ตอนที่ 5 แครอทเคี้ยวกรุบอร่อยดี

เด็กสาวผู้กลืนกินยมทูต

ศูนย์บัญชาการกองกำลังปลดแอกนครหลวง ป้อมปราการซัลวาดอร์

เหล่าทหารสัญญาบัตรชั้นผู้นำกำลังจัดตั้งการประชุมเพื่อเตรียมรับมือสงครามที่กำลังจะมาถึง

 

“หากอิงจากรายงานของฝ่ายสอดแนม ดูเหมือนว่าทัพหลังของศัตรูจะเคลื่อนผ่านที่ราบอัลเชียครับ นอกจากนี้ยังมีข้อมูลจากสายอีกด้วย ไม่ผิดพลาดแน่นอนครับ”

 

“คงจะบุกเข้ามาตรง ๆ กระมัง แผนลอบโจมตีในป่าเคยล่มไปแล้ว ต้องใช้แผนที่มันแน่นอนมากกว่าเดิมแน่ ถ้าพิจารณาจากนิสัยของพลเอกยัลเดอร์ที่เชื่อว่า ‘จำนวนคือกำลัง’ แล้ว ต้องเลือกบุกตรง ๆ แน่”

 

นักวางกลยุทธดีเนอร์พูดพึมพำพร้อมกับวางตัวหมากที่สื่อถึงกองทหารลงบนแผนที่ที่ถูกกางไว้บนโต๊ะ

 

“การก่อสร้างสิ่งนั้นล่ะ”

 

“เรากำลังก่อสร้างตามเส้นทางที่คาดการณ์ว่าศัตรูจะเดินทางผ่านอยู่ครับ คาดว่าจะเสร็จในอีกไม่ช้าครับ”

 

“พวกนั้นคงคิดว่าเราจะหาทางเล่นสกปรกเพราะกำลังพลเราน้อยกว่า ซึ่งก็จริง นี่คงเป็นเหยื่อล่อพวกกองกำลังอาณาจักรได้ดีทีเดียว”

 

“ทุกอย่างยังเป็นไปตามที่ท่านนักวางกลยุทธ์คิดไว้ ที่เหลือเป็นหน้าที่ของพวกเราแล้วสินะ ชักคันไม้คันมือแล้วสิ”

 

เบห์รูซ ผู้บัญชาการชั้นอาวุโสที่มีอายุถึงห้าสิบปี เขาเป็นชายผู้อารีที่กำลังลำบากใจกับสภาพของอาณาจักรจึงได้พากองทหารของตนไปเข้าร่วมกับกองกำลังปลดแอกด้วยตัวเอง เขาเตรียมตัวพร้อมสู้รบทุกเวลา และสามารถสังเกตสถานการณ์ในสนามรบได้อย่างใจเย็น

 

 

 

“หมายความว่า ทุกอย่างพร้อมแล้วสินะคะ”

 

 

“แต่ว่า ทุกอย่างไม่ได้เป็นไปตามแผนเสมอไปครับ เราไม่มีทางรู้ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นั่นคือสนามรบครับ”

 

ดีเนอร์เตือนอัลทูร่าที่กำลังพยักหน้าด้วยความพึงพอใจอยู่ จากนั้นอัลทูร่าก็ตอบกลับพร้อมยิ้มแห้ง ๆ ออกมา

 

“ฉันทราบค่ะ เราต้องห้ามลดการระวังลงเด็ดขาด เพราะคุณสอนมาจนฉันเอือมเลยนี่นา”

 

“เวลาที่ทุกอย่างไปได้ดี ความกล้าที่จะยืนมั่นก็เป็นสิ่งจำเป็นเช่นกันครับ หากลองย้อนไปในอดีตที่ผ่านมา คนที่ลุ่มหลงไปกับความสำเร็จจนชีวิตตนต้องล่มจมก็มีอยู่ไม่น้อย เพื่อผู้คนของเรา เราจะทำผิดพลาดซ้ำรอยไม่ได้”

 

หลังได้ฟังคำพูดนั้น เหล่าพลเอกที่นั่งเรียงรายกันต่างก็เห็นด้วยอย่างเงียบ ๆ ไม่ว่าจะผู้ปกครองที่ไร้ความสามารถ การเผด็จการ หรือความปลอดภัยสาธารณะที่ยุ่งเหยิง เราจะปลดปล่อยประชาชนจากเรื่องเหล่านี้แล้วทวงอาณาจักรอันรุ่งโรจน์กลับคืนมา นี่คือภารกิจของกองกำลังปลดแอกนครหลวง และเป็นสาเหตุที่พวกเขามีตัวตนอยู่

 

“ทางเรา จักรวรรดิ จะพยายามช่วยเหลือทุกอย่างให้ได้มากที่สุด เมื่อใดที่เจ้าหญิงได้บัลลังก์ของตนคืนมา ความสงบสุขนิรันดร์จะมาถึงทวีปมุนโดโนโวเสียที”

 

“เราต้องขอขอบคุณเจ้าชายอลันจริง ๆ ที่คอยสนับสนุนทั้งเรื่องทรัพยากร ทั้งกองทหารอาสา รวมไปถึงอาวุธเวทมนตร์ด้วย ที่พวกเราลุกขึ้นสู้ได้ถึงขนาดนี้ก็เป็นเพราะคุณเลยค่ะ”

 

“พวกเราเพียงแค่ทำตามบัญชาของฝ่าบาทเท่านั้น สิ่งที่ทำให้ท่านทรงปลื้มพระทัยก็คือความเชื่อมั่นในการดูแลประชาชนของคุณเอง อย่าได้ด้อยค่าตัวเองไปเลย ผู้ที่นำกองกำลังปลดแอกได้ไม่มีใครอื่นแล้วนอกจากคุณ”

 

“……ขอบคุณ เจ้าชายอลัน”

 

แน่นอนว่าเบื้องหน้าอย่างหนึ่ง เบื้องหลังอีกอย่างหนึ่ง ไม่มีทางที่ผู้นำของจักรวรรดิคีย์ลันด์จะมาสนับสนุนเพียงเพราะเหตุผลอ่อนต่อโลกอย่าง ‘ห่วงใยประชาชน’ อยู่แล้ว

ทางจักรวรรดิได้รับผลกระทบจากการเก็บเกี่ยวเสียครั้งใหญ่ กำลังพยายามควบคุมความสงบภายในอย่างเต็มที่อยู่ ทั้งกบฏที่โผล่ขึ้นมาบ่อย ๆ โจรที่เพิ่มมากขึ้น และค่าใช้จ่ายด้านทหารที่เพิ่มขึ้นสูง ยื้อเาไว้แทบจะไม่อยู่แล้ว อีกเพียงก้าวเดียวก็พร้อมจะปะทุออกมา

ทว่าฝ่ายศัตรูอย่างอาณาจักรยิ่งถูกผลกระทบหนักยิ่งกว่า ราชาที่ไร้ความสามารถไม่สามารถสยบความไม่พอใจได้ เรื่องความปลอดภัยสาธารณะก็แทบจะเรียกได้ว่าล่มสลายไปแล้ว เหมาะเจาะกับการที่กองกำลังปลดแอกนครหลวงลุกขึ้นสู้พอดี

โอกาสที่ดีที่สุดในการโค่นล้มอาณาจักรคือไหลตามกองกำลังปลดแอกแล้วทำการช่วยเหลือสนับสนุน

เขาวางแผนเพิ่งกำลังทหารโดยการส่งเหล่าทหารอาสากับเจ้าชายลำดับที่สองไปยังกองกำลังปลดแอก แล้วเมื่อสำเร็จเมื่อไหร่ก็เข้ารวบอำนาจ

 

อลัน ผู้ที่ถือยศเป็นผู้บัญชาการลำดับที่สองของกองกำลังปลดแอก ไม่ได้มีความคิดที่ลึกซึ้งขนาดนั้น เขาเพียงแค่ถูกเสน่ห์ของอัลทูร่าดึงดูดและกำลังพยายามช่วยเธออย่างบริสุทธิ์ใจ

อย่างไรเสีย คนที่จะได้สืบทอดบังลังก์ก็คือพี่ชายของเขา เป็นเพียงแค่ตัวสำรองเท่านั้น

 

 

“ขออนุญาตครับ! มีรายงานด่วนครับ!”

 

มีทหารนายหนึ่งทำหน้าตาตื่นเข้ามาในห้องประชุม นายพลบางคนขมวดคิ้ว แต่เมื่อเห็นนายทหารก็รับรู้ได้ว่าเป็นข่าวร้าย

 

“….เสียงดังจริง ใจเย็นลงแล้วรายงานมาซะ ทำอย่างนั้นต่อเสียทั้งเวลาทั้งพลังงาน”

 

“ขะ ครับ! ขออภัยครับ! เจ้าหน้าที่ฝ่ายข่าวกรองที่ไปตรวจสอบปราสาทย่อยอันติกัวเพิ่งจะกลับมา….”

 

“ถ้าจำไม่ผิด โบลูร์ไปดูสถานการณ์ของศัตรูเมื่อคืนสินะ”

 

“ระ เรื่องนั้น พะ พันเอกโบลูร์ถูกทหารศัตรูที่ปลอมตัวมาเป็นคนหนีทัพสังหารครับ”

 

“……….”

 

อลันมีท่าทีไม่ค่อยเชื่อนัก เขาไม่คิดว่าทหารที่แข็งแกร่งขนาดนั้นจะถูกฆ่าเอาได้ เมื่อตัดสินไปว่าคงเป็นการรายงานพลาด เขาก็เริ่มพูดออกมา

 

“บ้าบอสิ้นดี ทักษะหอกของโบลูร์ถือเป็นหนึ่งในจักรวรรดิ ไม่มีทางที่เขาจะเสียท่าให้ทหารจากอาณาจักรหรอก ไปตรวจสอบมาอีกทีสิ รายงานแบบนี้ไม่ตลกนะ”

 

“….ระ ร่างของพันเอกถูกพากลับมาด้วยครับ ผะ ผมเห็นด้วยตาตัวเอง เป็นชุดของพันเอกโบลูร์ไม่ผิดแน่ คนของฝ่ายข่าวกรองก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วย”

 

ร่างของโบลูร์มีรอยฟันหลายแห่ง หัวถูกตัดขาด ไม่มีทางรู้ได้ว่าใบหน้าสุดท้ายของเขาก่อนจะสิ้นชีพนั้นเป็นเช่นไร

 

“…..รู้หรือเปล่าว่าใครฆ่า”

 

“ระ เรื่องนั้น สมาชิกหน่วยกำลังสับสนอยู่ครับ เอาแต่พูดว่าถูกยมทูตโ๗มตีเลยสอบถามรายละเอียดไม่ได้ แล้วก็ ผู้หนีทัพจากอาณาจักรที่อยู่ในสถานที่เกิดเหตุก็ถูกจับตัวมาด้วย พวกเขาบอกว่าเป็นเด็กผู้หญิงที่ถือเคียวยักษ์―”

 

“นำทางไปที ฉันจะไปดูด้วยตาตัวเอง ยมทูตเป็นเด็กสาวคือเคียว? เหลวไหลจริง ไม่เข้าใจสักนิด”

 

“ขะ ขออภัยครับ ร่างของพันเอกอยู่ทางนี้ครับ”

 

นายทหารนำทางไป ตามด้วยอลันและเหล่าทหารสัญญาบัตรที่มาจากจักรวรรดิเพื่อสนับสนุน เมื่อเห็นเขาออกไปแล้ว นักวางกลยุทธ์ดีเนอร์ก็เปิดปากออก

 

“เจ้าหญิง นี่ล่ะครับคือสนามรบ ทุกคนต่างก็เอาชีวิตไปเสี่ยงทั้งนั้น เพื่อนสนิท คนรัก พ่อแม่หรือพี่น้อง จู่ ๆ ก็กลายเป็นศพพูดไม่ได้เพียงแค่ในพริบตาเดียว ท่านพร้อมที่จะรับความโศกเศ้ราที่จะถาโถมเข้ามาหรือเปล่าครับ?”

 

“―แน่นอนค่ะ ฉันต้องก้าวผ่านเลือดและเนื้อมากมาย พร้อมกันนั้นฉันก็ต้องลดจำนวนผู้เสียหายให้ได้มากที่สุด นั่นคือหน้าที่ของฉันในฐานะผู้นำของกองกำลังปลดแอก และภารกิจในฐานะเชื้อพระวงค์ค่ะ ฉันไม่มีทางหันหลังหนีแน่นอน”

 

อัลทูร่าวางมือลงบนหน้าอกของเธอแล้วหลับตาลง

 

“พวกเรา ทหารเสนาฯ นายพล รวมทั้งพลทหาร จะขอทำทุกสิ่งอย่างสุดกำลังเพื่อทำให้ภาพฝันของเจ้าหญิงเป็นจริงครับ”

 

เมื่อดีเนอร์ก้มหัวลง เหล่าทหารคนอื่น ๆ ต่างก็ยกมือแล้วตะโกนออกมา

 

“ชัยชนะแด่กองกำลังปลดแอกนครหลวง”

 

“ความสงบสุขแต่อาณาจักร”

 

“เจ้าหญิงอัลทูร่าทรงยิ่งยืนนาน”

 

 

 

―กองกำลังปลดแอกนครหลวง มุ่งหน้าไปยังที่ราบอัลเชีย

 

 

 

 

 

 

 

กองทัพที่ 3 ที่กำลังเดินทางไปยังที่ราบอัลเชีย

ซิดาโม่รายงานกับพลเอกยัลเดอร์

 

“อ้างอิงจากราบงานของฝ่ายสอดแนม ดูเหมือนว่ากองกำลังหลักของศัตรูเองก็ออกเดินทางมายังที่ราบอัลเชียเช่นกันครับ”

 

“งั้นรึ แทนที่จะโดนบีบแล้วขยี้ตายไปเลย พวกมันเลือกที่จะมาพ่ายแพ้ย่อยยับที่ทุ่งราบสินะ สบายขึ้นเยอะเลยนี่!”

 

“มีรายงานว่าหน่วยลาดตระเวนของศัตรูกำลังสร้างอะไรบางอย่างอยู่ด้วยครับ แต่ว่าไม่ทราบรายละเอียด”

 

“มันกำลังขุดหลุมดักอยู่รึ?”

 

“ไม่ทราบครับ แต่เหมือนว่าจะใช้กำลังคนเยอะทีเดียว”

 

เส้นทางไปยังป้อมปราการซัลวาดอร์มีอยู่หลายเส้นทาง ไม่ว่าจะผ่านที่ราบ ผ่านพื้นที่ป่า หรืออ้อมข้ามแม่น้ำอัลเชีย

กองทัพของจีร่าที่ถูกทำลายไปไม่กี่วันก่อนได้ถูกโจมตีทีเผลอในป่า ถ้าหากจะหลีกเลี่ยงกับดักทั้งหมดคงใช้เวลามากกว่าเดิมมาก

นี่เป็นเส้นทางที่ทัพ 3 ที่มีอาหารน้อยไม่อยากเดินทัพนัก แถมยังต้องเสี่ยงข้ามแม่น้ำอีกด้วย

 

“ไม่จำเป็นต้องอ้อมไปไหนทั้งนั้นหรอกครับ กองพลเหล็กกล้าเกราะหนักของเราจะขยี้มันให้หมด!”

 

“ใช่แล้ว การที่มันต้องวางกับดักแปลว่ามันกำลังแย่แล้ว แค่โจมตีไปธรรมดาก็เกินพอครับ”

 

พลตรีคูรอช ผู้บัญชากองทหารม้าหนักและพลตรีดานัชผู้บัญชาการทหารราบเกราะหนักได้ให้คำแนะนำออกมา เนื่องจากพวกเขามาจากตระกูลมีชื่อ ในอนาคตต้องได้เลื่อนขั้นเป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้ว หากต้องการจะชนะศึกระหว่างฝ่าย ตนก็จำเป็นต้องทำผลงานให้ได้ไม่ว่าด้วยทางใดก็ตาม ภายในลึก ๆ ก็กำลังแอบยิ้มอยู่เพราะจีร่า หนึ่งในคู่แข่ง ได้ทำลายตัวเองไปก่อนแล้ว

 

“อืม ไม่คุ้มให้พวกเราอ้อมไปจริง ๆ อันที่จริงการข้ามแม่น้ำถือว่าอันตรายกว่าด้วยซ้ำ ตามที่ตำราสงครามว่าไว้ เราจะถูกลอบโจมตีได้หากเราไร้การป้องกัน”

 

“รับทราบครับ”

 

“ปราดเปรื่องมากครับ ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาเลย”

 

“…..จะว่าไปซิดาโม่ ทัพแยกพิเศษที่แกตั้งขึ้นมานั่นเป็นยังไง”

 

“ครับ กองทหารม้าเบา 3000 นายที่ท่านได้ฝากฝังมาได้ถูกส่งออกไปแล้วครับ พวกเขาจะเดินทัพผ่านพื้นที่ป่าเดียวกับเมื่อครั้งก่อน เล็งเป้าไปที่คลังเก็บเสบียงศัตรูครับ”

 

เขาได้จัดตั้งทัพพิเศษที่มีทหารม้า 3000 นายขึ้นมา ส่งแยกไปอีกทางจากทัพหลัก ให่พวกเขาพุ่งเป้าไปยังที่เก็บอาหาร เป็นแผนที่ใช้ประโยชน์จากการที่เคยลอบโจมตีไม่สำเร็จไปครั้งนึง อีกฝ่ายคงคาดไม่ถึงว่าจะใช้วิธีเดิมอีกครั้ง

ถึงแม้จะถูกอ่านแผนนี้ได้ ศัตรูก็อาจต้องแบ่งกำลังไป ถือเป็นกลยุทธ์ที่ไร้ข้อเสีย

 

“เยี่ยมมาก ถ้าแผนได้ผลก็ดีไป แต่ต่อให้โดนอ่านออกมันก็ต้องแบ่งกองกำลังพวกกบฏที่เล็กอยู่แล้วของมันไปอีก แผนที่เราไม่สูญเสียอะไร ยอดเยี่ยมมาก หัวหน้าทหารเสนาธิการซิดาโม่ เช่นนี้เราชนะแน่นอนล่ะนะ”

 

“เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับคำชมจากท่านครับ นอกจากนี้ ผมได้ส่งทหารที่สังหารพันเอกโบลูร์ของฝ่ายจักรวรรดิไปรับหน้าที่รองผู้บังคับหน่วยตามความเห็นของผมด้วยครับ ถึงแม้นางจะไม่มีประสบการณ์ด้านคุมทัพนักแต่มีฝีมืออย่างมาก ต้องเป็นประโยชน์แก่ท่านได้แน่”

 

แม้จะเป็นเรื่องแปลก แต่เขาก็ได้เสนอให้นายทหารยศร้อยตรีไปเป็นรองผู้บังคับหน่วยแยก ซิดาโม่คาดหวังในความสามารถการต่อสู้อันเหลือล้น ไม่ใช่ความสามารถในการคุมทัพ

 

“โฮ่ เช่นนั้นจะตั้งตารอเลย หลังจบศึกนี้คงต้องเลื่อนยศให้แล้วสินะ แต่ว่าเจ้าคนจากจักรวรรดิที่อุตส่าห์มาถึงที่นี่แต่กลับโดนทหารคนเดียวฆ่านี่คงไม่เท่าไหร่กระมัง หรือว่าทัพหลวงของเราแกร่งเกินไปกันนะ”

 

ยัลเดอร์หัวเราะร่าออกมา เมื่อเห็นหัวของโบลูร์ ความอับอายจากการแพ้เมื่อครั้งก่อนก็สลายไป หลังจากเขาเตะหัวออกไปสุดแรงก็หยิบแอลกอฮอล์ขึ้นมาดื่มอย่างอารมณ์ดี

 

“เหล่าทหารหลวงของพวกเรามีฝีมือเป็นเลิศ ทุกอย่างเป็นผลจากการฝึกฝนทุกวันและคำแนะนำของใต้เท้าครับ”

 

“ยังไงซะพวกทหารกบฏที่รวมตัวกันมั่ว ๆ ก็ไม่ต่างอะไรพวกกองโจร คนจากจักรวรรดิที่ไปเข้าร่วมกับพวกกบฏก็มีแต่ทหารกระจอกกับนายพลโง่ ๆ เท่านั้นล่ะครับ ไม่มีทางที่พวกมันจะชนะยอดหัวกระทิของอาณาจักรอย่างพวกเราได้หรอก เพราะท่านยัลเดอร์ พลเอกที่แข็งแกร่งที่สุดในอาณาจักรกำลังนำทัพอยู่นี่นา”

 

“ฮ่าฮ่าฮ่า! พวกเจ้านี่เยินยอเก่งกันจริง ๆ ! หลังโค่นพวกกบฏได้เสร็จ ต่อไปก็ถึงคราวของจักรวรรดิ แล้วหลังเรารวมสหพันธ์เข้าอีกครั้ง พวกเราอาณาจักรยูซก็จะรวมทวีปนี้เป็นหนึ่ง!”

 

“ท่านยัลเดอร์ต้องได้ขึ้นเป็นจอมพลเป็นแน่ ทัพที่ 3 จะพิสูจน์ว่าเรายอดเยี่ยมที่สุดในอาณาจักรเอง”

 

“จอมพลชารอคห์เองก็อายุมากแล้ว จากนี้ไปศูนย์กลางของอาณาจักรจะเป็นใครไปไม่ได้นอกเสียจากท่านยัลเดอร์ เราขอถวายความภัคดีแก่ท่านยิ่งกว่าเดิมครับ”

 

คูรอชและดานัชพูดเสริม

 

“ท่านจะได้เป็นวีรบุรุษแห่งอาณาจักรอย่างแน่นอน”

 

ซิดาโม่เองก็ยอมแพ้ไม่ได้ ยัลเดอร์ต้องขึ้นไปอยู่ ณ จุดสูงสุดเพื่อการฟื้นฟูชื่อตระกูลอาร์ทกลับขึ้นมาอีกครั้ง เพื่อการล้างชื่อของพี่ชายที่เสียไป เขาต้องทำให้ได้

เพราะเหตุนั้น เขาจึงยอมทิ้งเกียรติยศใด ๆ ทั้งหมดและเลื่อนขั้นมาถึงจุด ๆ นี้

 

“ฉันจะจดจำผลงานของพวกเจ้าไว้ ไปชนะด้วยกัน!”

 

“ครับ!!”

 

 

 

 

 

 

―กองทัพที่ 3 ของอาณาจักรได้มุ่งหน้าไปยังที่ราบอัลเชียตามที่วางแผนไว้

กองทหารม้าเบาที่เชอร่าประจำอยู่ กำลังวิ่งผ่านพื้นที่ป่าทางตอนเหนือไปยังสถานที่เก็บอาหารของกองกำลังปลดแอก จำนวน 3000 นาย

 

 

 

“นี่ รองผู้บังคับหน่วยเชอร่า ระหว่างขี่ม้าอยู่ไม่หยุดกินสักหน่อยล่ะ”

 

ชายหนุ่มที่กำลังขี่ม้าอยู่ข้าง ๆ ได้ถามเชอร่า

 

“ตอนที่กินได้ก็กิน นี่คือคติของฉันค่ะ ถ้าหิวอยู่ก็สู้เต็มแรงไม่ได้ ต้องขออภัยด้วยแต่ฉันทำตามคำสั่งไม่ได้ค่ะ”

 

“มันก็ไม่ใช่คำสั่งหรอก แต่…….เอาเถอะ ฉันหวังความสามารถที่เอาชนะโบลูร์ได้ของเธอไว้สูงนะ เพราะเธอได้รับการเสนอจากหัวหน้าทหารเสนาธิการซิดาโม่มาโดยตรงก็พยายามให้เต็มที่เข้าล่ะ”

 

ผู้บัญชาทหารม้ายังรู้สึกกังขาอยู่ แต่เนื่องจากหัวหน้าทหารเสนาธิการเป็นคนพูดมาเองก็ไม่จำเป็นต้องสงสัยอะไร

ทักษะการขี่ม้าของเธอก็สมบูรณ์แบบ ไม่ถ่วงการเดินทัพแม้แต่น้อย ต่อให้เทียบกับทหารม้านายอื่นก็ไม่ด้อยไปกว่ากันเลย แม้เขาจะสงสัยว่าได้ทักษะนี้มาจากไหนแต่ก็ไม่ได้ถามออกไป ในฐานะผู้บังคับบัญชาแล้วไม่มีอะไรดีไปกว่าลูกน้องฝีมือดี ถ้าใช้งานไม่ได้ก็มีแต่ไปตายเองหรือโดนไล่ออกเท่านั้น

 

“ค่ะ!”

 

ระหว่างที่ทำความเคารพอยู่ เชอร่าก็ควักแครอทหั่นออกมากินเหมือนกระต่าย ผิวของม้าสีฟ้าที่เชอร่าขี่อยู่สะท้อนแสงแดดและเหงื่อออกมาอ่อน ๆ