ตอนที่ 4 เชือกฟางเส้นสุดท้ายของเกรเทล

กบฏไร้เดียงสา

เมื่อทั้งคู่กล่าวร่ำลากันเสร็จเรียบร้อยเกรเทลก็เดินมาส่งเพื่อนสนิทขึ้นรถยนต์ส่วนตัวที่เอามาจอดไว้ข้างร้านกาแฟ ไม่นานเฮลก้าก็ขับออกไปส่วนเธอเองก็เดินออกมายืนตรงป้ายเพื่อรอรถกลับบ้าน

 

          ครืด ครืด

 

          แรงสั่นสะเทือนจากกระเป๋าสะพายทำให้ร่างบางถึงกับสะดุ้ง มือล้วงหามือถือภายใต้ข้าวของมากมาย หน้าจอแสดงชื่อผู้ติดต่อชัดเจนร่างบางกดรับสายทันที

          “ว่าไงพี่ฮันเซล”

          ‘อยู่ไหน’

          เด็กสาวตกใจแม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้ขึ้นเสียงใส่แต่น้ำเสียงกลับดูหงุดหงิดชอบกล ด้วยความกังวลว่าอีกฝ่ายจะโมโหจึงรีบบอก

          “หนูอยู่ร้านกาแฟที่ชอบมากับเฮลก้า”

          เม้มปากลุ้นว่าพี่ชายจะตอบอะไรกลับมา เธอพอเดาได้ว่าที่พี่เป็นแบบนี้คงเพราะมันเริ่มดึก

          ‘ดึกแล้วอันตราย แล้วนี่จะกลับหรือยัง?’

 

          …อย่างที่คิดไม่มีผิด…

 

          ไม่ว่าเธอจะไปไหนทำอะไรเขามักจะห่วงเธอเสมอต่อให้ทะเลาะกันบ้านแตกพี่ก็ยังทำหน้าที่ดูแลน้องสาวได้ไม่ขาดตกบกพร่อง

          “กำลังกลับ รอรถอยู่”

          ในเมื่อเขาอุตส่าห์โทรถามเรื่องอะไรเธอจะต้องประชดเขาก็บอกไปตามตรง

          ‘เดี๋ยวพี่ไปรับรออยู่ตรงนั้น หาที่สว่างหน่อยอย่าไปยืนที่มืด’

          ปลายสายมีเสียงกุกกักอะไรสักอย่าง ร่างบางคิดในใจไปแล้วว่าพี่ชายเธอคงจะรีบลุกไปหยิบกุญแจรถยนต์เพื่ออกมารับเธอแน่นอน

          โดยปกติเขากลับบ้านตรงต่อเวลาพอถึงบ้านก็จะเช็คหาน้องสาวตัวแสบก่อนเนื่องจากนิสัยที่เอาแต่ใจและดื้อจึงต้องค่อยดูแลเสมอมาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว

          “เฮ้ยพี่ไม่ต้องหนูกลับเองได้ อีกอย่างตรงป้ายก็มีคนมายืนรอรถกันเยอะแยะไม่ต้องกลัว”

          ร่างสูงชะงักทันทีที่น้องสาวพูดปฏิเสธ แม้ว่าเธอจะโตแล้วแต่เมื่อท้องฟ้ามืดระแวกแถวนั้นรถก็ชอบขับเร็วไม่ค่อยเบรคกัน คนบนท้องถนนคงถือคติว่ารีบกลับบ้านไปพักผ่อนผลที่ตามมาจึงมักมีข่าวเกิดอุบัติเหตุขึ้นอยู่บ่อย ๆ เขาอดเป็นห่วงไม่ได้

          ‘มันมืดแล้วเกรเทล’ เขาเสียงแข็ง

          “ไม่ต้องเลยพี่ พอเลย หนูยังไม่ได้คิดบัญชีกับพี่เมื่อตอนเช้านะ”

          สิ้นประโยคของน้องตัวแสบเขาต้องหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อให้ใจเย็นที่สุด รู้อยู่แก่ใจว่ามันคงจะทำให้คนตัวเล็กไม่พอใจแต่ทำไงได้ก็เขาเป็นพี่ชายเธอ

          ‘แล้วบอกเลิกมันไปยัง’

          เหมือนถูกสะกิดแผลความอัดอั้นตันใจดีดตัวขึ้นมาจนล้นอก เธอไม่ได้อยากพาลใส่พี่ชายแต่มันอยากพูดออกมาแม้ว่าพ่อบังเกิดเกล้าจะไม่รับรู้เลยก็ตาม

          “โห้ยังมีหน้ามาถามอีกนะพี่”

 

          …โกรธแล้วสินะ…

 

          ‘ขอคำตอบ’ แม้ว่าจะเสี่ยงโดนด่าแต่อย่างน้อยบอกให้เขารู้ที

          “บอกเลิกไปแล้ว พอใจหรือยังทั้งพี่ทั้งป๊าเลย นี่ชีวิตหนูนะทำไมชอบมาบงการกัน”

          ‘…’

          “หนูโตแล้วนะมีเหตุผลมากพอ ไม่ว่าอะไรหรอกถ้ามันมีเหตุผลที่เข้าใจได้”

          ยิ่งพูดออกมาเท่าไรก็ยิ่งเหมือนมีเรื่องราวมากมายพรั่งพรูออกมาไม่หมด

          ‘…’

          “แต่บางทีมันก็เยอะไป อันนั้นไม่ได้ อันนี้ไม่ได้ จนบางทีหนูก็ระแวง”

          เธออึดอัดมากรู้สึกมือไม้สั่นไปหมด

          ‘…’

          ฮันเซลยืนนิ่งอยู่ตรงประตูบ้านตั้งใจฟังเสียงปลายสาย เพื่อที่จะเก็บรายละเอียดทุกคำพูดของน้องสาว

          “ว่าถ้าเกิดหนูทำอะไรขึ้นมาจะถูกดุหรือเปล่า”

          เขารู้ว่าเธออดทนมานานหลายปี เกรเทลไม่ได้อยากเป็นเด็กมีปัญหา แต่เธอก็มักจะไปแอบทำลับหลัง จนเขานี่แหละที่ต้องคอยตามวิ่งแก้ปัญหาให้อยู่เสมอ

          เด็กสาวเงียบไปชั่วครู่สูดลมหายใจเล็กน้อย แต่ประโยคถัดมาทำให้ใจเขากระตุกแรงจนน่ากลัว

          “พี่รู้ป่ะว่าบางครั้งก็เคยคิดอยากหนีออกจากบ้านไปอยู่ไกล ๆ ที่ไหนก็ได้”

 

          …หมายความว่าไง…

 

          “หนูเหนื่อยอ่ะพี่ ไม่รู้ว่าเหนื่อยอะไรแต่มันเหนื่อยอ่ะ”

          ยิ่งพูดเสียงยิ่งสั่นแม้พยายามจะตั้งสติไม่ให้ฟุ้งซ่าน ขอบตาเริ่มร้อน เธอไม่ได้อยากอ่อนแอให้ใครเห็นแม้กระทั่งพี่ชายตนเอง คงจริงอย่างที่คนอื่นเขาพูดกันว่าอดทนมากแค่ไหนคนอื่นก็ไม่เห็นความพยายามของเราอยู่ดี

          ร่างบางสูดหายใจเข้าช้า ๆ แล้วปล่อยออกมา

          “ชีวิตหนูเหมือนไม่ใช่ชีวิตหนู หนูแค่อยากได้ชีวิตหนูแค่นั้นเอง”

          ‘…’

          ฮันเซลนิ่งงัน ไม่คิดเลยว่าตัวแสบจะน้อยใจมากขนาดนี้ นี่เขาละเลยความรู้สึกน้องมากแค่ไหนกัน ทั้งที่คิดว่าตัวเองดูแลดีที่สุดแล้ว ทั้งเอาใจ อยากได้อะไรก็พยายามหามาประเคนให้ทดแทนป๊า

          “ตลอดหลายปีมานี้หนูพยายามทำตามที่ป๊าบอกแต่ก็ทำไม่ได้ ถ้าชีวิตเราไม่ลองทำอะไรเลยมันก็จะเอาตัวไม่รอด เรื่องนี้พี่รู้ดีกว่าใครนะ”

          ทั้งที่พยายามเก็บความรู้สึกมาโดยตลอด จนกระทั่งเรื่องเมื่อวานที่ทั้งป๊าและพี่ชายไม่เข้าใจสักนิดว่าคนที่ลำบากใจที่สุดคือตัวเธอเอง ไม่มีใครสักคนถามเธอเลยว่ามันรู้สึกแย่เพียงใด

          “หนูน่ะ…”

          มือบางปาดขอบตาที่เริ่มมีน้ำใสซึม

          “หนูน่ะอิจฉาพี่มากเลยรู้ตัวไหม”

          ทางด้านชายหนุ่มกำมือถือแน่นภายในใจรู้สึกผิด อยากจะพูดขอโทษแต่ก็ไม่กล้า จึงปล่อยให้คนในสายระบายความในใจต่อไป

          “พี่ที่เกิดเป็นผู้ชาย ไม่มีใครกล้ามารังแก ไม่ต้องมาคอยเป็นห่วงจนเกินไปเหมือนผู้หญิง อยากทำอะไรก็ได้ตามใจ”

          ‘เกรเทลพี่…’

          ฮันเซลพยายามจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ถูกเกรเทลพูดกลบหมด

          “พี่ฟังนะผู้หญิงนะไม่ได้สบายอย่างที่หลายคนเข้าใจหรอกและหนูก็รู้ด้วยว่าผู้ชายก็ไม่ได้สบายเช่นกันต่างคนต่างมีความยากไม่เหมือนกัน”

          ‘…’

          “พี่ก็พยายามในส่วนของพี่ หนูก็พยายามในส่วนของหนู”

          ร่างบางก้มหน้าลงต่ำเพื่อซ่อนความอ่อนแอไม่ให้ผู้ใดเห็น ยกยิ้มน้อย ๆ ให้กับความขมขื่นของชีวิต สูดลมหายใจเข้าแล้วสะบัดหัวเพื่อเรียกสติ

          “ดูงี่เง่าเนอะพี่ที่หนูพูดแบบนี้ แต่ถ้าหนูไม่พูดออกมาคงอึดอัดจนขาดใจตายเข้าสักวัน”

          ทีแรกว่าจะทำเป็นไม่สนใจอะไรปล่อยให้มันลืมเลือนหายไปอย่างที่เคยเป็น แต่ขอแค่ครั้งนี้สักครั้งที่จะพูดความในใจออกไปบ้าง

          “หนูไม่รู้หรอกว่าพวกพี่คิดยังไง แต่หนูเบื่อแล้วนะ…ฮึก”

          ดันเผลอปล่อยให้ตัวเองสะอื้นน้ำตาไหลจึงรีบเก็บเสียงแต่ก็ไม่ทันคู่สนทนา เขารู้แล้วว่าเธอร้องไห้ความรู้สึกผิดกระหน่ำภายในจิตใจ

          ‘พี่มีเหตุผล’

          “เหตุผล? พอเถอะพี่ฮันเซล ตอนนี้หนูไม่พร้อมฟังคำแก้ตัวหรือข้ออ้างของใครทั้งนั้น”

          ความน้อยเนื้อน้อยใจกำลังเล่นงานอย่างรุนแรง รู้สึกตัวเล็กลงจนอยากหาที่ซุก

          ‘เกรเทลฟังพี่ก่อน’

          เด็กสาวส่ายหน้าเนื่องด้วยอารมณ์ที่อ่อนไหวทำให้ตอนนี้คนปลายสายพูดอะไรก็ไม่เข้าหูทั้งนั้น

          ขอแค่วันนี้วันเดียว

          ขอแค่ให้เธอสงบสติอารมณ์คนเดียว หลังจากนี้ค่อยคุยกันใหม่

          ของี่เง่าสักครั้งแล้วจะกลับไปเป็นเด็กดี

          “พี่ไม่ต้องพูดแล้ว ตอนนี้หนูขออยู่คนเดียว”

          ‘เกรเทลพี่แค่…’

 

          โครม! เคร้ง!

 

          เสียงดังสนั่นเหมือนวัตถุขนาดใหญ่ชนกันอย่างแรงตามมาด้วยเสียงกรีดร้องโหยหวนน่ากลัว วินาทีนั้นชายหนุ่มนึกถึงน้องสาวตัวเองทันที

          ‘เกรเทล! เกรเทล! ได้ยินพี่ไหม!?’

          ไร้ซึ่งการตอบกลับจากปลายสายมีแต่เสียงหวีดร้องของคนที่ไม่ทราบว่าเป็นชายหรือหญิงดังเข้ามาแทน

          ‘ฮัลโหลเกรเทล! ตอบพี่หน่อย!’

          เห็นท่าไม่ดีเขาจึงกำโทรศัพท์มือถือเปลี่ยนเป็นเปิดสปีกเกอร์โฟนแทน เพื่อที่จะได้รู้สถานการณ์แล้วรีบวิ่งไปขึ้นรถทันที

 

          …แม่งเอ้ยพระเจ้า…

 

          มือหนาหมุนพวงมาลัยเหยียบคันเร่งเพื่อไปยังจุดหมายให้เร็วที่สุด ภาวนาในใจขออย่าให้มีอะไรเกิดขึ้นกับไอตัวแสบ เขาคงไม่มีหน้าไปพบป๊ากับแม่ที่บ้าน

          ฮันเซลรู้สึกเหมือนเวลาเดินช้าลงเป็นปีทั้งที่จริงใช้เวลาแค่ยี่สิบนาทีกว่าจะมาถึงสถานที่เกิดเหตุ บริเวณโดยรอบพังพินาศ ซุ้มม้านั่งตรงป้ายรถเมล์ทล่มลงมา เสาไฟฟ้าแถวนั้นโค่นล้มหักครึ่ง รถพยาบาลและรถตำรวจจอดเรียงหลายคันรถ มีชาวบ้านแห่ออกมามุงดูกันเต็ม

          ร่างสูงรีบลงจากรถแล้วเดินไปหาเจ้าหน้าที่ตำรวจ

          “คุณตำรวจเกิดอะไรขึ้นครับ?”

          “เกิดเหตุเมาแล้วขับครับ คู่กรณีเป็นคนขับรถพ่วงแล้วดันหลับใน”

          ชายหนุ่มพูดไม่ออก ใจกระวนกระวายเป็นห่วงน้องสาว หวังแค่ว่าเธอจะไม่โดนลูกหลงไปด้วย เขาหันหลังเดินออกมาแล้วมุ่งตรงมาทางพยาบาลสาว

          “ผมมาตามหาน้องสาวผมครับเธอชื่อเกรเทล ผมสั้นทำสีบลอนด์สว่าง รูปร่างผอม”

          เขารีบอธิบายรายละเอียดคร่าว ๆ ของน้องสาว

          “ขอนึกสักครู่นะคะ”

          พยาบาลสาวยืนขมวดคิ้วบ่นพึมพำนับจำนวนคนในเหตุการณ์เมาแล้วขับ

          “อืม…จากจำนวนผู้บาดเจ็บ 20 ราย ถ้าผมสั้นทำสีรู้สึกว่าจะมีแค่คนเดียวนะคะ”

          พยาบาลสาวนึกแล้วเว้นจังหวะพูดเล็กน้อย

          “ถูกส่งตัวไปโรงพยาบาลคนแรกเลยค่ะ”

          เขาเข้าข้างความคิดตัวเองว่าอาจจะเพราะคนเจ็บเยอะเลยต้องเร่งส่งคนไปโรงพยาบาล แต่เหมือนพระเจ้ากลั่นแกล้งประโยคถัดมาทำเอาเขาหน้าซีด

          “อาการสาหัสมากจนต้องติดแถบป้ายแดง คนเห็นเหตุการณ์เล่าว่าเธอดันยืนอยู่ริมฟุตบาทพอดีเลยได้รับแรงกระแทกเยอะกว่าคนอื่นค่ะ”