ตอนที่ 4 โลกนี้อันตราย (1)

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

“หลิงเอ๋อร์ เจ้ารู้หรือไม่ว่าชี่คืออะไร… ชี่เป็นเส้นโลหิตแห่งสวรรค์และปฐพี เป็นลมปราณของทุกสรรพชีวิต ก่อให้เกิดพลังขับเคลื่อนของชีวิต การฝึกบำเพ็ญทั้งหมดล้วนเริ่มต้นด้วยชี่ พลังศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดล้วนถูกสร้างขึ้นมาจากชี่ และเมื่อฝึกลมปราณและโคจรลมปราณในร่างกายได้แล้ว วัฏจักรสวรรค์จึงจะสมบูรณ์ได้…

วันนี้ข้าจะสอนพื้นฐานของ ‘หนึ่งปราณทะยานสู่วิถีสวรรค์’ ของสำนักเราให้กับเจ้า…

นี่คือวิชาสร้างรากฐานแห่งเต๋า มันเป็นวิชาสร้างรากฐานที่ยอดเยี่ยม แม้เมื่อเปรียบเทียบกับวิชาอื่นๆ ทั้งหมดในทั่วดินแดนเทวะทั้งห้า และยังสามารถอาศัยรากฐานของวิชาในการฝึกฝนอื่นๆ”

“หลิงเอ๋อร์…หลิงเอ๋อร์?”

“ศิษย์อยู่นี่เจ้าค่ะ!”

ใต้ต้นหลิวริมทะเลสาบ หลันหลิงเอ๋อร์เก็บสายตาที่มองไปกลางทะเลสาบโดยไม่รู้ตัวกลับมา พร้อมกับแลบลิ้นออกมาอย่างตื่นกลัวเล็กน้อย

นักพรตเฒ่าฉีหยวนจึงหันศีรษะมองไปใจกลางทะเลสาบ แล้วแย้มยิ้มกล่าวว่า “ศิษย์พี่ของเจ้ากำลังหยั่งรู้เวทหลีกลี้วารีเร้นกาย ไม่ต้องไปสนใจเขา จงฟังข้าให้ดี ข้าจะอธิบายวิชาเวทนี้ให้แก่เจ้า”

“เจ้าค่ะ!”

จากนั้นหลันหลิงเอ๋อร์ก็รวบรวมความคิดและความสนใจของนางทั้งหมดตั้งใจฟังวิถีแห่งเต๋าที่อาจารย์กำลังสอนอย่างระมัดระวัง พยายามทำความเข้าใจความหมายของถ้อยคำเหล่านั้นอย่างดีที่สุด

ทว่าเพียงชั่วขณะหนึ่ง…

“อาจารย์! ศิษย์พี่หายไปแล้วเจ้าค่ะ!”

หลันหลิงเอ๋อร์เบิกตาโตมองไปที่ทะเลสาบแล้วร้องออกมาเบาๆ

นักพรตเฒ่าฉีหยวนผินหน้าไปมอง ทันใดนั้นเขาก็ยิ้มออกมาอย่างจนใจ ถอนหายใจกล่าวว่า “นั่นคือเวทหลบหนี! พวกเราเข้าไปฝึกบำเพ็ญในบ้านกันเถอะ! ศิษย์พี่ของเจ้าสนใจวิชาเวทหลบหนีทุกประเภท และนี่น่าจะเป็นเวทหลบหนีที่หกที่เขาเชี่ยวชาญแล้ว”

“ท่านอาจารย์ เวทหลบหนีคืออะไรหรือเจ้าคะ”

ฉีหยวนลูบเคราพลางยิ้มกล่าวว่า “เวทหลบหนีเป็นวิชาเวทประเภทหนึ่ง ช่วยให้ผู้ร่ายเวทสามารถเคลื่อนไหวทะลวงผ่านสภาพที่แตกต่างกันได้อย่างรวดเร็ว เวทหลีกลี้วารีเร้นกายนี้จะทำให้สามารถพุ่งผ่านน้ำและเคลื่อนที่ได้เร็วกว่าปลาว่ายน้ำเสียอีก ดูสิ ศิษย์พี่ของเจ้าไม่ใช่ปรากฏตัวที่ริมทะเลสาบแล้วหรือ ความเร็วของเวทหลบหนีนี้น่าทึ่งมาก”

หลันหลิงเอ๋อร์ยืนเขย่งเท้ามองออกไป ก็มองเห็นร่างสูงโปร่งของศิษย์พี่ตนกระโจนออกมาจากทะเลสาบไกลๆ และมาปรากฏกายยืนอยู่เงียบๆ บนผืนน้ำ

หลิงเอ๋อร์พลันเอ่ยชื่นชมเบาๆ ว่า “ศิษย์พี่เก่งกาจยิ่ง!”

“หากจะพูดถึงเวทหลบหนีในสำนักตู้เซียนเรา ศิษย์พี่ของเจ้าแข็งแกร่งอย่างยิ่ง” ฉีหยวนอดกล่าวออกมามิได้ “หากเขาใช้ความพยายามสักครึ่งหนึ่งในวิชาเวทอื่นๆ เช่นเดียวกับที่เขาทำในการฝึกฝนเวทหลบหนี ข้าก็คงวางใจได้มากกว่านี้”

หลันหลิงเอ๋อร์พลันกะพริบตาปริบ แล้วเดินตามอาจารย์เฒ่าเข้าไปในกระท่อมมุงจาก

นักพรตเต๋าฉีหยวนเรียกเบาะรองนั่งมาสองใบและปิดประตูไม้ของกระท่อมมุงจาก จากนั้นเขาก็ใช้แส้หางม้าในมือเคาะศีรษะศิษย์ตัวน้อยของเขาเบาๆ พลางกล่าวว่า “ตั้งใจฟังให้ดี!”

“อ้อ” หลันหลิงเอ๋อร์รีบนั่งขัดสมาธิให้ดี คราวนี้นางก็สามารถสงบใจลงและมีสมาธิได้ในที่สุด

ด้านหลี่ฉางโซ่วกำลังเดินอยู่บนพื้นผิวทะเลสาบ หลังจากย่างเท้าไปสองก้าว จู่ๆ ร่างของเขาก็กลายเป็นกระแสน้ำและหายไป ในไม่กี่อึดใจหลังจากนั้นเขาก็มาปรากฏตัวขึ้นที่ใจกลางทะเลสาบอีกครั้ง

หลีกลี้วารีเร้นกายสำเร็จแล้ว แต่ความเร็วยังช้าอยู่มาก

ทว่าเมื่อใช้หลีกลี้วารีเร้นกาย เขาก็สามารถหลอมรวมร่างของเขาลงไปในน้ำในขณะที่ใช้เวทหลีกลี้วารีเร้นกาย สามารถป้องกันเขาจากการถูกอาวุธเวทโจมตีได้

ประโยชน์ของน้ำคือการโอบอุ้มสรรพสิ่ง น้ำสามารถสนับสนุนค้ำจุนให้ทุกอย่างลอยได้โดยไม่ถล่มทลายลงมา จึงเป็นสิ่งควรค่าแก่การศึกษาให้ลึกซึ้งจริงๆ

หลี่ฉางโซ่วยืนเอามือไพล่หลัง จากนั้นเขาก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งพร้อมๆ กับที่ก้าวเนิบช้าต่อไปบนผิวน้ำ ทุกๆ ไม่กี่ย่างก้าวก็จะหายวับไปจากบนน้ำ

และหลังจากกระทำเช่นนี้อย่างต่อเนื่อง ไม่ทันไรหลี่ฉางโซ่วก็ไม่จำเป็นต้องเดินบนผิวน้ำแล้ว ขอแค่สัมผัสกับน้ำในทะเลสาบก็จะสามารถใช้เวทหลีกลี้วารีเร้นกายได้ทันที

ทว่าหลี่ฉางโซ่วยังไม่พอใจ และยังคงเคี่ยวกรำต่อไปจนลืมเวลาอย่างสิ้นเชิง

กระทั่งหลังเที่ยง นักพรตเต๋าฉีหยวนถ่ายทอดเสียงออกมาเรียกให้เขากลับไป

“หลิงเอ๋อร์ยังไม่ได้ฝึกปี้กู่[1] แต่นางก็ไม่ควรกินโอสถเพื่อให้อิ่มอยู่ตลอดเวลา อีกเดี๋ยวยามเจ้าสร้างกระท่อมมุงจากให้นาง เจ้าก็สร้างเตา และไปทำอาหารให้นางกินทุกวันจนกว่าหลิงเอ๋อร์จะฝึกปี้กู่ด้วย”

หลี่ฉางโซ่วประสานมือคารวะแล้วตอบว่า “ศิษย์น้อมรับคำสั่งท่านอาจารย์ขอรับ”

“อาจารย์จะไปฝึกบำเพ็ญต่อ หลิงเอ๋อร์ หากมีปัญหาใด เจ้าก็คุยกับศิษย์พี่ของเจ้าได้”

“เจ้าค่ะ ท่านอาจารย์!” หลันหลิงเอ๋อร์เลียนแบบท่าทางของศิษย์พี่ นางประสานมือคารวะและตอบอาจารย์อย่างหนักแน่น ทว่าทันใดนั้นท้องของนางก็ส่งเสียงร้องออกมาจนนางหน้าแดง

นักพรตเต๋าฉีหยวนพลันหัวเราะลั่นและหายวับไปในควันสีเขียวฟุ้งกระจายอย่างฉับพลัน หลี่ฉางโซ่วเองก็แย้มยิ้มกว้าง หันไปมองทะเลสาบแทนเพื่อไม่ให้ศิษย์น้องหญิงน้อยของเขารู้สึกอาย

“ศิษย์พี่! เมื่อครู่นี้ท่านอาจารย์ใช้เวทหลบลี้หนีควันหรือเจ้าคะ”

“หือ? หลบลี้หนีควัน?” หลี่ฉางโซ่วตะลึงงันแล้วระเบิดเสียงหัวเราะลั่นออกมาทันที “นั่นคือวิชามายา ส่วนใหญ่จะใช้เพื่อช่วยปกป้องชีวิตเมื่อเผชิญหน้ากับศัตรู มันสามารถใช้เพื่อสร้างความเสียหายหรือดักจับศัตรูได้ ถือได้ว่ามันเป็นหนึ่งในวิชาชั้นยอดของท่านอาจารย์ของเรา เจ้าอยากเรียนรู้หรือ ต้องรอให้ระดับพลังวรยุทธ์ของเจ้าเพิ่มพูนมากขึ้นกว่านี้อีกสักหน่อยแล้วค่อยขอให้ท่านอาจารย์สอนเจ้า”

“แล้วเวทหลีกลี้วารีเร้นกายของศิษย์พี่ล่ะ หลิงเอ๋อร์ฝึกตอนนี้ได้หรือไม่”

“เวทหลีกลี้วารีนี้จะยิ่งล่าช้ากว่าหน่อย เพราะต้องรอให้เจ้าเข้าสู่ขอบเขตหลอมรวมปราณวิญญาณเทพก่อนจึงจะสามารถฝึกฝนได้ เวทหลบหนีห้าธาตุล้วนเป็นเช่นนี้ วางเรื่องนี้เอาไว้ก่อนเถิด เวลานี้เจ้าเพิ่งเป็นเพียงผู้บำเพ็ญไก่อ่อนและเพิ่งเสร็จสิ้นการเข้าฌานครั้งแรกเท่านั้น”

หลันหลิงเอ๋อร์กะพริบตาแล้วเอ่ยถามว่า “ศิษย์พี่ ไก่อ่อนหมายความว่าอันใดหรือเจ้าคะ”

“น่าจะประมาณ ผู้เริ่มต้นที่มือเท้างุ่มง่ามกระมัง”

หลี่ฉางโซ่วยิ้มตาหยีพาหลันหลิงเอ๋อร์ไปยังพื้นที่ว่างข้างสวนสมุนไพรแล้วกล่าวว่า “เจ้าอยากกินอะไร บนยอดเขาของเรามีสัตว์ป่ามากมาย หากเจ้าไม่มีข้อจำกัดด้านอาหารข้าจะแนะนำบางอย่างให้เจ้าลองกินดู”

สัตว์ป่าหรือ

“ศิษย์พี่ เที่ยงนี้พวกเรากิน…สมุนไพรเหล่านี้ดีไหมเจ้าคะ”

“แน่นอนว่าไม่” ทันทีที่กล่าวจบหลี่ฉางโซ่วก็เหยียดฝ่ามือขวาออกไปด้านหน้า แล้วหินก้อนหนึ่งก็พุ่งเข้ามาหาเขาจากด้านหนึ่ง หมุนไปรอบๆ ฝ่ามือของเขาก่อนจะบินตรงไปยังป่าพร้อมกับเสียงเสียดสีแหวกอากาศดังหวีดแหลมออกมา

หลันหลิงเอ๋อร์ร้องอุทานออกมาด้วยความชื่นชม ทันใดนั้นก็เกิดความโกลาหลอลหม่านขึ้นในป่า ทำให้ฝูงนกบินเตลิดด้วยความตื่นตกใจ

ไม่ทันไรมีไก่ฟ้าสีทองขนสามสีตัวหนึ่งก็บินโฉบขึ้นไปในอากาศ หินก้อนนั้นก็พุ่งเจาะทะลุเข้าไปในอกของไก่ฟ้า สัตว์วิญญาณตัวนั้นตายสนิททันที

[1] ปี้กู่ วิธีการฝึกอย่างหนึ่งของนักพรตเต๋า คือ การไม่กินธัญพืชห้าชนิดได้แก่ ข้าว ข้าวโพด ข้าวฟ่าง ข้าวสาลี และถั่ว