บทที่ 4 ลอบสังหาร (ปลาย)

เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙]

บทที่ 4 ลอบสังหาร (ปลาย)

เมื่อรู้ว่าตัวเองหลงกลของชายหนุ่มตรงหน้าเข้า เสวี่ยเอ๋อร์ก็เริ่มโคจรพลังของตัวเองเพื่อเอาชนะอีกฝ่ายโดยสัญชาตญาณทันที แต่ทันทีที่นางเปิดปากออก นางก็ต้องสำลักน้ำเข้าไปอึกใหญ่

แค่ก! แค่ก!

ถึงแม้ว่านางจะสามารถใช้วรยุทธ์ได้ แต่นี่ก็เป็นยุคที่แทบไม่มีผู้หญิงคนไหนรู้จักวิธีว่ายน้ำเลย ดังนั้นภายในเวลาไม่กี่นาที นางจึงสำลักน้ำไปหลายครั้ง สาวใช้ตัวแสบพยายามพาตัวเองกลับไปที่ขอบสระอย่างยากลำบาก แต่นางกลับไม่สามารถไปถึงที่นั่นได้

เมื่ออยู่ในอาการตื่นตระหนก หญิงสาวก็กระตุกมือและส่งแถบผ้าสีขาวอีกเส้นออกไป คล้องมันเข้ากับเสาของศาลาที่ตั้งอยู่ใกล้ขอบสระ แต่ในขณะที่นางกำลังจะใช้มันเพื่อดึงตัวเองกลับไปที่ฝั่ง ซูอันก็คว้าจับตัวนางไว้ด้วยแขนและขาทั้งสองข้างของเขา ซ้ำยังเกาะติดเหมือนปลาหมึกจนนางไม่สามารถออกแรงหนีได้

เสวี่ยเอ๋อร์ทั้งรู้สึกอับอายและโกรธแค้นเป็นอย่างมากที่อีกฝ่ายใช้ตัวมาแนบชิดกับร่างของตน นางพยายามดิ้นสุดแรง แต่ทักษะในการว่ายน้ำของซูอันนั้นมีมากเกินไป ขณะที่นางอยู่ในวงล้อมของอีกฝ่าย ร่างของทั้งคู่ก็ลงดิ่งลงไปเรื่อย ๆ หลังจากที่สำลักน้ำอยู่หลายครั้ง สติของนางก็เริ่มพร่าเลือน

ซูอันเองก็สัมผัสได้ว่าแรงดิ้นของคนในอ้อมแขนของเขาเริ่มเบาลง เมื่อเขาแน่ใจว่าอีกฝ่ายหมดฤทธิ์แล้ว จึงพาร่างบางขึ้นจากน้ำในทันที

เมื่อขึ้นมาบนฝั่ง ซูอัน เพ่งพินิจสำรวจไปที่ เสวี่ยเอ๋อร์อย่างใกล้ชิดพร้อมกับคิดในใจ ดูจากภายนอกนั้นนางไม่ต่างอะไรกับผู้หญิงที่บอบบางน่าทะนุถนอม แต่ทำไมกลับมีปากคอที่ร้ายกาจแถมจิตใจยังอำมหิตอีก ดูเหมือนว่าการที่นางนอนสลบแบบนี้มันจะดูดีกว่าที่ตอนที่นางตื่นเป็นสิบเท่า!

“ทีนี้จะทำยังไงต่อดีล่ะเนี่ยเรา?” ซูอันพึมพำกับตัวเอง พยายามนึกถึงความเป็นไปได้ทั้งหมด เป็นไปได้ว่ามีใครบางคนในคฤหาสน์ต้องการที่จะฆ่าเขา การอยู่ที่นี่มันอันตรายเกินไป แต่ถ้าหากเขาจะหนี…

ต่อให้เขาออกไปจากรั้วของคฤหาสน์ได้ นอกจากจะไม่มีเงินแล้ว เขาก็ยังไม่รู้ข้อมูลอะไรเกี่ยวกับโลกนี้เลยด้วย ฉะนั้นหากเขาออกไปทั้งแบบนี้เขาคงจะตายในเวลาไม่กี่วันแน่ ๆ

แต่แล้วเมื่อนึกย้อนไปอีกถึงเหตุการณ์ที่เจ้าของร่างคนก่อนได้ทำเอาไว้เมื่อวานนี้ แล้วถ้าวันนี้เขาฆ่าคนอีก ทางการจะต้องจัดให้เขาอยู่ในกลุ่มอาชญากรแน่ ๆ!

แต่เดี๋ยวก่อนนะ…ในเมื่อมีคนต้องการที่จะทำให้การตายของเขาดูเหมือนอุบัติเหตุ มันก็หมายความว่าคนพวกนั้นไม่กล้าที่จะฆ่าเขาอย่างเปิดเผยงั้นสิ?!

ดี! งั้นเรามาพนันกัน!

ซูอันโน้มลงไป เอาหูของตัวเองแนบบนอกของอีกฝ่าย ไม่มีเสียงหัวใจเต้น! ชายหนุ่มตกตะลึงและรีบทำ CPR ปั๊มหัวใจให้อีกฝ่ายเพื่อที่จะช่วยให้ชีพจรของเสวี่ยเอ๋อร์กลับมาเต้นอีกครั้ง

ขณะที่คลายเสื้อคลุมของหญิงสาวออก ผลไม้ ถั่วและของว่างอื่น ๆ ก็ร่วงออกมา ชายหนุ่มมึนงงเป็นอย่างมากเมื่อเห็นสิ่งนี้ “กินเยอะขนาดนี้ ทำไมนางถึงยังผอมแบบนี้?” แต่มันก็ไม่ใช่เวลาให้เขามาสงสัยอะไรไปมากกว่านี้ เขาวางมือทั้งสองข้างลงบนอกของคนที่ยังไม่ได้สติและเริ่มทำ CPR ทันที

แต่หลังจากที่ปั๊มหัวใจไปประมาณ 20 ครั้ง เสวี่ยเอ๋อร์ก็ยังไม่ตอบสนองอะไรเลยสักนิด จังหวะที่เขากำลังจะช่วยชีวิตแบบปากต่อปาก เขาก็ได้ยินน้ำเสียงเย็นยะเยือกดังมาจากด้านหลัง “นั่นเจ้ากำลังทำอะไร?”

เมื่อหันกลับไปมอง ซูอันก็เห็นใบหน้าเย็นชาของฉู่ชูเหยียนยืนอยู่ใกล้ เขาจึงก้มหน้าไปมองเสวี่ยเอ๋อร์ทันที ผมของอีกฝ่ายยุ่งเหยิง เสื้อตัวนอกของนางถูกถอดออกเผยให้เห็นชุดเสื้อผ้าด้านในและผิวสีซีด…แถมมือของเขายังวางอยู่บนอกของอีกฝ่ายด้วย!

“เอ่อ…ถ้าข้าบอกเจ้าว่าข้ากำลังพยายามช่วยชีวิตนางอยู่ เจ้าจะเชื่อข้าหรือไม่?” ซูอันเอ่ยอย่างจริงจัง ในขณะเดียวกัน เขาก็ปั๊มหัวใจคนที่นอนอยู่ต่อ

ฉู่ชูเหยียนจึงเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายพร้อมกับกล่าวด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง “ถอยไป” นางประเมินอาการของเสวี่ยเอ๋อร์อยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นนางจึงเริ่มแตะจุดต่าง ๆ บนร่างกายของ เสวี่ยเอ๋อร์ ที่ยังไม่ได้สติอย่างรวดเร็วเสียจนซูอัน มองตามแทบไม่ทัน

เขาต้องขยี้ตาตัวเองอย่างอดไม่ได้ แม่เจ้า! ภรรยาของเขามีวรยุทธด้วยเหรอเนี่ย? ! แต่มันก็ดูสมเหตุสมผลดีเหมือนกันเพราะขนาดสาวใช้อย่างเสวี่ยเอ๋อร์ยังเป็นวรยุทธ์แล้ว ภรรยาของเขาที่เป็นถึงลูกสาวท่านอ๋องจะไม่เป็นวรยุทธ์ได้ยังไง?

เอ…หรือว่าหนึ่งในคนที่อยากให้เขาตายจะเป็นหญิงสาวตรงหน้า?

“คุณภรรยาที่รัก เจ้าสามารถใช้วรยุทธได้เชี่ยวชาญถึงระดับไหน?” ซูอันถามอย่างสงสัย

แค่ก! แค่ก! ทันใดนั้นเองเสวี่ยเอ๋อร์ก็เริ่มสำลักน้ำออกมา ซึ่งนั่นหมายความว่านางปลอดภัยแล้ว ฉู่ชูเหยียนจึงช่วยลูบหลังของอีกฝ่ายเบา ๆ จากนั้นจึงหันไปจ้องหน้าซูอัน “เมื่อครู่เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ?”

“เอ่อ…ที่รัก?” ซูอันสั่นระริกและรีบเปลี่ยนคำเรียกที่ตนใช้เรียกอีกฝ่ายทันที

สายตาของหญิงสาวเปลี่ยนเป็นเย็นชา นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ “ข้าเคยบอกเจ้าไปแล้วตั้งแต่ก่อนแต่งงานว่าต่อไปเจ้าจะต้องเรียกข้าว่าคุณหนูหรือว่าฉู่ชูเหยียน ห้ามเรียกข้าด้วยคำพวกนั้นเด็ดขาด”

“เข้าใจแล้วที่รัก!” ชายหนุ่มรีบตอบตกลงทันที “แล้วสรุปว่าเจ้าใช้วรยุทธได้เก่งแค่ไหน? เจ้าอยู่อันดับที่เท่าไหร่?”

“วรยุทธ? เจ้าหมายถึงการบ่มเพาะรึเปล่า?” ฉู่ชูเหยียนขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่นางก็ยังตอบคำถามของอีกฝ่าย “โลกใบนี้กว้างใหญ่นัก ไม่ว่าเจ้าจะแข็งแกร่งแค่ไหน มันก็จะยังมีคนที่แข็งแกร่งกว่าเจ้าอยู่เสมอ เหนือฟ้ายังมีฟ้า ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าตัวเองอยู่ ‘อันดับ’ ที่เท่าไหร่?”

ซูอันพึมพำ “งั้นข้าขอเดาว่าฝีมือเจ้าคงจะไม่ได้เรื่อง”

ฉู่ชูเหยียนที่ได้ฟังแบบนั้นก็สูดหายใจเข้าจนเต็มปอด แต่ก่อนที่นางจะได้เอ่ยอะไร ซูอันก็เอ่ยต่อ “ไม่ต้องห่วง! ในเมื่อตอนนี้เราเป็นครอบครัวเดียวกัน ข้าก็จะไม่ดูถูกเจ้า เอาแบบนี้เป็นไง? ทำไมเจ้าไม่สอนให้ข้าบ่มเพาะได้บ้างล่ะ? ! ว่าแต่เจ้าพอจะรู้ไอ้พวกวิธีการบ่มเพาะอะไรที่มันสามารถทำให้คน ๆ หนึ่งสามารถเดินเหินในอากาศได้ภายในหนึ่งปีโดยที่คนปกติจะต้องใช้เวลาสิบปีบ้างรึเปล่า? หรือเป็นการโจมตีแบบถล่มภูเขาให้หายไปได้ทั้งลูกได้ในเวลาสั้น ๆ ก็ได้” เนื้อเรื่องของตัวเอกในนิยายมันควรจะได้รับวิชาอะไรเทือกนั้นอยู่แล้ว…ถูกไหม?

มันชัดเจนอยู่แล้วว่ามีใครบางคนในที่นี้ต้องการจะฆ่าเขา ดังนั้นถ้าหากเขาได้เรียนรู้วรยุทธ์หรือการบ่มเพาะที่คนที่นี่เขาเรียกกันมันก็คงจะทำให้เขาสามารถปกป้องตัวเองได้แถมยังส่งผลดีกับเขาในการไปสำรวจดินแดนลึกลับทั้ง 12 แห่งในอนาคต

“ไม่มีวิชาอะไรแบบนั้นหรอก!” ฉู่ชูเหยียน ตอบเหมือนตวาดเขากลาย ๆ “หรือต่อให้มันจะมี เจ้าก็ไม่มีคุณสมบัติพอจะเรียนรู้มันได้อยู่ดี”

“ไม่มีทาง!” ชายหนุ่มรีบลุกยืนขึ้นทันที “ข้าเชื่อว่าข้าคือผู้ที่มีพรสวรรค์ที่หมื่นปีจะมีขึ้นสักคนหนึ่ง! ข้าว่าไม่ใช่เจ้าไม่มีหรอกแต่เจ้าแค่ขี้เหนียวไม่อยากสอนมันให้ข้ามากกว่า”

เมื่อหญิงสาวได้ยินแบบนั้นนางจึงเอ่ยว่า “ผู้บ่มเพาะทั้งหมดในโลกนี้เริ่มบ่มเพาะตั้งแต่พวกเขายังอยู่ในวัยเยาว์เพราะร่างกายของมนุษย์ในวัยเยาว์เจ้าจะมีธาตุต่าง ๆ อยู่ในร่างกายเป็นจำนวนมากและยังสามารถสร้างเสริมสิ่งต่าง ๆ เข้าไปได้โดยง่าย แต่ตอนนี้เจ้าโตเป็นผู้ใหญ่แล้วซึ่งมันทำให้ร่างกายของเจ้ายากต่อการพัฒนาดังนั้นการเสียทรัพยากรให้เจ้าเพื่อบ่มพาะมันจึงเป็นสิ่งที่เปล่าประโยชน์ นอกจากนี้พรสวรรค์ของเจ้าก็อยู่ในขั้นต่ำ แค่ระดับ 4 เท่านั้น ต่อให้เจ้าฝึกฝนตั้งแต่วัยเด็ก มันก็หมดหวังอยู่ดี” ฉู่ชูเหยียนส่ายหน้าเล็กน้อย

ขั้นต่ำ? ระดับ4? นั่นมันระดับบ้าอะไรกัน?

เขาบอกได้เลยว่ามันไม่ใช่การวัดระดับที่ดีพอ แต่ซูอันก็ไม่ได้สนใจอะไรนัก พวกตัวหลักในนิยายส่วนใหญ่มันก็เริ่มด้วยระดับที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดินอยู่แล้วนี่..ใช่ไหม?

พวกเขาแค่ต้องหาทักษะฝึกฝนที่เหมาะกับตัวเอง ดังนั้นนี่จึงถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี เริ่มต้นด้วยระดับของขยะ หากมองให้ดี ๆ มันก็หมายความว่าเขาได้ทำตามข้อกำหนดเบื้องต้นแล้วครึ่งหนึ่งของการเป็นตัวละครหลัก

เมื่อเสวี่ยเอ๋อร์เริ่มได้สติ ฉู่ชูเหยียนก็ไม่ได้สนใจซูอันอีกต่อไป “เสวี่ยเอ๋อร์ ก่อนหน้านี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”