ตอนที่ 6 ทหารกล้าข้ามแม่น้ำ

นิยามแห่งราตรี (Night’s Nomenclature )

ตอนที่ 6 – ทหารกล้าข้ามแม่น้ำ

ก่อนที่ชายกลางคนจะเงยหน้าขึ้นมา ชิ่งเฉินนึกว่าอีกฝ่ายหูหนวก ข้างกายมีความเคลื่อนไหวใหญ่โตขนาดนี้ถึงกับไม่ส่งผลกระทบต่อเขาเลยสักนิดเดียว

ทว่าหลังจากที่ชายกลางคนเงยหน้าขึ้น ชิ่งเฉินแทบจะนึกว่าตนเองหูหนวกไปแล้ว เพราะว่าลานส่วนรวมที่เดิมทีอึกทึกถึงกับเงียบกริบลงไปในพริบตา ไม่มีเสียงดังสักแอะ

ในแววตาของกลุ่มคนรอบด้านมีสีหน้าประหลาดใจ ยังมีอารมณ์จับต้นชนปลายไม่ถูกอยู่บ้าง คล้ายกับว่าสถานะของชายกลางคนทำให้เด่นชัดขึ้นมา

เพราะว่าในอดีตชายกลางคนไม่เคยสนใจคำขอร้องของคนอื่นเลย

ทันใดนั้นชิ่งเฉินก็โล่งอก เพราะว่าทุกสิ่งนี้ล้วนพิสูจน์ว่าเขาวางเดิมพันถูกแล้ว

ชายกลางคนไม่ได้พูดอะไรกับเขา ทว่าขยับหมากทหารตัวหน้าฝ่ายแดงบนกระดานหมากอย่างสงบนิ่ง ขึ้นหนึ่ง

ส่วนฝ่ายดำชายกลางคนเดินเอง เลือกช้างห้าถอยไปเจ็ด ฆ่าทหารที่เพิ่งจะอวดเบ่งตัวนั้นไป

ชิ่งเฉินมองดูกระดานหมากรุกในที่ห่างไกลเงียบ ๆ ท้ายเกมสี่ศัตรูจับราชานี้เป็นท้ายเกมที่ก็ถือได้ว่ามีชื่อเสียงบนโลกมนุษย์ มีรูปแบบการเรียงเกมสองอย่าง ที่อยู่ตรงหน้าเขาเป็นเกมที่อันตรายยิ่งกว่าในนั้น

ท้ายเกมที่ว่ากันมักจะหมายความว่าฝ่ายดำต้องชนะ ฝ่ายแดงแม้แต่จะเสมอก็ยังทำไม่ได้ ถ้าหากเสมอจะถือว่าแก้ท้ายเกมนี้แล้ว

แต่ว่าชิ่งเฉินไม่พอใจกับแค่เสมอหรอก

ท้ายเกมสี่ศัตรูจับราชานี้มีส่วนพิสดารอยู่บ้าง ทหารกล้าสี่นายของฝ่ายแดงบินข้ามแม่น้ำฉู่มาถึงตำแหน่งเส้นท้ายแล้ว รถศึกทั้งคู่ก็อยู่บนสนาม

รูปเกมดูเหมือนจะสมน้ำสมเนื้อกันอยู่ ทว่าในความเป็นจริงท้ายเกมนี้ก้าวเข้าสู่อันตรายทีละก้าว ๆ กับดักทุกแห่งหน หมากดำต้องเดินเพียงตาเดียวก็จะสามารถเอาชนะ ฝ่ายแดงกลับทำได้เพียงวิ่งหนีเอาชีวิตรอด ไม่ทันระวังสักครั้งก็จะนึกว่าตนเองคว้าชัยอยู่ในกำมือแล้ว ผลคือถูกฆ่ากลับ

นี่เป็นเกมตายที่ดูเหมือนเต็มไปด้วยความหวัง แต่สามารถทำให้คนตกไปสู่ความสิ้นหวังทีละนิด

“ต่อ” ชายกลางคนเอ่ยอย่างราบเรียบ

ชิ่งเฉินกล่าวว่า “ทหารสองแนวนอนไปสาม”

ชายกลางคนสายตาสว่างเจิดจ้าขึ้นมา ตอนนี้เขาคล้ายกับเกิดความสนใจอย่างแท้จริงแล้ว ถึงกับขี้เกียจจะไปขยับตัวหมากรุก หลับตาลงตรง ๆ เดินหมากรุกตาบอดกับชิ่งเฉิน “แม่ทัพหกขึ้นหนึ่ง”

ชิ่งเฉินก็หลับตาลง “รถศึกหลังขึ้นสี่”

“ช้างเจ็ดถอยเก้า”

พอถึงรอบที่หก ชิ่งเฉินจู่ ๆ กล่าวขึ้นว่า “รถศึกหนึ่งขึ้นเจ็ด!”

ดวงตาทั้งคู่ที่หลับอยู่ของชายกลางคนนั้นถึงกลับลืมขึ้นมาอีกครั้ง เขามองดูชิ่งเฉินอย่างประหลาดใจ “ช้างห้าถอยเจ็ด”

ในห้าตาแรก การมา ๆ ไป ๆ ของแต่ละฝ่ายราบเรียบไร้รสชาติ แต่หลังจากถึงตาที่หกนี้ ทั้งคู่ถึงกับแลกหมากกันทุกตาแล้ว!

คุณฆ่าผม! ผมฆ่าคุณ! โลหิตหลั่งไหลเป็นแม่น้ำ พลทหารล้มตายทุกหย่อมหญ้า!

ความกล้าหาญและมุ่งมั่นบนกระดานหมากรุกของทั้งสองฝ่ายล้วนโหดร้ายเป็นอย่างยิ่ง

ทั้งสองคนเป็นเหมือนกับขุนพลผู้สงบนิ่งที่สุดบนสนามรบ เพื่อชัยชนะสุดท้ายไม่เสียดายที่จะเสียสละทุกสิ่ง

เกมสี่ศัตรูจับราชาถึงกับบังคับให้ทั้งสองคนแสดงความเหี้ยมหาญออกมา ทว่าเบื้องหลังความเหี้ยมหาญนี้คือการวางแผนอย่างลึกซึ้งของทั้งสองฝ่าย

ตอนเปิดเกม ฝ่ายแดงของชิ่งเฉินเห็นชัด ๆ ว่าทหารสี่นายข้ามแม่น้ำมาแล้วดูจะดุดันมากกว่า แต่เขากลับทิ้งสี่ทหารทีจะนาย ๆ เปลี่ยนไปเป็นแผนการอื่น เหลือเพียงตัวสุดท้ายเดี่ยว ๆ!

รถศึกหนึ่งแนวนอนไปสี่

แม่ทัพสี่เดินแนวนอนไปห้า

ปืนใหญ่สี่เดินแนวนอนไปห้า

รถศึกสามเดินแนวนอนไปห้า

ตาที่สิบห้า ชิ่งเฉินจนถึงตอนนี้จึงได้ผ่อนลมหายใจออกมายาว ๆ “ทหารห้าเข้าหนึ่ง!”

เผยมีดสังหารแล้ว

จับราชา!

แล้วก็เป็นกระทั่งถึงตอนนี้เองที่การแก้เกมหมากรุกของท้ายเกมสี่ศัตรูจับราชาในที่สุดจึงได้ระเบิดเสน่ห์อันยากจะบรรยายออกมา รูปเกมที่สังหารแก้ทางกันและกันบนแม่น้ำระหว่างฉู่ฮั่นทำให้ชายกลางคนรู้สึกคล้ายกับกำลังเผชิญหน้ากับกุนซือบนสนามรบจริง ๆ

เกมหมากรุกนี้ ทุก ๆ ตาล้วนอันตรายถึงขีดสุด

สิ่งที่ทำให้ชายกลางคนประหลาดใจที่สุดคืออายุของเด็กหนุ่มตรงหน้าไม่ได้มากเลย แต่กลับไม่มีความลังเลแม้เศษเสี้ยวตอนที่ทิ้งหมากเปลี่ยนเกม

การไม่ละทิ้งหรือยอมแพ้จริงอยู่ที่ว่ามันสำคัญ แต่สงครามก็คือสงคราม สงครามจะไม่มีการเสียสละได้อย่างไร

เขามองเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเงียบ ๆ อีกฝ่ายก็สบตากับเขา สีหน้าทั้งเคร่งขรึมและดื้อรั้น

เสมือนว่าอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวัง เข่นฆ่าหาทางรอดออกมาสายหนึ่ง สร้างชีวิตใหม่

เขาเข้าใจแล้ว ตนเองเล่นหมากรุก อีกฝ่ายเขาเอาชีวิตรอดในสภาพแวดล้อมที่มีสัตว์ร้ายเหล็กกล้าล้อมเฝ้า ทัศนคติไม่ได้เหมือนกันเลย

ไม่มีใครสังเกตเห็นว่า ณ ขณะนี้ กล้องวงจรปิด 210 ตัวในเรือนจำป้อมปราการถึงกับมี 81 ตัวที่หันไปจับภาพชิ่งเฉิน

เลนส์กล้องสีดำของกล้องวงจรปิดปรับโฟกัสเล็กน้อย คล้ายกับอยากโฟกัสไปที่ใบหน้าของชิ่งเฉิน

ไม่ว่าใครก็ไม่ทราบว่าเบื้องหลังกล้องวงจรปิดนี้ใครเป็นคนจับโฟกัส

ชายกลางคนยิ้มแล้วคว่ำหมากแม่ทัพฝ่ายดำบนกระดานหมากรุก “น่าสนใจนิดหน่อย เวลานี้คนที่เล่นหมากรุกได้มีไม่มากแล้ว พรุ่งนี้มาต่อ”

พูดจบ เขาเอามือไพล่หลังเดินไปเขตอ่านหนังสือ ทิ้งกระดานหมากรุกไว้บนโต๊ะกินข้าวโดยที่ใครก็ไม่กล้าแตะต้อง

แมวสีเทาบนโต๊ะตัวนั้นลุกขึ้นยืน เดินตามหลังชายกลางคนไปเงียบ ๆ

ตอนที่แมวนอนอยู่คล้ายกับเป็นก้อนขน ดูไปตัวไม่ใหญ่เลย

ทว่าพอยืดตัวออกมา ชิ่งเฉินจึงได้พบว่าแมวตัวนี้ตัวใหญ่ยาวถึงหนึ่งเมตรกว่า แข็งแรงจนผิดปกติ

แมวปกติเวลาเดินล้วนเบาดุจขนนก ถูกคนเรียกว่าฝีเท้าแมว แมวตัวนี้กลับเดินด้วยท่าทางของเสือตัวหนึ่ง

คนที่สังเกตการณ์ที่ตรงนี้ทุกคนบนลานส่วนรวมล้วนตะลึงงัน ท้ายเกมนี้ถึงกับถูกเด็กหนุ่มเอาชนะไปแล้วหรือ

พูดตามตรงพวกเขาก็ไม่เข้าใจเกมหมากรุก ภายหลังทั้งสองฝ่ายเล่นหมากรุกตาบอด พวกเขาก็ยิ่งฟังไม่เข้าใจ

ในยุคสมัยนี้มีกิจกรรมบันเทิงมากเกินไปแล้ว ทุก ๆ ประเภทล้วนน่าตื่นเต้นน่าสนุกยิ่งกว่าหมากรุก

พวกเขาสามารถใช้ชิปคอมพิวเตอร์ไปหาความสุขได้ตรง ๆ แล้วยังสามารถเอาสติสัมปชัญญะล็อคอินเข้าไปในระบบอินเตอร์เน็ต นี่เป็นยุคสมัยที่ความสุขราคาถูกมาก ๆ คนที่เล่นหมากรุกมีน้อยยิ่งกว่าน้อย จะเล่นเก่งเท่าไหร่ยังจะสามารถเก่งไปกว่าเอไอได้เหรอ

ทว่าสำหรับการที่ชิ่งเฉินเอาชนะชายกลางคน พวกเขาต้องประหลาดใจ ในสายตาของพวกเขา ชายกลางคนผู้นั้นจะแพ้ได้อย่างไร

ไม่ว่าจะเป็นการเล่นหมากรุกหรือว่าต่อสู้ อีกฝ่ายจะแพ้ได้อย่างไร

พูดตามตรงชิ่งเฉินก็รู้สึกทะแม่ง ๆ อยู่บ้าง ชายกลางคนผู้นี้เห็นชัด ๆ ว่าแม้แต่อวัยวะจักรกลยังไม่มี แม้แต่ลูกน้องสองคนข้างกายเขาก็ไม่มี เหตุใดในเรือนจำที่สัตว์ร้ายเหล็กกล้าอาละวาดนี้ถึงได้มีสถานะสูงส่งอย่างนี้ล่ะ

ชายหนุ่มคนนั้นที่ขวางชิ่งเฉินก่อนหน้านี้ขยิบตาให้เขา “ร้ายกาจจัง ผมชื่อว่าหลินเสี่ยวเสี้ยว เขาชื่อว่าเยี่ยหว่าน พวกเราเจอกันพรุ่งนี้นะ”

พูดจบ เขากับชายหนุ่มอีกคนที่ชื่อเยี่ยหว่านก็เดินตามรอยเท้าชายกลางคนจากไปด้วยกัน

ขณะนี้ชิ่งเฉินยังไม่รู้แม้กระทั่งว่าชายกลางคนชื่ออะไร แค่รู้ชื่อแซ่ของลูกน้องสองคน แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่เป็นการเริ่มต้นที่ดีมากแล้ว

บรรยากาศตึงเครียดบนลานส่วนรวมจนกระทั่งเมื่อครู่ที่ชายกลานคนผู้นั้นพาเยี่ยหว่านกับหลินเสี่ยวเสี้ยวไปเขตอ่านหนังสือจึงได้ค่อย ๆ คึกคักขึ้นมาในที่สุด

นักโทษที่เพิ่งจะรับน้องคนใหม่ยังคงลากคนใหม่เข้าห้องขังไม่หยุด รวมเขาด้วยแล้วทั้งหมดมีคนใหม่ 12 คน ถูกลากเข้าไป 9 คนแล้ว

เวลานี้ชิ่งเฉินมองไปทางนักโทษเหล่านั้นอีกทีกลับไม่มีคนมาสนใจเขาแล้ว

ทันใดนั้น ชายหนุ่มคนหนึ่งที่สวมขาจักรกลวิ่งมาตรงหน้าชิ่งเฉิน กล่าวอย่างแตกตื่นว่า “พวกเราล้วนเป็นคนที่เพิ่งเข้ามา คุณช่วยผม ภายหลังผมจะเชื่อฟังคุณ”

นักโทษรอบด้านล้วนมองอย่างเย็นชา ตอนนี้พวกเขายังเข้าใจสถานการณ์ไม่ชัดเจนนิดหน่อย กับชิ่งเฉินต้องไม่สามารถลงมือด้วย แต่ถ้าหากเด็กหนุ่มนี่คิดจะปกป้องคนใหม่คนอื่น งั้นพวกเขาก็ไม่เต็มใจแล้ว

ทว่าชิ่งเฉินปิดหูใส่สิ่งที่ชายหนุ่มคนนี้พูด สีหน้าราบเรียบคล้ายกับว่าอะไรล้วนไม่ได้ยินทั้งนั้น

เหล่านักโทษหัวเราะขึ้นมา บังคับลากตัวชายหนุ่มคนนี้ไป

เพียงได้ยินชายหนุ่มตะโกนดังลั่นว่า “ลุงฝั่งแม่ผมเป็นกรรมการบริษัทจ่างหมิงเมืองหมายเลข 17 นะ พวกคุณ…..”

ยังไม่ทันให้เขาพูดจบ นักโทษคนอื่นหัวเราะลั่นขึ้นมาว่า “นอกจากบริษัทใหญ่ทั้งห้า บริษัทอื่น ๆ ไม่มีค่าให้เอ่ยถึงหรอก อย่าว่าแต่แก ถึงจะเป็นลุงฝั่งแม่ของแกมาถึงในนี้ก็ยังต้องทำตัวเรียบ ๆ ร้อย ๆ”

ชิ่งเฉินฟังทั้งหมดนี้เงียบ ๆ ซึมซับข้อมูลที่มีประโยชน์ทั้งหมด เขากำลังคัดกรองสถานภาพของคนใหม่เหล่านี้ อยากจะดูว่ายังมีชาวโลกคนอื่นแอบซ่อนอยู่ในนี้หรือไม่

ตัวเขาเองทะลุมาไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับโลกใบนี้เลย ถึงตอนนี้เขายังไม่รู้แม้กระทั่งว่าตนเองถูกตัดสินโทษจำคุกกี่ปี

ชิ่งเฉินเชื่อว่าคนอื่น ๆ ก็ไม่มีความทรงจำ ดังนั้นคนอย่างชายหนุ่มคนนี้ที่สามารถบอกความสัมพันธ์กับบุคคลภายนอกคุกออกมาได้ เกรงว่าล้วนไม่ได้เป็น “คนบ้านเดียวกัน” ของตนเอง

ในชาวคุกใหม่ 12 คน ชาวโลกน่าจะมีแค่เด็กหนุ่มที่พังทลายคนนั้นกับเขาแล้ว

ไม่รู้เพราะอะไร ชิ่งเฉินไม่มีความรู้สึกหดหู่สักนิด กลับกันคือมีความคาดหวังอยู่บ้างกับชีวิตที่ไม่เหมือนเดิมโดยสิ้นเชิงของตนเอง

ชีวิตที่ไม่เหมือนเดิมโดยสิ้นเชิง

ประโยคนี้ฟังดูแล้วมีพลังเย้ายวนใจมาก

เมื่อชีวิตของคุณมันเละเทะไปแล้ว เวลานี้มีคนวางปุ่มปุ่มหนึ่งตรงหน้าคุณแล้วบอกว่า : กดสิ่งนี้ แล้วจะมีชีวิตที่ไม่ปกติธรรมดา

แต่หลังจากกดมีความเป็นไปได้สองประการ

อาจจะดียิ่งขึ้น

แล้วก็อาจจะเลวยิ่งขึ้น

คุณจะกดไม่กด

ชิ่งเฉินรู้สึกว่าตนเองน่าจะกด

บนโลกเขาเหมือนกับเป็นส่วนเกินมาโดยตลอด พ่อเกลียดว่าเขาเป็นภาระ แม่มีครอบครัวใหม่ พวกญาติ ๆ ก็ติดต่อเขาน้อยมาก

ชิ่งเฉินผ่านตรุษจีนอย่างโดดเดี่ยวมาสองครั้งแล้ว

ดังนั้น ถ้าหากจะพูดช่วงชีวิตที่ผ่านไปแล้วของเขาล้วนเป็นความหดหู่ งั้นไม่ว่าโลกใหม่จะมีอันตราย, ความไม่รู้, ความหวาดกลัวสักแค่ไหน ล้วนจะทำให้คนมีความคาดหวังอยู่บ้าง

โลกใบนี้ไม่เหมือนเดิม สำหรับชิ่งเฉินที่จากโลกมนุษย์มายังที่นี่เหมือนกับเป็นการผจญภัยของชีวิตขบถ แล้วก็เหมือนกับเป็นการปลดเปลื้องจากภาระในอดีต

ถ้าหากไม่มีความเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับการนับถอยหลังนี้ เขาก็คงจะเรียนหนังสือดี ๆ ทำงานหนักเลี้ยงตัวเอง จากนั้นอาศัยพลังความจำอันเป็นเอกลักษณ์ของตนเองสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่ดีมาก ๆ และไกลมาก ๆ ไม่หวนกลับมาอีกตลอดกาล

แต่ว่าชีวิตอย่างนั้นก็ยังคงดูจะไม่มีความหมายอะไร

เขาเชื่อว่าคนที่ทะลุมิติมากับเขาบนโลกมนุษย์มีไม่มากเลย ถึงจะมีหลายพันหรือหลายหมื่นเมื่อเทียบกับฐานประชากรแล้วล้วนเป็นอัตราส่วนที่น้อยมาก

นี่ทำให้เขารู้สึกว่าตนเองเป็นคนพิเศษ

นับถอยหลัง 39:31:29

ชิ่งเฉินสังเกตดูทุกสิ่งรอบบริเวณเงียบ ๆ เขาอยากจะบันทึกข้อมูลทั้งหมดที่ตนเองสามารถมองเห็นลงไป รอหลังจากตนเองกลับถึงห้องขังอยู่คนเดียวก็จะสามารถนำออกมาวิเคราะห์ช้า ๆ

เหนือประตูเลื่อนโลหะหนึ่งบานที่ด้านข้างกำลังมีภาพฉายโฮโลแกรมสีฟ้าระบุเวลาปัจจุบัน AM8:29

ภาพฉายสามมิตินั้นดูแล้วช่างแปลกใหม่และสะดุดตา เช้า 8 โมง 29 นาที

จะในขณะนี้เอง ชายหนุ่มคนหนึ่งฉวยจังหวะที่คนอื่น ๆ หันเหความสนใจไปแล้วพุ่งมายังข้างกายชิ่งเฉินกล่าวเสียงเบา ๆ ว่า “ในที่สุดท่านก็มาแล้ว หน้าตาดีอย่างในตำนานจริง ๆ ด้วย ผมก็คือลู่ก่วงอี้ ชิ่งเอี๋ยนจัดแจงให้ผมเข้ามาล่วงหน้าสามเดือน ท่านเรียกผมว่าเสี่ยวลู่ก็พอ”

ชิ่งเฉิน “???”

เขามองอีกฝ่ายอึ้ง ๆ ชายหนุ่มที่เรียกว่าลู่ก่วงอี้คนนี้หน้าตาคงจะประมาณ 24, 25 ปี ผมสีดำยาวหนึ่งนิ้ว แขนขวาและขาซ้ายล้วนประกอบจากอวัยวะจักรกล ดวงตายังมีดวงตาจักรกล ชิ่งเฉินถึงขนาดสามารถมองเห็นว่าในดวงตาอีกฝ่ายมีลายเส้นเกลียวที่ปรับเปลี่ยนจุดโฟกัสอยู่

อวัยวะจักรกลนี้ไม่เหมือนกับของนักโทษส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะรูปทรงเพรียวลมหรือว่าวัสดุล้วนดูคุณภาพเยี่ยมเป็นที่สุด

ชิ่งเฉินค้นความทรงจำ สืบร่องรอยการกระทำของอีกฝ่าย

ในตอนนี้ชิ่งเฉินจึงได้พบว่าลู่ก่วงอี้ถึงกับมองตนเอง 21 ครั้งแล้วในเวลาหนึ่งชั่วโมงกว่า ๆ แล้วนี่ยังเป็นการนับตอนที่อีกฝ่ายอยู่ในระยะสายตาของตนเองด้วย

ชิ่งเฉินไม่รู้ว่าคนคนนี้เป็นใคร แต่จากน้ำเสียงที่อีกฝ่ายพูดเห็นได้ชัดว่ารู้จักกับตนเอง แถมยังใช้คำเรียกขานอย่างสุภาพด้วย

ฟังจากความหมายของลู่ก่วงอี้ ที่ตนเองเข้ามาในเรือนจำป้อมปราการนี้คล้ายกับว่าเป็นแผนการอย่างอื่น

แต่ชิ่งเฉินกลัวว่าจะเปิดเผยเรื่องที่ตนเองทะลุมิติ ดังนั้นในเวลานี้จึงไม่คิดที่จะพูดคุยกับลู่ก่วงอี้มากเกินไป “ตอนนี้ผมยังไม่ต้องการให้คุณช่วย มีธุระตัวผมทำเองก็ได้แล้ว”

ศีรษะของลู่ก่วงอี้สั่นระรัวเหมือนกลองป๋องแป๋ง “ไม่ได้ ๆ ผมต้องรับใช้ท่านให้ดี”

ชิ่งเฉินก็ส่ายหน้ากล่าวว่า “เกียรติของใครก็ไม่เหนือกว่าใครทั้งนั้น คุณไม่ต้องใช้คำพูดอย่างรับใช้หรอก”

ในตอนนี้ลู่ก่วงอี้กล่าวประจบว่า “ไม่ครับ ภายหลังท่านอย่าได้ลังเลที่จะเรียกใช้ผม ท่านก็ถือซะว่าผมเป็นสุนัขเลียแข้งเลียขาของท่านได้เลย!”

ชิ่งเฉินใบ้กิน สรุปแล้วเป็นคนยังไงจึงพูดคำพูดที่ไร้ขีดจำกัดล่างสักนิดอย่างนี้ออกมาได้ “งั้นเกิดผมมีฮ่องกงฟุตล่ะ”

ลู่ก่วงอี้กล่าวยังไม่มีความอับอายสักนิดเดียวว่า “งั้นผมก็สามารถเลียท่านจนหายเลย!”

ชิ่งเฉินเงียบไปครึ่งค่อนวัน “…..ขยะแขยง”

ถึงเขาจะควบคุมตัวเองอย่างเข้มงวดไม่ให้ไปพูดจาไร้สาระ แต่ก็อดทอดถอนใจไม่ได้

ตอนนี้ชิ่งเฉินสับสนขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว ตนเองเห็นได้ชัดว่าทะลุมิติมาด้วยกันทั้งร่างกายและจิตสำนึก เหตุใดถึงได้มีมนุษยสัมพันธ์ในอดีตที่แปลกประหลาดอย่างนี้ด้วยล่ะ

พูดอีกอย่างก็คือ ในสายตาของพวกคนในโลกนี้ ตนเองจริง ๆแล้วใช้ชีวิตอยู่ที่โลกนี้มาหลายปีขนาดนั้นเลยเหรอ

ลู่ก่วงอี้เห็นชิ่งเฉินไม่พูดไม่จาก็กระซิบว่า “เช้าวันนี้ผมยังคิดอยู่ว่าท่านทำไมไม่มาหาผมเป็นอันดับแรก ผลคือท่านวางแผนใช้สถานะคนใหม่ไปตีสนิทกับหลี่ซูถง ปราดเปรื่องเกินไปแล้ว ในเรือนจำป้อมปราการหมายเลข 18 นี้ ถ้าสามารถได้รับความช่วยเหลือของหลี่ซูถง แผนการของพวกเราก็จะยิ่งราบรื่น”

ชิ่งเฉิน “…….”

แผนการอะไร

คุณพูดอะไร

พูดให้มันชัด ๆ หน่อยได้ไหม?!

ลู่ก่วงอี้พูดต่อเหมือนคุยกับตัวเองว่า “ด้านผมเข้ามาสามเดือนกว่าแล้ว แล้วก็รวบรวมคนที่สามารถใช้งานได้มากลุ่มหนึ่งให้กับท่าน ท่านวางใจเถอะ พวกเราจะไม่ทำเสียเรื่องแน่”

ชายหนุ่มพูดน้ำไหลไฟดับ

ชิ่งเฉินรู้สึกว่าลู่ก่วงอี้คนนี้เหมือนจะช่างจ้อนิดหน่อย ทว่าเขาเพียงแค่ฟังเงียบ ๆ ไม่รู้ว่าควรจะตอบรับอย่างไร

นี่คล้ายกับตอนเล่นเกม “ใครคือสายลับ” แล้วคุณหยิบได้การ์ดเปล่า ต้องรอให้ทุกคนพูดจบแล้วจึงสามารถพูดได้ ไม่อย่างนั้นเกิดข้อความที่คนอื่นหยิบได้ล้วนเป็น “ฉี่” แล้วคุณเป็นคนแรกบอกว่าสามารถดื่มได้ก็จะเกิดปัญหาใหญ่เลย

เขาค้นหาในสมอง พบว่าตอนมื้อเช้าข้างกายลู่ก่วงอี้ล้อมไปด้วยคนเป็นร้อยอย่างเหมือนมีเหมือนไม่มี ทุกคนในนั้นล้วนประกอบอวัยวะจักรกล

ดูท่าคนเหล่านี้ก็คือ “ลูกน้อง” ที่ลู่ก่วงอี้รวบรวมหลังเข้ามา

ลู่ก่วงอี้เห็นว่าชิ่งเฉินยังคงไม่พูดจึงถามเสียงค่อยอีกครั้งว่า “แต่ท่านก็ต้องระวังหลี่ซูถง คบหากับคนประเภทนี้ก็เหมือนกับหวังหนังจากเสือร้าย ดีไม่ดีจะทำให้พวกเราตกเป็นฝ่ายตั้งรับ….. ขออภัยครับ ผมพูดมากไปแล้ว”

ตอนนี้ชิ่งเฉินตระหนักแล้วว่า หลี่ซูถงที่อีกฝ่ายพูดเกรงว่าจะเป็นชายกลางคนผู้นั้น

ลู่ก่วงอี้เห็นว่าพอตนเองเข้ามาก็เดินไปหาหลี่ซูถงเล่นหมากรุกทันที ผลคือเชื่อแบบผิด ๆ ไปแล้วว่าตนเองมาพร้อมภารกิจ

แต่ที่ตนเองเข้าไปใกล้ชิดหลี่ซูถงไม่ได้เพื่อแผนการบ้าบออะไรเลย ทว่าเพื่อรักษาชีวิต

“ครั้งนี้ท่านนำคำสั่งอะไรเข้ามาครับ” ลู่ก่วงอี้ถามอย่างกะทันหัน

ชิ่งเฉินหันหน้าช้า ๆ ไปมองชายหนุ่ม “ลงใต้มาแล้วลามะ*”

ชายหนุ่ม “???”

ชิ่งเฉินหมุนตัวไปโดยไม่สนใจเขาอีก ทิ้งเอาไว้เพียงลู่ก่วงอี้ที่ยืนบื้ออยู่กับที่เอ่ยอย่างมึนงงว่า “ลงใต้มาแล้วลามะ? ลามะอะไรอะ”

……………………………………………..

เกิดความสะดุดในการแปลเล็กน้อย ทั้งภาษาอังกฤษและภาษาจีนมีคำว่า “โลก” สองแบบ คือ world กับ earth ซึ่งมีความหมายแตกต่างกัน แต่ภาษาไทยมีคำเดียวคือ โลก ทำให้เวลาแปลสองคำนี้เราไม่รู้จะแยกมันยังไงดีเลยค่ะ

ตอนที่ 7 – หนึ่ง