ตอนที่ 13 คนที่วางแผนร้ายต่อตระกูลฉินคือใคร ตอนที่ 14 ยังมีคนอื่นอีก

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 13 คนที่วางแผนร้ายต่อตระกูลฉินคือใคร / ตอนที่ 14 ยังมีคนอื่นอีก

ตอนที่ 13 คนที่วางแผนร้ายต่อตระกูลฉินคือใคร

พอนางฉินผู้เฒ่าพูดมาถึงตอนที่กระทบใจก็ไอออกมาอย่างรุนแรงทันที นางเริ่มวิงเวียนมากขึ้น สะใภ้หวังและติงหมัวหมัวรีบก้าวเข้าไปลูบหลังลูบไหล่ให้อย่างรวดเร็ว

หลังจากนั้นไม่นานนางฉินผู้เฒ่าก็คลายโทสะลงได้บ้าง แต่สีหน้าของนางกลับยิ่งซีดลงกว่าเดิม

ฉินหลิวซีเหลือบมองพลางเอ่ย “ไม่ต้องเอ่ยว่าท่านปู่ได้รับความอยุติธรรมหรือไม่ การเป็นขุนนางอยู่ใกล้เจ้านายก็เหมือนกับอยู่ใกล้เสืออยู่แล้ว ฮ่องเต้สั่งให้ตาย ขุนนางก็ต้องตาย ต่อให้เป็นที่โปรดปราน แต่หากฝ่าบาททรงกริ้วขึ้นมาเมื่อใดก็หาข้ออ้างตัดหัวได้เมื่อนั้น เมื่อเรื่องมาถึงจุดนี้แล้ว ท่านคิดมากไปก็ไม่มีประโยชน์ ต้องดูแลสุขภาพตัวเองก่อนนะเจ้าคะ”

การพูดคุยอย่างสงบในฐานะคนนอกของนางไม่เพียงทำให้นางฉินผู้เฒ่าขมวดคิ้วแน่น แม้แต่สะใภ้หวังและคนอื่นๆ ก็ยังรู้สึกสับสนเล็กน้อย

แม้ว่าเด็กสาวคนนี้จะถูกบันทึกชื่อไว้ในนามของนาง แต่ก็โตมาในบ้านเก่าตั้งแต่ยังเล็ก จึงยากนักที่จะเอ่ยอะไรเช่นนั้นออกมาได้โดยไม่มีผู้ใหญ่คอยอบรมสั่งสอน

การเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้เป็นเรื่องที่ดี แต่บางครั้งก็เหมือนมีมีดแขวนห้อยอยู่เหนือศีรษะพร้อมที่จะหล่นลงมาเมื่อใดก็ไม่รู้

เด็กๆ คนอื่นในบ้านยังหวาดกลัวอยู่เลยว่าตระกูลฉินล้มแล้วจะไม่มีความมั่งคั่งและเกียรติยศอีกต่อไป ใครจะเหมือนฉินหลิวซีที่เอ่ยคำว่าอยู่ใกล้เจ้านายก็เหมือนกับอยู่ใกล้เสือเช่นนี้ออกมาได้

สะใภ้หวังเริ่มสงสัยเกี่ยวกับเด็กสาวที่ถูกบันทึกชื่อไว้ในนามของนางผู้นี้มากขึ้น

นางสงบนิ่งและมั่นคง ยังมีทักษะทางการแพทย์ของนางอีก หลายสิบปีมานี้ใครเป็นคนสั่งสอนนางหรือ ใช่นักพรตเฒ่าชื่อหยวนหรือไม่

“แม้เรื่องนี้จะถูกกำหนดไว้แล้ว แต่ข้าจะต้องรับตัวท่านปู่ ท่านพ่อ ท่านอา และน้องชายของเจ้ากลับมาให้ได้” นางฉินผู้เฒ่าเอ่ยอย่างดุดัน “ถ้าข้าไม่ได้เห็นตระกูลฉินกลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง ไม่ได้เห็นผู้ชายตระกูลฉินของเรากลับมาจากตงเป่ยที่หนาวเหน็บและยากลำบากนั้นแล้ว ต่อ ต่อให้ข้าตาย ข้าก็ตายตาไม่หลับ แค่กๆ…”

ฉินหลิวซีเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นท่านต้องดูแลสุขภาพตัวเองแล้ว”

ถึงอย่างไรอายุขัยของท่านก็ไม่ยืนยาว

นางฉินผู้เฒ่าสำลัก สีหน้านางมืดมนทันที

สะใภ้เซี่ยเอ่ยขึ้น “นังหนูนี่ เจ้าจงใจทำให้ท่านย่าของเจ้าโกรธใช่หรือไม่”

ฉินหลิวซีจิบชาอย่างเงียบๆ และไม่ตอบ

สะใภ้เซี่ยรู้สึกราวกับตนเองชกนุ่น นางอึดอัดใจมากขึ้น

นางฉินผู้เฒ่ายกมือขึ้นก่อนจะเอ่ยต่อ “การยึดทรัพย์ค้นบ้านเกิดขึ้นเร็วมาก พวกเราไม่ได้รับอนุญาตให้นำทรัพย์สินใดๆ ติดตัวมาด้วย นั่นเพราะกองกำลังทหารที่เข้าบุกยึดบ้านเป็นกองทหารของตระกูลเหมิงด้วย”

ฉินหลิวซีหันไปมองสะใภ้หวังราวกับกำลังรอคำอธิบาย

สะใภ้หวังเอ่ย “ตระกูลเหมิงส่งตัวผู้หญิงคนหนึ่งเข้าวังเมื่อสามปีที่แล้ว และนางก็ได้รับความโปรดปราน ในเวลาเพียงสามปีก็เลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นกุ้ยเฟย ตระกูลเราและตระกูลเหมิงไม่เคยลงรอยกันอยู่แล้ว เมื่อพระสนมเหมิงกุ้ยเฟยได้รับการเลื่อนตำแหน่ง ท่านปู่ของเจ้าเคยพูดกับสหายตอนดื่มด้วยกันว่าพระสนมเหมิงเจ้าเล่ห์ ไม่เหมาะสมกับตำแหน่ง จนถูกเกลียดมาถึงตอนนี้…”

มุมปากของฉินหลิวซีกระตุกทันที ท่านปู่ของนางโง่จนตกหลุมพรางคนอื่นใช่หรือไม่

สะใภ้หวังเอ่ยถึงเรื่องนี้แล้วก็จนใจ เรื่องนี้นายท่านผู้เฒ่าก็เสียมารยาทไปจริงๆ

“พระสนมเหมิงกุ้ยเฟยได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นพระสนม แถมปีนี้ยังให้กำเนิดองค์ชายน้อยพระองค์หนึ่งออกมาอีก ตระกูลเหมิงก็พลอยโชคดีไปด้วย ไม่เพียงแต่พระสนมเหมิงกุ้ยเฟยจะได้เป็นกุ้ยเฟยแล้วเท่านั้น แต่ตระกูลเหมิงยังได้รับพระราชทานศักดินาตำแหน่งโหว ตอนนี้กลายเป็นจวนอันเฉิงโหวไปแล้ว” สีหน้าสะใภ้เหมิงไม่แยแส แล้วเอ่ยต่อไปว่า “เหมิงลี่ที่เป็นน้องชายสุดที่รักของพระสนมเหมิงกุ้ยเฟยพลอยได้รับพระกรุณาธิคุณแต่งตั้งให้เป็นองครักษ์หน้าวังไปด้วย กลุ่มคนที่เข้ามายึดค้นบ้านเราก็เป็นเขาที่นำมา”

ถ้าอย่างนั้นเรื่องนี้ก็เข้าใจได้พอดี

มิน่าตอนที่คนตระกูลฉินปรากฏตัวขึ้นจึงไม่ได้สวมผ้าไหมผ้าแพรอะไรเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงทรัพย์สมบัติใดทั้งนั้น เมื่อศัตรูตัวฉกาจกำลังจับตามองอยู่เช่นนั้น พวกเขาย่อมไม่สามารถเก็บรักษาทรัพย์สมบัติอะไรไว้ได้อยู่แล้ว

แน่นอนว่าย่อมมีคนที่ระแวดระวังรอบคอบซ่อนอะไรไว้บ้างอยู่แล้ว

“คนที่วางแผนทำร้ายท่านปู่คือคนของตระกูลเหมิงหรือเจ้าคะ” ฉินหลิวซีเอ่ยถาม

สะใภ้หวังนิ่งเงียบทันที

ไม่รู้ด้วยเหตุผลใดนางฉินผู้เฒ่าจึงถามนางกลับ “เจ้าว่าอย่างไรเล่า”

ตอนที่ 14 ยังมีคนอื่นอีก

ฉินหลิวซีเลิกคิ้ว คิดจะทดสอบนางหรือ

“นี่ท่านย่ากำลังเห็นค่าของข้าอย่างนั้นหรือ ข้าที่แม้ไม่ใช่เด็กกำพร้าก็เหมือนเด็กกำพร้า ต้องเติบโตมาในบ้านเก่าลำพังเช่นนี้จะมีผู้ใหญ่มาสอนเหตุผลข้าได้อย่างไร ท่านถามข้าอย่างนี้ไม่เท่ากับเป็นการทำให้ข้าตกที่นั่งลำบากหรือเจ้าคะ!”

นางฉินผู้เฒ่าถูกพูดแทงใจดำจึงรู้สึกอับอายและไม่พอใจอยู่บ้าง

สะใภ้หวังเหลือบมองสีหน้าของนางฉินผู้เฒ่าเล็กน้อยพลางครุ่นคิดก่อนจะเอ่ย “คนนอกย่อมมองอะไรได้ชัดกว่าคนใน เพราะนังหนูซีไม่ได้อยู่ในวังวนอำนาจของเมืองหลวง เจ้าจึงน่าจะมองเรื่องนี้ได้ชัดกว่าพวกเราที่อยู่ในสถานการณ์ ส่วนว่าเจ้าจะมีสายตาเฉียบแหลมหรือไม่นั้น แค่เรื่องที่เจ้าช่วยให้สะใภ้สามคลอดลูกได้อย่างราบรื่น บวกกับการจัดการเรื่องในบ้านสองสามวันมานี้ก็เพียงพอจะพิสูจน์ความสามารถของเจ้าได้แล้ว”

ฉินหลิวซีช้อนสายตาขึ้นมองแม่ใหญ่

หน้าผากของสะใภ้หวังกว้างและอิ่มเต็ม นัยน์ตาโตและคิ้วงามละเอียด จมูกเป็นสันตรง เหนือริมฝีปากไม่มีไฝไม่ดี ผมดกดำเป็นมันเงา ใบหน้าเช่นนี้เป็นลักษณะทั่วไปของคนร่ำรวยสูงศักดิ์ น่าเสียดายที่ตำแหน่งเรือนคู่ครองของนางเปลี่ยนเป็นมืดมนและทรุดโทรม รอยตีนกาและเส้นเลือดที่ปูดยื่นออกมาบ่งบอกว่าความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาจะมีการเปลี่ยนแปลงหรือต้องแยกจากกัน

สามีภรรยาแยกกันไม่ใช่เรื่องใหญ่ ที่สำคัญก็คือเรือนของบุตรธิดา เรือนบุตรธิดาของนางไม่สมบูรณ์ ทายาทอ่อนแออยู่แล้ว ตอนนี้ยังมีร่องรอยยุบแฟบลงไปอีกเกรงว่าจะมีการสูญเสียเกิดขึ้น

อย่างไรก็ตาม ยังต้องดูแปดอักษรเวลาตกฟากร่วมด้วย ถ้าหากในเรือนบุตรธิดาของนางยังมีการเปลี่ยนแปลงตนเองอื่นๆ เช่นว่า การกระทำอย่างมุทะลุ การกระทำเพื่ออำนาจ หรือการกระทำอย่างโง่เขลาปรากฏขึ้นร่วมด้วยหรือไม่ ซึ่งจะแสดงถึงความตายของบุตรธิดาของเจ้าดวงชะตาหรือการตกอยู่ในอันตราย

ฉินหลิวซีถอนสายตากลับมาแล้วเม้มปากเล็กน้อย

สะใภ้หวังเป็นภรรยาเอกของนายท่านบ้านใหญ่ แม้ว่าลูกของอนุภรรยาทั้งหลายจะเรียกนางว่าท่านแม่ด้วยเช่นกัน แต่คนที่นางให้กำเนิดเองจริงๆ คือน้องชายของตนที่ชื่อฉินหมิงเยี่ยนซึ่งถูกเนรเทศไปพร้อมกับท่านปู่และท่านพ่อเพียงคนเดียวเท่านั้น

หากเกิดอะไรขึ้นกับเด็กคนนั้น สะใภ้หวังจะต้องจบชีวิตตนเองตามไปแน่

เมื่อสะใภ้หวังเห็นว่านางหลุบตาลงเพื่อหลบซ่อนนัยน์ตาดำขลับนั้น หัวใจของนางก็บีบรัดขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ได้ และรู้สึกกระสับกระส่ายเล็กน้อย

ไม่รู้ว่านางคิดไปเองหรือไม่ว่าตนเองเห็นแววตาสงสารวาบขึ้นในดวงตาของฉินหลิวซีแวบหนึ่ง

นางต้องคิดไปเองแน่!

นิ้วมือของสะใภ้หวังงอเข้าเล็กน้อย

“ข้าไม่รู้ว่าตระกูลเหมิงมีพฤติกรรมเช่นไร ยิ่งไม่รู้จักพระสนมเหมิงกุ้ยเฟยด้วย แต่ถ้าเป็นข้า หากองค์ชายน้อยยังทรงเยาว์วัยเช่นนี้ ต่อให้ข้าจะทำตัวโดดเด่นไปบ้าง แต่ก็ไม่กล้าแตะเกล็ดมังกรและสร้างสถานการณ์ที่เป็นการหมิ่นเกียรติเช่นนี้แน่” ฉินหลิวซีเอ่ยอย่างดูถูกดูแคลน “พระสนมกุ้ยเฟยทั้งเป็นที่โปรดปรานทั้งยังเพิ่งให้กำเนิดพระโอรส ถ้านางคิดที่จะทำอะไรตระกูลฉินจริงๆ อย่างมากแค่เป่าหูยุยงฝ่าบาทหน่อยก็ได้แล้ว เหตุใดต้องลากเอาวงศ์ตระกูลและอนาคตขององค์ชายมาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย”

การมีองค์ชายใช่ว่าจะสูงส่งขึ้นสวรรค์ไปได้เมื่อไหร่ ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันเองก็แทบจะทรงทราบลิขิตสวรรค์อยู่แล้ว องค์ชายที่เป็นผู้ใหญ่และเติบโตมากับฝ่าบาทก็มีถึงสองพระองค์ แถมยังมีองค์ชายที่ยังทรงพระเยาว์อยู่อีกสองพระองค์ ย่อมเรียกได้ว่าราชวงศ์ไม่ขาดองค์ชาย

ตระกูลเหมิงต้องการพึ่งพาองค์ชายน้อยผู้นี้เพื่อไต่เต้าขึ้นไปอีก พวกเขาคงไม่โง่ถึงขนาดแตะต้องเรื่องสำคัญอย่างการบวงสรวงสังเวยที่วัดไท่เมี่ยวเช่นนี้ เพราะหากสืบทราบขึ้นมาเมื่อใด องค์ชายและตระกูลเหมิงก็จะจบสิ้นไปตลอดกาล

ดังนั้นเกรงว่าคนที่เล่นงานตระกูลฉินยังมีคนอื่นอีก ตระกูลเหมิงก็เพียงฉวยโอกาสซ้ำเติมพวกเขาเท่านั้น

ดวงตาของนางฉินผู้เฒ่าลุกวาวขึ้นมาทันทีที่ได้ยินฉินหลิวซีพูดเช่นนั้น หน้าอกของนางกระเพื่อมขึ้นลงไม่หยุด

ดวงตาของสะใภ้หวังก็เป็นประกายด้วยความประหลาดใจเพราะคำพูดของบุตรสาวนั้นสอดคล้องกับการวิเคราะห์ของท่านแม่ตลอดทางมานี้

“ไม่ใช่ตระกูลเหมิง แล้วจะเป็นใครได้”

ฉินหลิวซีเอ่ย “ท่านแม่เองก็บอกว่าข้าไม่ได้อยู่ในใจกลางของกระแสน้ำวนนี้ และข้าก็ไม่ได้อยู่ในเมืองหลวงมาหลายปีแล้ว ใครเป็นศัตรูของตระกูลฉิน ข้าก็ไม่อาจรู้ จึงไม่อาจตอบคำถามท่านย่าได้”

นางยืนขึ้นก่อนจะเอ่ย “ฟ้ามืดแล้ว เชิญท่านย่ากลับห้องเถิดเจ้าค่ะ”

ฉินหลิวซีพูดจบแล้วก็เดินออกไป เพียงแต่เมื่อนางเพิ่งจะก้าวเท้าออกไปได้ข้างเดียวขณะที่เท้าอีกข้างยังอยู่ข้างใน นางก็หันไปและถามตาปริบๆ “ท่านย่า บ้านหลังนี้ยังนับว่าเป็นของข้าอยู่ใช่หรือไม่”