนรอบๆก็เถอะ แต่ฉันอายสุดๆบวกกับสภาวะตื่นตระหนกนิดหน่อยเพราะความไร้สามัญสำนึกของรุ่นพี่อันโตะ เลยตอบไปแค่ว่า「ไม่สนใจค่ะ」แล้วรีบวิ่งหนีออกจากที่นั่นทันที。

หลังจากนั้นความทรงจำก็คลุมเคลือ。

รู้ตัวอีกทีก็กลับมาถึงบ้านและพุ่งตัวลงบนเตียงในห้องตัวเองแล้ว。

ในหัวไม่อาจสลัดเรื่องฉีกกรอบของรุ่นพี่อิโตะก่อนหน้าออกไปได้。

เหตุการณ์ที่เกิดครั้งนี้คงได้กลายเป็นประเด็นให้พูดถึงตอนเปิดเทอมแหง。

แถม รุ่นพี่อิโตะที่มาสารภาพรักในครั้งนี้ ดูเหมือนจะค่อนข้างเป็นที่นิยมในหมู่เด็กผู้หญิงด้วย。

อะไรทำให้เป็นที่นิยมในหมู่เด็กผู้หญิง ฉันไม่รู้เลยสักนิดแต่ มีแค่เรื่องนี้ที่แน่ใจนั่นคือ เรื่องที่หลังจากถูกเด็กผู้ชายประเภทนี้สารภาพรัก ฉันก็จะตกเป็นเป้าของความเกลียดชังจากเด็กผู้หญิงจำนวนมาก。

 จากก่อนเข้าวันหยุดฤดูร้อน พอจิตนาการถึงเรื่องตอนเปิดเทอมก็รู้สึกห่อเหี่ยวใจแล้ว ฉันนอนฟุบลงบนเตียงไปทั้งๆแบบนั้น หยิบมือถือออกมาและเปิดแอพ*ติดต่อ เปิดลิสที่แสดงชื่อ ไอซาวะ ซากิ และกดปุ่มโทรออก。

หลังจากเสียงเรียกเข้าสั้นๆ ก็ต่อสายกับอีกฝั่งติด。

『โหล〜、คิดไว้แล้วว่าต้องติดต่อมา』

「ซากิ〜、ไม่เอาแล้ว〜ไม่อยากไปโรงเรียนแล้ว〜」

『พรุ่งนี้ก็ปิดเทมอฤดูร้อนแล้วนะ』

「ปิดเทอมไปตลอดกาลก็คงจะดี〜」

เสียงร้องให้ของฉันส่งไปถึงเพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยประถม。

「อะไรเล่า คนที่ชื่อรุ่นพี่เอนโดนั่น!ใช้โทรโข่งภายในโรงเรียนเรียกออกไปหาเนี่ยบ้าไปแล้วรึไง!」

『อะฮะๆ ใช้โทรโข่งภายในโรงเรียนไม่ดีเลยเนอะ นั่นน่ะรู้สึกสงสารอายากะสุดใจเลยล่ะ』

「ถ้าเจอรุ่นพี่เอ็นโดที่โรงเรียนครั้งหน้า เขาอาจจะจ้องฉันตาเขียวเลยก็ได้ ……」

『แบบนั้นไม่น่ายินดีกว่าเหรอ? แล้วก็ไม่ใช่รุ่นพี่เอ็นโดแต่เป็นรุ่นพี่ไคโตะเนอะ ที่ใช้โทรโข่งภายในโรงเรียนสารภาพรักนั่นน่ะ』

「เป็นงั้นเหรอ? ชื่ออะไรนั่นจำไม่ได้หรอก……น่าอายเกินไปจนเรื่องที่รุ่นพี่พูดไม่เข้าหูแม้แต่มิลลิเมตรเดียวด้วยซ้ำ」

ถ้อยคำของฉันที่เป็นแบบนั้น ทำให้เสียงหัวเราะของซากิดังก้องผ่านหน้าจอมือถือ。

『บุฟุ รุ่นพี่ไคโตะ น่าสงสารเกินไปแล้ว อุตส่าห์สารภาพรักทั้งทีแต่กลับส่งไปไม่ถึงอายากะสักนิด ฮาฮาฮา』

「ที่น่าสงสารมันทางฉันต่างหาก! คนคนนั้น ดังเอาเรื่องเลยใช่มั้ยล่ะ? เขาต้องแค้นฉันแน่ๆ……」

『พอเปิดเทอมทุกคนก็คงลืมกันหมดแล้วมั้ง?』

「จะใช่เหรอ? ครั้งนี้เนี่ย อิมแพคสุดยอดเลยไม่ใช่เหรอ? นั่นไงขอแต่งงานน่ะ?แถมมากับแหวนหมั้นด้วย」

『อา〜、ก็นะ』

ฉันยังอยู่แค่ม.ปลายแท้ๆ。

ไม่ใช่เรื่องคบหรือไม่คบแต่นี่จู่ๆก็ข้ามขั้นไปขอหมั้นเลย ไม่เห็นจะเข้าใจสักนิด。

「อา〜、ว่าแล้วเชียวฉันเข้าโรงเรียนหญิงล้วนอาจจะดีกว่าก็ได้ ……」

『ถ้าแบบนั้น ก็จะกลายเป็นว่าพลัดพลากจากเราไปอีกนะ』

「แบบนั้น ม่ายเอา〜」

คนที่อยู่ปลายสายณ ตอนนี้ ไอซาวะ ซากิคือเพื่อนสนิทตั้งแต่ป.1。

จนถึงตอนนี้ ไม่ว่าจะสนุกหรือทุกข์ใจฉันก็จะแบ่งปันช่วงเวลาเหล่านั้นกับเธอทั้งหมด。

จนถึงตอนนี้ เธอเป็นเพียงคนเดียวที่ฉันยอมเล่าเรื่องเหมือนในคราวนี้ให้ฟังอย่างไม่เกรงใจ。

「นี่ ซากิ ย้ายไปโรงเรียนหญิงล้วนด้วยกันเถอะ?」

『อย่าพูดอะไรบ้าๆน่า』

ฉันที่ถูกตอบกลับในทันทีแม้มปาก。

แน่นอนฉันแค่พูดล้อเล่น แต่ถ้าเกิดจริงจังขึ้นมา นั่นแหละจะลำบากเอา。

ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ เอาเป็นว่าก่อนอื่นลองส่งเสียงทักท้วงหน่อยแล้วกัน。

「ซากิขี้เหนียว」

『ก่อนหน้านี้ก็บอกไปแล้วนะว่า อายากะหาแฟนก็สิ้นเรื่องน่ะ』

ถ้อยคำนั้นของเพื่อนรัก ทำให้ฉันนึกถึงเรื่องที่เธอพูดก่อนหน้านี้ออก。

เรื่องเกิดขึ้นหลังจากเข้าเรียนม.ปลายใหม่ๆ ฉันได้รับคำสารภาพรักจากเด็กผู้ชายสามคนติดต่อกันตอนนั้น。

ซากิก็ยื่นข้อเสนอกับฉันว่า『ถ้าอยากหลีกเลี่ยงผู้ชายขนาดนั้นแค่หาแฟนก็สิ้นเรื่องแล้วไม่ใช่เหรอ?』。

แต่ว่า ถ้าแฟนมันหากันได้ง่ายๆแบบนั้นล่ะก็ ฉันก็คงไม่มาทุกข์ใจเพราะคำสารภาพรักพวกนั้นตั้งแต่แรกหรอก。

ณ เวลานั้น ฉันปฏิเสธข้อเสนอของซากิ 。

「แบบนั้นไม่ไหวหรอก แถมคบกับคนที่ไม่ได้ชอบเพราะเหตุผลที่ว่าไม่อยากถูกสารภาพรักเนี่ย มันออกจะไม่จริงใจไปหน่อยเหรอ?」

『เหรอ? แต่ว่านะ สร้างความสัมพันธ์จอมปลอมกับเด็กผู้ชายที่เจอโดยบังเอิญเพื่อไม่ให้โดนสารภาพรัก แบบว่าอย่างกับมังงะตาหวานแน่ะดีออกไม่ใช่เหรอ? อายากะชอบอะไรแบบนี้ไม่ใช่เหรอ?』

「จะว่าชอบมันก็ชอบ……」

ฉันตอบกลับถ้อยคำของซากิอย่างคลุมเครือพลางส่งสายตาทางชั้นหนังสือในห้อง。

ตรงนั้นอัดแน่นไปด้วยมังงะแนวความรัก。

เพราะไม่อาจพบรักในชีวิตจริงได้ ทำให้ต้องใช้มังงะแนวความรักจำนวนมากเป็นแรงขับเคลื่อน。

จุดยืนที่ว่าไม่สนใจผู้ชายกับความรักอะไรนั่น อย่างมากก็เป็นได้แค่มาตการป้องกันในการสร้างมิตรภาพกับเหล่าผ่องเพื่อน ฉันเองก็เป็นเด็กผู้หญิงม.ปลายทั่วไป เพราะงั้นก็อยากจะมีความรักเหมือนอย่างคนอื่นเขาเหมือนกัน。

『นั่นไงๆ ดีออกไม่ใช่เหรอ? แล้วก็ ตอนแรกเป็นแค่คนรักจอมปลอมกันแท้ๆแต่พอรู้ตัวอีกทีก็เกิดสนใจกันและกัน จนในที่สุดก็กลายเป็นคนรักจริงๆ……อ๊าย! ฟินเวอร์!』

「เดี๋ยวเถอะ อย่าตื่นเต้นไปเองคนเดียวตามใจชอบสิ」

『ก็อย่างที่ว่าไป คิดว่าอายากะมีแต่ต้องหาแฟนปลอมแล้วล่ะ!』

「ไม่ไหวอะ〜、เดิมทีก็ไม่มีใครจะมารับบทเป็นแฟนปลอมให้ด้วย」

ไม่ได้หมายความว่า หลงตัวเอง หรืออะไรหรอกแต่ ก็ค่อนข้างรู้ตัวดีว่าการกระทำของฉันส่งผลต่อโรงเรียนยังไง โดยเฉพาะกับพวกเด็กผู้ชาย。

 ถ้าเกิดว่า ฉันให้ความสนใจใครสักคนเป็นพิเศษ ถึงจะเป็นแค่ของปลอมก็เถอะแต่ ถ้าลงเอยที่ความสัมพันธ์แบบคนรักละก็ อาจจะสร้างปัญหาใหญ่ให้กับคนคนนั้นก็ได้。

『อื〜ม、สำหรับฉัน คิดว่าเพื่อนร่วมห้องโอสึกิคุงดูเหมาะกับอายากะนะ』

「โอสึกิคุง?นั่นน่ะ……อ๊ะ คนที่ได้คะแนนสอบที่1ของชั้นปี?」

ฉันดึงบุคคลที่ซากิพูดออกจากซอกหลืบของความทรงจำ。

ถึงจะพยายามหลีกเลี่ยงเด็กผู้ชาย แต่แค่ชื่อของเพื่อนร่วมชั้นก็ยังพอจำได้。

『ใช่ คนนั้นแหละ。คิดว่าโอสึกิคุงเหมาะกับกับอายากะนะ〜』

「เอ๋〜、ทำไมล่ะ?」

『นั่นไง โอสึกิคุงเนี่ยถ้าให้เทียบกับเด็กผู้ชายคนอื่น ดูเป็นคนใจเย็นแล้วก็บรรยากาศรอบตัวดูจริงจังออกไม่ใช่เหรอ? แล้วก็แบบว่า ให้ความรู้สึกเหมือนสุภาพบุรุษด้วย』

「เป็น……งั้นเหรอ?」

เพราะปกติที่โรงเรียนฉันคุยแค่กับเด็กผู้หญิง เลยไม่รู้ว่าพวกเด็กผู้ชายในห้องสภาพเป็นยังไง。

「แต่ว่านะ หัวดีสุดๆแบบนั้นไม่เป็นที่นิยมในหมู่เด็กผู้หญิงหรอกเหรอ?」

เพราะผลพวงจากเหตุการณ์สมัยม.ต้น ฉันเลยไม่ถูกกับเด็กผู้ชายเนื้อหอมเพราะมักสร้างความรู้สึกแบ่งแยกในหมู่เพื่อนผู้หญิงได้ง่าย。

『อา〜ก็นะ เป็นที่นิยมละมั้ง? ห้องของเรายังมีกองหน้าคู่อีกคนนึงที่เป็นที่นิยมในหมู่เด็กผู้หญิงอยู่นะ』

「กองหน้าคู่เนี่ย อีกคนใครล่ะ?」

『คนที่ชื่ออาคากิคุง』

「อืーม คนผมสีสดใสกับใส่ต่างหูเหรอ?」

『ถูกต้อง!』

「ฉันไม่ค่อยถูกกับคนประเภทนั้นละมั้ง」

คนที่ซากิพูดถึง อาคากิคุงเนี่ย ให้ความรู้สึกค่อนข้างสุดโต่งไปหน่อย แถมบรรยากาศรอบตัวก็ดูเหมือนจะเจ้าชู้หน่อยๆด้วย ฉันอาจจะไม่ถูกด้วยล่ะมั้ง。

「แต่ ฉันว่าโอสึกิคุงก็คงไม่ไหวเหมือนกัน พอเป็นที่นิยมในหมู่เด็กผู้หญิงแล้ว ก็คงไม่พ้นเกิดปัญหาหลายอย่างตามมาด้วย」

『เอ๋〜、ฉันคิดว่าเขาออกจะเหมาะกับอายากะนะ?』

「ทำไมซากิถึงดึงดันให้เป็นโอสึกิคุงขนาดนั้นล่ะ?」

『คือว่านะ ถึงจะแค่ข่าวลือแต่ดูเหมือนโอสึกิคุงเนี่ยจะไปเรียนคาราเต้ที่โรงฝึกล่ะ เพราะงั้น ถ้าเอามาอยู่ข้างๆก็จะช่วยปกป้องอายากะให้ไม่ใช่เหรอ?ถ้าเป็นแบบนั้นในฐานะเพื่อนรัก เราก็รู้สึกสบายใจนะ』

ฉันจนถึงตอนนี้มักตกเป็นเป้าของพวกสตอกเกอร์อยู่เนืองๆ ซากิคงเป็นห่วงเรื่องนั้นละมั้ง。

「แต่ว่านั่นน่ะไม่ใช่คนรักแต่เป็นบอดี้การ์ดไม่ใช่เหรอ?」

『นั่นแหละ』

「โถ่! อย่ามาล้อกันเล่นสิ〜」

ฉันพูดแบบนั้นพร้อมผุดยิ้มมุมปากอย่างอดไม่ได้。

ว่าแล้วเชียวพอได้คุยกับซากิแล้ว ถึงจะเกิดเรื่องเลวร้ายมาแต่กลับรู้สึกเบาใจลงอย่างเป็นธรรมชาติ。

「นี่ ไปคาเฟ่ด้วยกันมั้ย?」

『โอ๊ะ? ได้สิ คาเฟ่ที่ไหนดี?ปิดเทอมฤดูร้อนทั้งที ไปบุกเบิกร้านใหม่มะ?』

「นั่นสินะ นั่นน่ะอาจจะเข้าท่าก็ได้」

พอกำลังคุยกับซากิเรื่องคาเฟ่ที่จะไปวันพรุ่งนี้ ก็ได้ยินเสียงเรียกจากคุณแม่ตรงบันได。

「อายากะ มีเรื่องจะคุยด้วยลงมาข้างล่างหน่อยー」

「ค่ーา! ขอโทษนะซากิ โดนหม่าม้าเรียกน่ะ」

『จ้าๆ ถ้างั้นกำหนดการของพรุ่งนี้ เดี๋ยวไว้ติดต่อมาทีหลังนะ』

「อื้ม ถ้างั้นเจอกัน」

『เจอกัน』

พอวางสาย ฉันก็ออกจากห้องตัวเองและลงไปยังห้องนั่งเล่น。