ตอนที่ 4 ผู้ช่วยงาน
หกโมงเย็น
คลาสเรียนเพิ่งจบลง หลินเยวียนก็ได้รับข้อความที่เจี่ยนอี้ส่งมา “เย็นนี้ไปกินข้าวกันมั้ย ซย่าฝานเลี้ยงเลยนะ!”
‘ไม่ละ เย็นนี้ฉันมีธุระ นายไปกับซย่าฝานเถอะ‘
หลินเยวียนตอบข้อความในระหว่างที่เดินออกมานอกประตูวิทยาลัย และข้างถนนใกล้กับประตูวิทยาลัยก็มีรถเก๋งสีแดงคันหนึ่งกำลังจอดอยู่พอดี
“ไม่เจอกันนานเลยนะ ขึ้นรถมาเถอะ”
หน้าต่างฝั่งซ้ายของรถเก๋งสีแดงเลื่อนลงมา หญิงสาวคนหนึ่งหยิบแว่นตากันแดดออก พูดด้วยรอยยิ้มบางพลางโบกมือให้หลินเยวียน
“สวัสดีครับ”
หลินเยวียนเอ่ยทักทายเสร็จก็ขึ้นรถไป
ผู้หญิงคนนี้ก็คือผู้จัดการจ้าวเจวี๋ย เธอซึ่งปีนี้อายุสามสิบห้าเริ่มมีรอยคล้ายหางปลาจางๆ ปรากฏที่หางตา ยามแย้มยิ้มแลดูเป็นมิตรเข้าหาง่าย หากไม่ยิ้มจะดูเคร่งขรึมเย็นชา ทั้งร่างแผ่กลิ่นอายทรงภูมิมากความสามารถ
“หลินเยวียน”
จ้าวเจวี๋ยมองหลินเยวียนซึ่งนั่งอยู่ด้านหลังผ่านกระจกมองหลัง จ้าวเจวี๋ยเหยียบคันเร่ง “เพลงของเธอเหมือนว่าจะไม่มีเนื้อเพลง จะให้ฉันช่วยหาคนแต่งเนื้อเพลงให้ไหม เหลือเวลาอีกแค่สิบวันก่อนจะลงสนามในฤดูกาลศิลปินหน้าใหม่แล้ว”
“ไม่ต้องครับ เนื้อเพลงเขียนเสร็จแล้ว”
“แล้วเรียบเรียงเพลง…เธอก็ทำเสร็จแล้ว?”
“อื้ม”
“เอาเถอะ” จ้าวเจวี๋ยยิ้มแย้ม “เธอรู้ไหมว่าอะไรคือการแข่งขันที่สำคัญที่สุดของฤดูกาลศิลปินหน้าใหม่ในเดือนพฤศจิกายนทุกปี”
“อะไรเหรอครับ”
จ้าวเจวี๋ยขับรถเคลื่อนไปข้างหน้า “ฤดูกาลศิลปินหน้าใหม่เป็นแค่คำเรียกทั่วไป ที่จริงแล้วสิ่งที่แต่ละบริษัทแย่งกันอยู่ก็คือการจัดอันดับชาร์ตดาวรุ่งของฉินโจว ขอเพียงเข้าไปอยู่ในยี่สิบอันดับแรกของชาร์ตดาวรุ่ง ถึงจะนับได้ว่าแจ้งเกิดแล้ว”
“อ้อ”
นี่ไม่ใช่เรื่องใหม่
จ้าวเจวี๋ยหยุดลงหน้าไฟแดง หันมามองหลินเยวียน “เพลงของเธอดีมาก ถ้าได้อันดับในชาร์ตดาวรุ่งตอนเดือนพฤศจิกายนดีละก็ ฉันก็จะช่วยเธอเปลี่ยนสัญญาไปยังฝ่ายประพันธ์เพลงได้”
“ขอบคุณครับ”
หลินเยวียนดวงตาเป็นประกาย
เขาอยากเติบโตในสายงานประพันธ์เพลง และนี่ก็เป็นสาขาที่เขากำลังเรียนอยู่ ไม่ต้องไปออกหน้าในวงการ แล้วก็ยังได้รับสิ่งที่เรียกว่าระดับความโด่งดังจากระบบด้วย
ในตอนนี้เอง
หลินเยวียนก็ได้ยินเสียงของระบบ “ติ๊งต่อง ยินดีกับโฮสต์ในการเริ่มภารกิจใหม่”
[ชื่อภารกิจ: เพลงแรก]
[เนื้อหาภารกิจ: อัดเพลง ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ สำเร็จ]
[รางวัลภารกิจ: กล่องสมบัติทองแดงหนึ่งใบ]
ภารกิจก่อนหน้านี้ยังไม่ทันสำเร็จ นี่มีภารกิจใหม่มาอีกแล้ว?
เขามองตัวอักษรสามบรรทัดซึ่งลอยอยู่เบื้องหน้า หลินเยวียนตื่นเต้นกับการอัดเพลงหลังจากนี้อยู่บ้าง เขาหวังว่าคืนนี้จะอัดเพลงสำเร็จ
……
ผ่านไปครึ่งชั่วโมง
หลินเยวียนก็มาถึงสตาร์ไลท์เอนเตอร์เทนเมนต์
ที่นี่เป็นตึกสูงถึงห้าสิบชั้น ผู้คนที่ผ่านไปมาล้วนแต่สวมชุดทำงาน ที่หน้าอกต่างห้อยป้ายของแต่ละแผนกในสตาร์ไลท์เอนเตอร์เทนเมนต์ เป็นสไตล์ของบริษัทใหญ่โดยไม่ต้องสงสัย
“สวัสดีพี่จ้าว”
จ้าวเจวี๋ยนับว่าเป็นคนสำคัญของบริษัท คนไม่น้อยที่ผ่านไปผ่านมาต่างออกตัวเอ่ยทักทาย
จ้าวเจวี๋ยตอบเพียงเล็กน้อยตามมารยาท แล้วพาหลินเยวียนตรงไปยังสตูดิโอชั้นเก้า
“พี่จ้าว!”
เมื่อเห็นจ้าวเจวี๋ย ผู้จัดการร่างท้วมคนหนึ่งซึ่งรออยู่แต่แรกแล้วก็ปรี่เข้ามาต้อนรับ “เซ็ตอุปกรณ์ไว้แล้วครับ”
“คนของเธอล่ะ”
จ้าวเจวี๋ยกวาดตามองไปรอบๆ เห็นเพียงเจ้าหน้าที่ในสตูดิโอซึ่งกำลังง่วนอยู่กับงาน
“เรื่องนั้น…”
ผู้จัดการร่างท้วมปาดเหงื่อบนหน้าผาก “รถติดนิดหน่อย เด็กใหม่เลยยังไม่มีใครมาถึง ฉันเร่งเจ้างั่งนั่นไปตั้งหลายรอบแล้วเนี่ย เดี๋ยวเขามาถึงฉันจะด่าให้ยับเลย!”
“รถติดแล้วออกก่อนเวลาไม่ได้เหรอ?”
จ้าวเจวี๋ยแววตาเย็นเยียบ “ถ้าเธอพาเด็กใหม่มาไม่ได้ก็ให้คนอื่นพามาแทน! เริ่มจับเวลาตั้งแต่ตอนนี้ ถ้าภายในสิบห้านาทียังมาไม่ถึงก็เปลี่ยนคนมาร้องเพลงซะ ให้โอกาสแล้วยังไม่ได้เรื่อง!”
“ได้ๆๆ…”
ผู้จัดการร่างท้วมยิ้มวางหน้าไม่สนิท ใบหน้าขาวซีด หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเตรียมกดโทรเร่งด้วยมือสั่นเล็กน้อย ในใจก่นด่าเด็กใหม่ซึ่งมาสายคนนี้อย่างเจ็บแสบไปร้อยรอบแล้ว
ขณะนั้นเอง
หน้าประตูลิฟต์ก็มีหญิงสาวแต่งตัวเหมือนผู้ช่วยคนหนึ่ง วิ่งตรงมาทางจ้าวเจวี๋ย “พี่จ้าว ทางกรรมการผู้จัดการเรียกให้พี่ไปน่ะ…”
“เข้าใจแล้ว”
จ้าวเจวี๋ยกดขมับ รู้สึกปวดหัวอยู่บ้าง กรรมการผู้จัดการเรียกตนเอง ต้องเป็นเพราะเรื่องชาร์ตดาวรุ่งอีกแน่
ต้องโทษที่ตนเองย่ามใจเกินไป
ก่อนหน้านี้ถึงกับกล้าออกปากประกาศกร้าวต่อหน้าเหล่าบุคลากรระดับสูงของบริษัท
เมื่อมองไปยังใบหน้าไร้เดียงสาของตัวก่อเรื่องทั้งหมดอย่างหลินเยวียน จ้าวเจวี๋ยก็รู้สึกว่าไฟที่สุมอกอยู่นั้นมลายหายไป
เธอทำได้แค่ข่มกลั้นความสลดหดหู่ นัยน์ตาฉายแววตักเตือน พูดกับเจ้าหน้าที่ในสตูดิโอซึ่งอยู่ด้านข้างและผู้จัดการร่างท้วม “หลินเยวียนเขียนเพลงนี้ ตอนอัดเสียงให้ยึดความเห็นของหลินเยวียนเป็นหลัก เข้าใจไหม”
“ได้ครับ/ค่ะ”
ผู้จัดการร่างท้วมและเจ้าหน้าที่สตูดิโอกลุ่มนี้ได้ยินดังนั้น ก็รีบพยักหน้าให้หลังจ้าวเจวี๋ย เห็นได้ชัดว่าไม่กล้าขัดคำสั่งของจ้าวเจวี๋ย
หลินเยวียนก็พยักหน้ารับคำเช่นกัน
……
จ้าวเจวี๋ยมีธุระจึงออกไปแล้ว
ผู้จัดการร่างท้วมก็ลงไปคุยโทรศัพท์ชั้นล่าง
หลินเยวียนกับเจ้าหน้าที่สตูดิโอรออยู่ประมาณสิบนาที ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงตวาดลั่นดังมาแต่ไกล “มาช้าแค่นิดเดียว เธอก็พลาดโอกาสเข้าร่วมฤดูกาลศิลปินหน้าใหม่ได้เลยนะ ไม่รู้หรือไง! เธอรอเดบิวต์ในฤดูกาลศิลปินหน้าใหม่มาตั้งกี่ปีแล้ว ทำเอาฉันถูกพี่จ้าวหยุมหัวเอาด้วย ใครไม่รู้บ้างว่าช่วงนี้พี่จ้าวอารมณ์ไม่ดี เธอก็ดันทำอีก…”
“ผมผิดไปแล้ว พี่ครับ ผมผิดไปแล้ว!”
วัยรุ่นรูปร่างไม่สูงคนหนึ่งขอโทษขอโพยอย่างเกรงใจและรู้มารยาทต่อหน้าผู้จัดการร่างท้วมซึ่งลงไปชั้นล่างเมื่อครู่ “ผมไม่คิดว่าปีนี้จะมีโอกาสได้เดบิวต์จริงๆ นี่ครับ! พี่วางใจเถอะ! วันนี้ผมรับรองว่าจะคว้าโอกาสนี้ ไม่ทำให้พี่เสียหน้า! ขอบคุณพี่ที่ช่วยผม ทำให้ผมได้เป็นคนสุดท้ายในฤดูกาลศิลปินหน้าใหม่ครับ!”
“ไม่ต้องพูดมากแล้ว เตรียมตัวอัดเพลง”
ผู้จัดการร่างท้วมหันหลังไป เหมือนจะความดันขึ้นสูงจนต้องกดขมับตนเองอย่างแรง
เด็กหนุ่มพรูลมหายใจ ปาดเหงื่อบนหน้าผาก สีหน้ากระวนกระวายระคนตื่นเต้น แต่ทันทีที่เงยหน้าขึ้น จู่ๆ ก็เห็นผู้ชายตรงหน้ากำลังจ้องมองตนเองอยู่
“หลินเยวียน?”
เขาเดินเข้ามาใกล้ขึ้นหลายก้าว มองหลินเยวียนอย่างละเอียดชั่วขณะหนึ่ง เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่ได้จำคนผิด ก็พลันดีใจขึ้นมา “นายจริงๆ ด้วย นายมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง อ้อ ฉันรู้แล้ว นายมาทำงานพิเศษสินะ?”
หลินเยวียน “…”
เขากำลังเค้นสมองขบคิดว่าอีกฝ่ายเป็นใคร ความทรงจำของเจ้าของร่างบอกว่าคนคนนี้ออกจะคุ้นหน้าอยู่บ้าง
เห็นได้ชัดว่าเด็กหนุ่มไม่รู้ว่าหลินเยวียนกำลังคิดอะไรอยู่
เขาเชิดหน้า ยืดออกขึ้น ตบบ่าของหลินเยวียนเบาๆ “ไอ้น้องเอ๊ย นายนี่มันสมแล้วที่เป็นเป็นรุ่นน้องที่มีพรสรรค์ที่สุดในสาขาการขับร้องของพวกเรา แค่ปีสองก็ถึงกับมารับงานพิเศษที่สตาร์ไลท์แล้ว…อ้อ นี่นายทำงานอยู่ในสตูดิโอเหรอ อย่างงั้นก็เรียกได้ว่าพี่กับนายก็เป็นกึ่งเพื่อนร่วมงานกันแล้วสิ!”
เขาหยิบแก้วเก็บความร้อนซึ่งใช้แขนหนีบไว้ออกมา ก่อนจะส่งให้หลินเยวียน
เด็กหนุ่มโบกมือ พลางบอก “ไปเติมน้ำมาให้รุ่นพี่สักแก้วก่อน เมื่อกี้รีบวิ่งมาตลอดทาง เหนื่อยแทบแย่แน่ะ แต่ว่าเหนื่อยก็ไม่เท่าไหร่หรอก ยังไงซะพออัดเพลงนี้เสร็จ พี่ก็จะได้เดบิวต์แล้ว!”
หลินเยวียน “…”
ในที่สุดเขาก็นึกออกแล้วว่าเด็กหนุ่มคนนี้เป็นใคร
คนคนนี้ชื่อว่าซุนเย่าหั่ว นักศึกษาสาขาการขับร้องของวิทยาลัยศิลปะฉินโจว ปัจจุบันเรียนจบแล้ว
สาขาการขับร้องจัดกิจกรรม มีการแสดงของบัณฑิตที่กลับมายังวิทยาลัย อีกฝ่ายรู้จักกับเจ้าของร่างเพราะงานนี้ ฉะนั้นเขาจึงนับเป็นรุ่นพี่ของหลินเยวียนไม่ผิดแน่
และเป็นเพราะซุนเย่าหั่วความสามารถไม่เลว ทำให้เพิ่งเรียนจบก็ได้เซ็นสัญญากับสตาร์ไลท์เอนเตอร์เทนเมนต์แล้ว รุ่นน้องชายหญิงในสาขาการขับร้องต่างก็ยกย่องชื่นชมซุนเย่าหั่ว รุ่นพี่ที่ได้เซ็นสัญญากับบริษัทใหญ่ ในอนาคตมีโอกาสกลายเป็นนักร้องคนนี้
ถึงแม้หลินเยวียนเองก็เซ็นสัญญากับสตาร์ไลท์เอนเตอร์เทนเมนต์แล้ว ทว่าแต่ไหนแต่ไรมาหลินเยวียนไม่ได้ป่าวประกาศเรื่องนี้ ถึงอย่างไรสภาพร่างกายของเขาก็แตกต่างกับคนอื่น จึงมีแค่ซย่าฝานกับเจี่ยนอี้ที่รู้เรื่องนี้แค่สองคน ส่วนคนอื่นไม่รู้เลย
“ยืนอึ้งอยู่ทำไมล่ะ”
ซุนเย่าหั่วยิ้มเอ่ย “ช่วยไปเติมน้ำให้ฉันหน่อยสิ รุ่นพี่นายต้องอัดเพลงนะ เดี๋ยวนายก็ต้องยืนดูอยู่ข้างๆ เรียนรู้ประสบการณ์ มีประโยชน์กับนายมากทีเดียว”
“ครับ”
หลินเยวียนไปเติมน้ำ
เจ้าหน้าที่ในสตูดิโอต่างก็มีสีหน้าแปลกประหลาด
ผู้จัดการรูปร่างท้วมของซุนเย่าหั่วหันมาพอดี ก็เห็นภาพเหตุการณ์ที่ซุนเย่าหั่วกำลังวางก้ามใส่หลินเยวียน ก็รู้สึกได้ทันทีว่าความดันของตนที่เพิ่งจะลดลงนั้นพุ่งพรวดขึ้นมาอีกแล้ว
“ซุนเย่าหั่ว เธอคิดว่าตัวเองทำอะไรอยู่น่ะ!”
เขาปราดเข้าไปฟาดเข้าที่หลังศีรษะของซุนเย่าหั่วเต็มแรง “เพลงที่เธอจะร้องน่ะ เขาเป็นคนเขียน เธอต้องเรียกเขาว่าอาจารย์หลินด้วยซ้ำ!”
พูดจบ ผู้จัดการร่างท้วมก็หันหลัง พูดกับหลินเยวียนซึ่งกำลังกรอกน้ำอยู่ด้านข้างว่า “ขอโทษนะอาจารย์หลิน ซุนเย่าหั่วสติสตังไม่ค่อยจะมี…”
“ก่อนอัดเพลงก็ต้องดื่มน้ำ”
หลินเยวียนตอบอย่างจริงจัง ไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรไม่เหมาะสม ยื่นแก้วเก็บความร้อนซึ่งใส่น้ำจนเต็มแล้วให้ซุนเย่าหั่ว
ซุนเย่าหัวรับน้ำในมือมาด้วยความงงงัน
ผู้จัดการร่างท้วมยังคงเดือดดาล หันไปดุเขาอีก “เคารพอาจารย์หลินหน่อย อย่าทำตัวไม่รู้จักเด็กไม่รู้จักผู้ใหญ่”
“…”
ซุนเย่าหั่วอ้าปากพะงาบ เขาอยากพูด แต่กลับไม่รู้ว่าจะพูดอะไร รู้สึกแค่ว่าสมองมึนงงไปหมด
เขาเด็กกว่าฉันตั้งกี่ปี!
ฉะ…ฉันไม่รู้จักเด็กไม่รู้จักผู้ใหญ่ตรงไหนเนี่ย
เจ้าหน้าที่ด้านข้างกลั้นยิ้ม ก่อนจะบอกว่า “เด็กใหม่ นายจำทำนองได้หรือยัง ถ้าจำได้แล้ว เรามาร้องตามเนื้อเพลงสักรอบ ดูก่อนว่าอารมณ์เป็นยังไง”
“จำได้แล้วครับอาจารย์”
ซุนเย่าหั่วรีบตอบ
เจ้าหน้าที่ต่างมองไปยังหลินเยวียน
หลินเยวียนบอก “งั้นเริ่มเลยครับ”
เมื่อเข้าไปในห้องอัดเสียง ซุนเย่าหั่วก็เริ่มร้องตามเนื้อเพลง
ความสามารถของเขาไม่เลวเลย ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ได้เซ็นสัญญาเข้ามาในสตาร์ไลท์ตั้งแต่เพิ่งเรียนจบหรอก
ทว่าหลินเยวียนมีประสบการณ์ด้านการขับร้องของเจ้าของร่าง ฉะนั้นมาตรฐานของเขาจึงไม่มีทางต่ำเตี้ยเกินไป ถ้าอยากแบ่งเงินกับเขา ต่อให้เป็นผู้ช่วยงานก็ต้องแสดงความสามารถออกมาสักหน่อย ไม่ทันไรเขาก็ระบุจุดบกพร่องได้แล้ว
“ตอนหยุดเสียงฮัมท่อนแรกยังไม่ค่อยเป็นธรรมชาติครับ”
นั่นหมายความว่าให้เริ่มใหม่ ซุนเย่าหั่วก็พยักหน้ารับ
ดนตรีดังขึ้นอีกครั้ง ไม่นานก็ถูกหลินเยวียนตัดบท “งับคำแรงเกินไป งับคำเบาอีกนิดนึง แต่เพิ่มอารมณ์ได้มากกว่านี้อีก”
“ครับ…”
ซุนเย่าหั่วรู้สึกกระดากใจที่ถูกรุ่นน้องสั่งสารพัด รู้สึกว่าอีกฝ่ายกำลังจงใจกลั่นแกล้งตนเอง ถ้าหน้าบางสักหน่อยคงจุกอกตายไปแล้ว
เรื่องนี้คล้ายจะมีผลกับสภาพจิตใจของเขาอยู่บ้าง
ดังนั้นแม้ว่าหลังจากนั้นจะอัดเสียงอีกกี่รอบ ผลลัพธ์ในแต่ละรอบก็ยังทำให้หลินเยวียนพอใจไม่ได้ จนสุดท้ายแล้วหลินเยวียนทำได้เพียงบอกให้หยุด
“พักสิบนาทีแล้วค่อยมาอัดเสียงใหม่ก็แล้วกันครับ”
ด้วยคุณสมบัติของผู้ช่วยงานซุนเย่าหั่วแล้ว เขาย่อมร้องเพลงนี้ได้สบายไม่มีปัญหา ที่เขาร้องได้ไม่ดีมาตลอด เป็นไปได้มากว่าจะกดดันอยู่ในใจ
ปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่
ปรับสภาพจิตใจสักหน่อยก็ใช้ได้แล้ว
ซุนเย่าหั่วถอนหายใจ เขานั่งอยู่บนเก้าอี้นอกห้องอัดเสียง ดื่มน้ำรวดเดียวดังอึกๆๆ จนหมด
ทันทีที่วางแก้วน้ำลง เขาก็เห็นหลินเยวียนรับแก้วน้ำมาอย่างเป็นปกติมาก จากนั้นก็เดินไปยังเครื่องกดน้ำ ก่อนกรอกน้ำใส่จนเต็มอีกครั้ง
กำลังเยาะเย้ยเขาอยู่?
ซุนเย่าหั่วน้ำเสียงหดหู่ลง “เอ่อ…รุ่น…อาจารย์หลิน…”
“เรียกผมว่ารุ่นน้องเถอะ”
หลินเยวียนเอ่ยพลางวางแก้วน้ำลง
ซุนเย่าหั่วยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน ยังไงเขาก็ชักสีหน้าไม่ได้ โอกาสเดบิวต์นี้เขารอมานานเหลือเกิน
เขาทำได้เพียงออกแรงหมุนปิดฝาแก้วน้ำอย่างไม่เป็นธรรมชาติ “เอ่อ…รุ่นน้องหลิน…ที่แท้นายก็แต่งเพลงได้…”
หลินเยวียนอธิบายไปว่า “ก่อนหน้านี้ผมป่วย ทำให้คอมีปัญหา ตอนขึ้นปีสองก็เลยย้ายไปอยู่สาขาการประพันธ์เพลงน่ะครับ”
ซุนเย่าหั่วนิ่งงันไป
ทันใดนั้นเขาก็ส่ายหน้า ผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ น้ำเสียงเห็นใจปนเสียดาย “น่าเสียดาย น่าเสียดาย น่าเสียดาย…”
เขาพูดว่า ‘น่าเสียดาย’ สามครั้งติดต่อกัน
เขาไม่อาจจินตนาการถึงตนเองที่ร้องเพลงไม่ได้
จากนั้นซุนเย่าหั่วก็ตระหนักได้ว่าการกระทำของตนนั้นไม่ค่อยเหมาะสมสักเท่าไร ออกจะเลินเล่อไปหน่อย
ผู้ชายตรงหน้าคนนี้ไม่ได้เป็นแค่รุ่นน้องแล้ว อีกฝ่ายเป็นถึงนักแต่งเนื้อร้องและทำนองเพลงที่กุมความเป็นความตายของเขาอยู่ และนี่คือเหตุผลที่เมื่อครู่หลินเยวียนสั่งโน่นสั่งนี่เขาได้!
หรือจะพูดได้ว่า
ถ้าหากหลินเยวียนยืนกรานที่จะเตะตนออกไป แล้วเปลี่ยนคนมาร้อง ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ แทน เขาก็ไม่มีสิทธิ์โกรธ เพราะทุกอย่างก็เห็นได้ชัดจากท่าทีของผู้จัดการตนที่มีต่อหลินเยวียนแล้ว
โอกาสเดบิวต์ที่เขารอมาหลายปีนั้นอยู่ในกำมือของรุ่นน้องหลิน
เมื่อตระหนักถึงจุดนี้ มือซึ่งเขายื่นออกมาจะตบไหล่หลินเยวียนก็ชะงักค้างกลางอากาศด้วยความประดักประเดิด
“ไม่เป็นไร”
หลินเยวียนไม่ทันสังเกตเห็นท่าทางของซุนเย่าหั่ว แน่นอนว่าถึงจะสังเกตเห็นก็คงไม่ได้ใส่ใจ เขาเพียงแต่พูดประโยคหนึ่งออกไปแทนเจ้าของร่าง “ขอบคุณครับ”
ซุนเย่าหั่วชะงักงัน
เมื่อมองไปยังดวงตาใสกระจ่างของหลินเยวียน เขาก็ตระหนักได้ทันทีว่ารุ่นน้องตรงหน้าไม่ได้มีเจตนาเฉกเช่นที่เขาคิด อีกฝ่ายมองตนเองเป็นเพียงผู้ร่วมงานจริงๆ ก็เท่านั้น
เป็นเขาเองที่โลกแคบเกินไป
เขาผู้ซึ่งเข้าบริษัทมานานตั้งแต่เรียนจบ ถึงแม้จะยังไม่ได้เดบิวต์ แต่ในจิตสำนึกกลับแบ่งคนหลายชั้นต่างกันจึงค่อยคบหา
แรกเริ่มเดิมทีเขามองว่าตนเองเป็นรุ่นพี่ที่กำลังจะได้เดบิวต์ คิดว่าเมื่อเป็นเช่นนี้ตนก็อวดเบ่งได้ ดังนั้นต่อให้เจตนาเดิมคืออยากดูแลอีกฝ่าย แต่ก็ยังหนีไม่พ้นแสดงท่าทีภูมิอกภูมิใจแถมยังเจ้ากี้เจ้าการอีก
ภายหลังมองหลินเยวียนเป็นนักแต่งเนื้อร้องและทำนองเพลงผู้ยิ่งใหญ่ ตนก็ร่วงลงไปอยู่อีกระดับอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว มักกังวลว่าอีกฝ่ายจะแกล้งตนเอง จึงวางท่าทีเจียมเนื้อเจียมตัว
อันที่จริงทุกอย่างเป็นเพราะเขาคิดมากไปเอง
“รุ่นน้องหลิน!”
เขาสูดลมหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง มือซึ่งค้างเท้งเต้งอยู่กลางอากาศก็ลดลงมาวางบนบ่าของหลินเยวียนอีกครั้ง การเคลื่อนไหวไม่แข็งทื่ออีกต่อไป “พวกเราเริ่มอัดเพลงกันเถอะ ครั้งนี้ฉันเตรียมตัวพร้อมแล้ว”
“ได้ครับ”
หลินเยวียนลุกขึ้นยืนด้วยความคาดหวัง
แม้จะไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ รุ่นพี่ผู้ช่วยงานคนนี้ก็กระปรี้กระเปร่าขึ้นมา แต่การอัดเสียงในรอบที่สองก็ผ่านไปได้อย่างราบรื่น หลินเยวียนรู้สึกพอใจมาก ถึงขั้นรู้สึกว่าการถูกผู้ช่วยงานหารเงินไปก็เป็นเรื่องที่เหมาะสมแล้ว
ถึงอย่างไรคนเขาก็พยายามอย่างหนัก
และทันทีที่การอัดเสียงสำเร็จลุล่วง หลินเยวียนก็ได้รับการแจ้งเตือนดังติ๊งต่องจากระบบ
[ภารกิจสำเร็จ: เพลงแรก]
[รางวัลภารกิจ: กล่องสมบัติทองแดงหนึ่งกล่อง]
……………………………………