ตอนที่ 8 เอาตัวรอดจากท่านฮัชชาคุ

[นิยายแปล] ฝ่าปริศนา ตะลุยโลกเบื้องหลัง

“จริงๆ ตอนแรก ซัทสึกิก็เป็นเพื่อนของฉันล่ะนะ”

 

คุณโคซากุระอธิบายพลางจิบโคล่าอุ่นไปด้วย

 

“พวกเราเป็นเพื่อนร่วมชั้นในมหาลัย ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเธอไปรู้เรื่องนั้นมาจากไหน แต่เธอก็รับรู้ถึงการมีอยู่ของอีกโลกนึง แล้วก็ลากฉันมาเข้า ‘กลุ่มวิจัยร่วม’ ในงานวิจัยในเรื่องนี้น่ะ”

 

งั้นนี่แปลว่า ผู้หญิงที่ฉันไม่รู้อายุคนนี้นี่ อย่างน้อยก็ต้องแก่พอจะเรียนมหาลัยแล้วสินะเนี่ย?

 

“แสดงว่า คุณโคซากุระ คุณก็ เออ… เคยเข้าไปที่โลกเบื้องหลังมาแล้วเหรอคะ?”

“ไม่ล่ะ ฉันแทบไม่เคยเข้าไปที่นั่นเองเลย จริงๆ ฉันก็คอยเตือนเธออยู่ตลอดว่าอย่าทำเลยนะ เพราะมันอันตราย ไม่นานหลังจากที่ฉันทำแบบนั้นไป เธอก็มาบอกว่าหาตัวผู้ช่วยไฟแรงได้แล้ว ก่อนจะดึงตัวโทริโกะเข้ามา”

 

พอฉันหันไปมองที่เธอ โทริโกะก็เล่าเรื่องต่อให้แทน

 

“ซัทสึกิเป็นครูสอนพิเศษของฉันน่ะ ฉันไม่ได้เรียนมัธยมที่ญี่ปุ่น ก็เลยเข้ามหาลัยด้วยการสอบเทียบแทน เรารู้จักกันตอนนั้น แล้วต่อมา เธอก็เริ่มสอนอะไรที่มากกว่าเรื่องเรียนให้ ― เธอเริ่มสอนฉันเรื่องของโลกเบื้องหลัง และสุดท้าย ฉันก็ไปร่วมสำรวจที่นั่นกับเธอด้วย…”

 

คิ้วของโทริโกะก็ย่นเข้ามาด้วยสีหน้าเศร้าๆ แต่เธอก็ยังพูดต่อ

 

“ฉันว่า น่าจะซัก 3 เดือนก่อนล่ะมั้ง ที่จู่ๆ เธอก็เลิกติดต่อกับฉันไป ฉันคิดว่าเธออาจจะไปได้รับบาดเจ็บอยู่ที่โลกเบื้องหลังก็ได้ เพราะงั้น ฉันก็เลยออกสำรวจคนเดียวอยู่หลายครั้งดู แต่ว่า…”

“ก็บอกแล้วไม่ใช่หรือไง ว่าไปคนเดียวน่ะมันบ้าบิ่นมากน่ะ”

 

คุณโคซากุระพูดออกมาอย่างไม่พอใจ

 

“โธ่ เธอเป็นเพื่อนฉันนะ ไม่ว่ายังไง ถ้าเกิดเธอกำลังตกอยู่ในปัญหาล่ะก็ ฉันก็ต้องไปช่วยเธอสิ ― ใช่มั้ยล่ะ?”

 

โทริโกะพูดออกมาราวกับว่าเรื่องนั้นเป็นเรื่องแน่นอนอย่างไม่ต้องสงสัยเลย พอเห็นความตั้งใจอันแรงกล้าที่ฉายอยู่ในตาของเธอแล้ว ฉันก็เบือนหน้าหนีด้วยความรู้สึกสมเพชตัวเอง

…ครูสอนพิเศษ กับเพื่อนคนสำคัญของเธอ เหรอ

ไม่เข้าใจเลย ทำไมฉันถึงรู้สึกโกรธล่ะ

ฉันพูดกับคุณโคซากุระโดยไม่ได้เหลือบไปมองโทริโกะเลย

 

“คุณโคซากุระคะ โลกเบื้องหลัง โลกอีกใบนั่นมันคืออะไรกันแน่น่ะคะ?”

 

ฉันพูดได้ตามปกติแล้วแฮะ พอโมโหแล้ว ก็ดูเหมือนว่าปากของฉันมันจะขยับได้ง่ายขึ้น แถมยังมีแรงกระตุ้นในการพูดอย่างจริงจังเลยด้วย บางที ฉันควรจะโกรธเอาไว้อยู่ตลอดเวลาเลยดีมั้ยเนี่ย

 

“แล้วเธอคิดว่าไงล่ะ?”

 

คุณโคซากุระถามฉันกลับซะงั้น

 

“ฉัน… ตอนแรก ฉันนึกว่ามันเป็นภาพลวงตาที่ฉันเห็นอยู่คนเดียว ฉันกังวลว่ามันเป็นแบบนั้นมาตลอดเลย จนกระทั่งฉันได้รู้ว่า คนอื่นก็เข้าไปที่โลกนั้นได้เหมือนกัน”

“แบบนี้เอง มันไม่ใช่ว่ามีหลายคนเห็นภาพหลอนแบบเดียวกันหรอก ถ้าเกิดรองเท้าเธอไปย้ำโคลนจากที่นั่น พอกลับมาแล้ว โคลนที่เปื้อนนั่นก็ยังอยู่ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นที่นั่นก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นอะไร นั่นก็คือความจริง”

 

คุณโคซากุระวางแก้วในมือตรงที่ว่างๆ บนโต๊ะ ก่อนจะโน้มตัวเข้ามาใกล้

 

“โลกใบนั้น ดูเหมือนจะเชื่อมโยงกับสติการรับรู้ของมนุษย์อย่างใกล้ชิดเลย อย่างเจ้า ‘คุเนะคุเนะ’ ที่โทริโกะอธิบายให้ฟังแล้วนี่ ฉันพอสันนิษฐานได้ว่า ตัวตนจริงๆ ของมัน อาจจะขึ้นกับมุมมองความคิดของคนที่เจอกับมันก็ได้ ก่อนหน้านี้ ฉันเคยสงสัยว่าอีกโลกนั้นอาจจะเป็นภาพเสมือนก็ได้ แต่ ข้อเท็จจริงที่ว่าเราสามารถนำวัตถุจากฝั่งนั้นกลับออกมาที่ฝั่งนี้ได้ด้วย แล้วไหนจะความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับร่างกายของพวกเธอ 2 คนที่ไปเจอมาเองกับตัวนี่อีก นี่ก็เป็นข้อพิสูจน์ชั้นดีที่ช่วยโต้แย้งกับข้อสงสัยนั้นได้เลยล่ะ ยิ่งกว่านั้น พวกของที่ฉันรวบรวมมาจากอีกโลกนั่นจนถึงตอนนี้ ― ถึงฉันเองก็ไม่ชอบที่ต้องพูดแบบนี้หรอก ― แต่พวกมันไม่สามารถอธิบายได้ด้วยหลักวิทยาศาสตร์ที่มีอยู่เลยน่ะสิ”

“จะว่าไป… หินก้อนนั้นจากก่อนหน้านี้ ฉันได้ยินว่าคุณเป็นคนขอให้โทริโกะไปหามาให้เพิ่มเหรอคะ?”

“อะ จริงสิ เกือบลืมไปเลย โทริโกะ? ได้เอามาหรือเปล่า?”

“แน่นอนสิ”

 

โทริโกะหยิบกล่องพลาสติกออกมาจากกระเป๋าโท้ท คุณโคซากุระก็สวมถุงมือยางแบบใช้แล้วทิ้ง ค่อยๆ เปิดฝากล่องออก ก่อนจะหยิบของในกล่องออกมา

มันก็คือหินกระจกก้อนนั้น วัตถุลึกลับและแปลกประหลาดที่เหลือมาหลังจากที่เราจัดการคุเนะคุเนะได้ แต่ละด้านของลูกบาศก์ส่องสว่างเหมือนถูกขัดเงามา สะท้อนทุกอย่างในห้องออกมาอย่างชัดเจน ยกเว้นก็แต่พวกเรา 3 คน แถมในห้องมืดๆ นี่ หินกระจกก้อนนั้นยังเหมือนจะถูกห่อหุ้มไปด้วยแสงสีเงินจางๆ ด้วย

 

“ใหญ่กว่าก้อนที่แล้วอีกนี่”

“ใช่มั้ยหล้า? พวกเราพยายามมากเลยนะกว่าจะได้มาเนี่ย”

 

โทริโกะยืดอกพูดออกมา นี่เธออย่าเหมาเอาเรื่องน่ากลัวที่พวกเราเจอกัน เป็นแค่การ ‘พยายามมาก’ จะได้มั้ย

พอคุณโคซากุระเปิดลิ้นชักโต๊ะ แล้วก็หยิบฟ่อนเงินออกมาอย่างไม่ใส่ใจอะไร ซึ่งมันทำเอาฉันตาโตเลย

 

“เหนื่อยหน่อยนะ ถ้าเจออะไรอย่างอื่นอีก ก็เอามาก็แล้วกัน”

“ยินดีที่ได้ทำธุรกิจด้วยน้า”

 

โทริโกะใส่เงินมัดนั้นลงในกระเป๋าโท้ทของเธอโดยไม่แม้แต่จะนับเลย ก่อนจะหันมายิ้มกว้างให้ รู้สึกเหมือนมันดูเกินจริง ทำเอาฉันอึ้งจนพูดอะไรไม่ออกเลย

 

“แล้ว หินนี่มันอะไรกันแน่นะ?”

 

พอโทริโกะถาม คุณโคซากุระก็มีสีหน้าครุ่นคิดไป

 

“มาสันนิษฐานก่อนว่าคุเนะคุเนะเป็นสิ่งมีชีวิตที่เข้าไปในร่างกายมนุษย์ผ่านการมองเห็นแล้วกันนะ ‘ไม่รู้จะเป็นการดีกว่า’ ― หรือก็คือ ถ้าเกิดรับรู้ถึงมันได้ ― ถ้าเกิดเข้าใจมันแล้ว ― ก็จะไม่มีทางหนีจากมันได้อีกเป็นครั้งที่ 2”

 

โทริโกะเอียงคอไปด้านข้าง

 

“ถ้าเกิดเรารับรู้ถึงมันแล้ว ก็ทำให้เรายิงมันได้ แบบนี้มันจะไม่เป็นจุดอ่อนเหรอ?”

“ระดับความเข้าใจถึงมันมีหลายระดับนะ เหยื่อที่ ‘เข้าใจ’ มันไปถึงระดับนึง ถ้าไม่เป็นอัมพาตก็คงเสียสติไปแล้ว ที่พวกเธอรอดมาได้ก็เพราะพวกเธออยู่กัน 2 คนไงล่ะ คนนึงคอยรับรู้ถึงมัน ส่วนอีกคนก็ยิงมัน”

 

ในหัวฉันตอนนี้นึกถึงภาพศพที่ถูกคุเนะคุเนะฆ่าที่เราเจอเลย ชายที่ฉันไม่รู้แม้กระทั่งชื่อ เอานิ้วทิ่มล้วงลึกเข้าไปในเบ้าตาของตัวเอง เข้าใจแล้ว ― เขาเข้าใจแล้วว่าคุเนะคุเนะเคลื่อนไหวไปมาอยู่ในการมองเห็นของเขา เขาก็เลยทำลายดวงตาของตัวเองสินะ แต่ ถึงเขาจะทำแบบนั้น เขาก็ยังไม่รอดอยู่ดี…

 

“เมื่อคุเนะคุเนะเข้ามาในการรับรู้ของเรา มันก็จะสร้างผิวสัมผัสร่วมระหว่างมนุษย์กับคุเนะคุเนะขึ้นมา ในตอนที่คุเนะคุเนะอยู่ในการรับรู้ของโซราโอะจัง โทริโกะก็ยิงเข้าไปที่มัน แล้วก็ไปทำลายผิวสัมผัสร่วมนั่น หรือบางที อาจจะไปทำให้มันจับตัวเป็นก้อน หรือไม่ก็ทำให้ตกผลึก พูดง่ายๆ นี่ก็อาจจะเป็น [ผิวสัมผัสร่วมการรับรู้] ของโซราโอะจังที่มีรูปร่างทางกายภาพก็ได้”

 

คุณโคซากุระหนีบหินกระจกไว้ด้วย 2 นิ้ว ก่อนจะยกมันขึ้นมาในระดับสายตา

 

“ผิวสัมผัสร่วมของฉัน…”

“คล้ายๆ แบบเยื่อที่ลอยขึ้นมาเวลาเอานมไปอุ่นหรือเปล่า?”

 

ตอนที่ฉันยังมึนๆ อยู่ โทริโกะก็เสนอความเห็นต๊องๆ ออกมา

 

“แล้วทำไมมันถึงไม่สะท้อนแค่มนุษย์ล่ะ? เพราะโซราโอะไม่ชอบอยู่กับผู้คนเหรอ?”

 

ฉันจ้องเขม่งไปที่เธอเลย แต่โทริโกะก็ทำเหมือนกับไม่รู้สึกถึงมัน แล้วคุณโคซากุระก็พูดตอบด้วยสีหน้าจริงจัง

 

“ก็อาจจะใช่ หรือไม่ก็ หินกระจกก้อนนี้ก็อาจจะสะท้อนภาพจากมุมมองของคุเนะคุเนะ ที่ถูกขังอยู่ในนี้ด้วยซักวิธีนึงก็ได้”

 

 

 

สุดท้าย เราก็หาวิธีแก้ตาของฉันกับมือของโทริโกะไม่ได้เลย พวกเราลองถามคุณโคซากุระแล้ว แต่เธอก็บอกว่า “อย่ามาขอให้นักปริชานศาสตร์ไปทำหน้าที่ของหมอสิ” แล้วก็ตัดบทสนทนาไปเลย

TN: นักปริชานศาสตร์ (Cognitive Scientist) ก็คือผู้ที่ศึกษาทางด้านประชานศาสตร์/วิทยาการการรู้/วิทยาการปัญญา/วิทยาศาสตร์พุทธิปัญญานะครับ
ทีนี้ก็แปลไทยเป็นไทยต่อ [ประชานศาสตร์ (Cognitive Science)] นั้นหมายถึง การศึกษาทางวิทยาศาสตร์ทั้งเรื่องของความคิดและความฉลาด โดยเน้นศึกษาแบบสหวิทยาการ ประกอบด้วย ประชานจิตวิทยา (cognitive psychology), ประสาทจิตวิทยา (neuropsychology), ภาษาศาสตร์, ปรัชญา, วิทยาการคอมพิวเตอร์ (เจาะจงที่เรื่องปัญญาประดิษฐ์), มานุษยวิทยา และ จิตชีววิทยา (psychobiology) หรือสาขาประยุกต์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

และนี่ก็คือสาเหตุอย่างนึงด้วยครับที่ว่าทำไมในห้องของโคซากุระถึงได้มีหนังสือหลากหลายสาขาขนาดนั้น

 

พอพวกเราออกมาข้างนอก ฝนก็ยังไม่หยุด ฉันยกส้นเท้าขึ้นมา ก่อนจะจัดรองเท้าให้กระชับดีอยู่ใต้ชายคาบ้าน

ปึกแบงค์ 10,000 เยนก็ยื่นมาตรงหน้าฉัน

พอฉันเงยหน้าขึ้นมา โทริโกะแกะยางที่มัดปึกเงินอยู่ออก แล้วก็ส่งยิ้มมาให้ เมฆที่ลอยตัวอยู่ต่ำๆ เป็นฉากหลัง ฉากหน้าก็เป็นสาวสวยผมบลอนด์ ส่งมัดเงินปึกหนามาให้ฉัน ― เป็นภาพที่สุดยอดไปเลยนะ ไม่เหมือนกับอะไรที่เคยเห็นมาก่อนเลย ทำเอาฉันยืนอึ้งทำอะไรไม่ถูกเลยล่ะ

 

“แบ่งกันคนละครึ่ง คนละ 500,000 โอเคหรือเปล่า?”

“…อื้อ”

 

ฉันโอเคอยู่แล้ว เงินเลยนะ เงินขนาดนี้เลยนะ ว้าว

 

“ทีนี้ เธอก็ซ่อมมือถือได้แล้วเนอะ?”

“เอ๊ะ? อะ อือ”

 

พูดตามตรง เรื่องแรกที่เข้ามาในหัวฉันคือเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาของฉันมากกว่า

 

“ฉันยังไม่ได้ขอบคุณเธอดีๆ เลยนี่นา ขอบคุณนะ โซราโอะ”

“ไม่หรอก ฉันก็เหมือนกัน…”

 

ฉันพึมพำตอบกลับไป

 

“ครั้งหน้า เราจะไปกันตอนไหนดี?”

“ตอนไหนก็ด-… เดี๋ยวนะ ไม่ เดี๋ยวก่อน”

 

ฉันกลับมามีสติอยู่กับร่องกับรอยแล้ว หลังจากที่สร่างเมากลิ่นเงินเป็นฟ่อนตรงหน้า

 

“เราแก้อะไรไม่ได้ซักอย่างเลยนะ จะตาฉันหรือมือเธอ ไม่เซ้าซี้ถามเธอคนนั้นให้หนักกว่านี้หน่อยเหรอ?”

“ถ้าโคซากุระบอกว่าเธอไม่รู้ เธอก็ไม่รู้จริงๆ นั่นแหละ ถ้าเธอพอจะรู้อะไรแล้ว เดี๋ยวเธอก็บอกพวกเราแน่นอน รับรองได้เลย”

“ไว้ใจเธอได้ใช่มั้ย?”

“ได้สิ เพราะซัทสึกิไว้ใจเธอไงล่ะ”

 

โทริโกะพูดออกมาอย่างมั่นอกมั่นใจ

 

“…เธอนี่ ดูจะสนิทกับคุณซัทสึกิคนนั้นจังเลยนะ”

“อือ สำคัญยิ่งกว่าใครเลยล่ะ ถ้าเธอกำลังหลงอยู่ที่โลกอีกฝั่ง ฉันก็ต้องไปช่วยเธอให้ได้…”

 

ไม่รู้จะพูดอะไรเลย ไม่ใช่ว่าคุณซัทสึกิคนนั้นจะยังไม่ตายไปแล้วที่ไหนซักที่ซะหน่อย ― เหมือนอย่างศพของชายคนนั้นที่เอานิ้วจิ้มตาของตัวเองนั่นไง โทริโกะไม่มีทางจะไม่นึกถึงความเป็นไปได้แบบนั้นเอาไว้หรอก

ระหว่างที่ฉันยังลังเลที่จะพูดออกไป โทริโกะก็ยิ้มออกมาอย่างเศร้าๆ

 

“ว่าตามตรง ฉันก็ไม่สบายใจหรอก ซัทสึกิเองก็เคยบอกเอาไว้ว่าอย่าไปคนเดียว… เพราะงั้น ตอนที่ฉันไปเจอเธอที่นั่น ฉันดีใจมากเลยล่ะ!”

“อ- อื้อ?”

“ฉันคิดได้ตอนที่พวกเราจัดการคุเนะคุเนะได้น่ะ มันคงยากถ้าเกิดมีแค่ฉันคนเดียว แต่ถ้าเกิดมีเธออยู่ด้วย พวกเราอาจจะหาซัทสึกิเจอก็ได้”

“ฮะ?”

 

ยัยนี่พูดเรื่องอะไรอยู่เนี่ย?

 

“โซราโอะจำเป็นต้องใช้เงินใช่มั้ยล่ะ? ถ้าเกิดว่าไปเจออะไรแปลกๆ จากโลกเบื้องหลังแล้วเอากลับมาให้โคซากุระล่ะก็ เธอจะรับซื้อมันให้ เหมือนอย่างวันนี้ไง โอ๊ะ แน่นอนว่าฉันเองก็ชอบเงินเหมือนกันนะ เงินที่ได้ก็แบ่งกันด้วยล่ะ เป็นข้อตกลงที่ไม่เลวเลยใช่มั้ยหล้า? วิน-วินกันทั้ง 2 ฝ่ายเลย”

“…”

 

ฉันยืนนิ่งตรงนั้น พูดอะไรไม่ออกเลย งั้นเหรอ? โทริโกะพาฉันมา เพราะคิดว่าฉันสะดวกดีในการช่วยตามหาซัทสึกิอะไรนั่นงั้นสินะ? เพราะเธอรู้สึกเหงากับการต้องเดินร่อนไปร่อนมาไปทั่วตัวคนเดียวงั้นสิ?

รู้สึกเหมือนความโกรธมันเดือดปุดๆ ขึ้นมาเลย

ก็ได้ เข้าใจแล้ว… ถ้าเกิดนั่นคือสิ่งที่โทริโกะอยากให้มันเป็น งั้นก็รีบไปหาๆ คุณซัทสึกินั่นให้เจอ จะได้เอายัยน่ารำคาญนี่ออกไปจากชีวิตฉันซักที ทีนี้ พวกเธอสองคนจะไปเดินร่อนทอดน่องเที่ยวเล่นที่ไหนก็เรื่องของพวกเธอเลย

 

“…โอเค”

“ว่าแล้วว่าเธอต้องตอบแบบนั้น!”

 

โทริโกะยิ้มหราอย่างเริงร่า โดยไม่ได้รู้เลยซักนิดว่าฉันรู้สึกยังไง

 

TN: นั่นสิ ทำไมถึงหงุดหงิดนะ 555