ไลแคนโทรป (lycanthrope) อมนุษย์จำพวกหนึ่งที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายตามวัฒนธรรมอังกฤษว่ามนุษย์หมาป่า(werewolf) ซึ่งในนิยายนี้จะให้ความหมายโดยรวมเป็นอมนุษย์ที่มีสภาพจิตใจของมนุษย์และสัตว์ป่าอยู่ในตัว ไม่จำกัดแค่เพียงหมาป่าเท่านั้น โดยอมนุษย์เหล่านี้ สามารถที่จะกลายสภาพจากร่างกายที่มีลักษณะเหมือนมนุษย์เป็นร่างกายที่มีลักษณ์เหมือนสัตว์ป่านั้นๆได้ ขึ้นอยู่กับสภาวะจิตใจว่าสามารถจะควบคุมความเป็นมนุษย์ให้คงอยู่จากการครอบงำของสัตว์ป่าได้มากน้อยเพียงใด หรือในอีกนัยก็คือ นิยายนี้จะถือว่า มนุษย์หมาป่าเป็นเผ่าหนึ่งของเผ่าพันธุ์ไลแคนโทรปนั่นเอง

 

 

 อินกองรู้จักตัวละครในบทกวีแห่งผู้กล้าแทบจะทุกตัว ฉะนั้นเขารู้อยู่แล้วว่าคริสต์กับเคทลินหน้าตาอย่างไร แต่ถึงอย่างนั้น สติเขาก็ยังหลุดลอยไปชั่วขณะ

 

‘สวยโคตร’

 

 เคทลินเดินเข้ามาในกระโจม เธอเป็นสาวน้อยวัย 15 ปี แก่กว่าฉัตรเพียงปีเดียวเท่านั้น

 

 ภายใต้เส้นผมสีน้ำเงินออกเทาเผยให้เห็นถึงใบหน้าสีขาว มีดวงตาสีทองประดับราวดวงจันทร์ในท้องฟ้ายามค่ำคืน เกราะหนังอันกระชับเผยให้เห็นถึงสรีระอันงดงามของเธอ แม้จะมีผ้าคลุมไหล่สีน้ำเงินปกปิดไว้ก็ตาม

 

 เธอจ้องมองอินกองผ่านรอยยิ้มอันเย็นชาบนใบหน้า

 

 ทั้งคู่จ้องมองกันอยู่ครู่หนึ่ง

 

 ในขณะที่อินกองกำลังคิดหาบางสิ่งมาพูดคุยแก้เขิน ก็มีเสียงลอดเข้ามาช่วยไว้

 

“รีบเข้าไปก่อนสิเคท อย่ามายืนขวางทาง”

 

 คริสต์โผล่เข้ามาในกระโจมหลังจากผลักเคทลินเบาๆไปด้านข้าง

 

 เคทลินหันไปมองค้อนคริสต์เล็กน้อยก่อนจะเดินไปนั่ง ณ ที่ของเธอ คริสต์จึงโต้ตอบด้วยการหัวเราะ

 

 เหมือนที่เคทลินเป็นหญิงงาม คริสต์ก็ดูสง่างามเช่นกัน

 

 ตาสีน้ำเงินอันดุดันทั้งคู่ภายใต้เส้นผมสีทอง ทำให้เขาดูราวกับพญาราชสีห์แห่งพงไพร

 

‘ไม่มีความสมดุลย์เอาเลยยยย’

 

 ร่างกายอันใหญ่โตราวกับชายฉกรรย์วัย 30 และผ้าคลุมขนเสือที่เขาสวม ทำให้เขาดูราวกับโจรป่า มากกว่าความจริงที่ว่า เขาคือองค์ชายวัย 17 ปี

 

 หลังจากที่คริสต์นั่งลง ทหารที่ดูเป็นองครักษ์ของทั้งคู่ก็เดินเข้ามายืนข้างหลังทั้งสอง

 

‘ก็พอรู้อยู่แล้วละนะ แต่ว่าแม่งโคตรจะแตกต่างเลย’

 

 คารัคที่ยืนอยู่ข้างหลังฉัตร เป็นเพียงนักรบท้องถิ่น เขายังไม่มีแม้แต่องครักษ์ประจำตัว

 

‘เราเคยมีขุนพลเก่งกาจมากมายแท้ๆ’

 

 องครักษ์ซัคคุบัสโฉมงามนาตาช่า แม่ทัพเอกเผ่าโอเกอร์แวนเดล ผู้คุมวิญญาณที่แสนจะชั่วร้ายเซคตั้ม เมื่อคิดถึงทหารสุดโปรดที่ตอนนีเป็นได้เพียงศัตรูแสนอันตราย อินกองทำได้แค่เพียงกัดฟันเบาๆ

 

‘ไม่สิ ไม่ว่ายังไง เราต้องเอาเด็กๆพวกนั้นมาเข้าร่วมให้ได้ ’

 

 แน่นอนว่าการเรียกตัวละครโปรดว่าลูกรักมันเป็นรสนิยมส่วนบุคคล

 

‘เด็กๆอยู่ที่ไหนกันนะตอนนี้?’

 

“องค์ชาย”

 

 คารัคพูดขึ้นมาขัดความคิดฟุ้งซ่านของเขา อินกองรีบตั้งสติแล้วนั่งตัวตรง

 

“ไม่เจอกันนานเลยนะ”

 

 เคทลินเป็นฝ่ายเริ่มพูด เสียงของเธอแลดูเย็นชาและห่างเหิน ทำให้คริสต์หัวเราะอีกครั้ง

 

“ใช่อยู่ ที่พวกเราไม่เจอเขานานแล้ว แต่นี่ก็ครั้งแรกที่เราคุยกับเขาจริงจังไม่ใช่หรือไง?”

 

 ตกลงนี่เป็นครั้งแรกจริงๆ ที่พวกนี้คุยกับฉัตรอย่างเป็นทางการสินะ

 

‘โชคดีที่สุด!’

 

 อย่างที่อินกองคาดเอาไว้ ฉัตร คริสต์ และเคทลิน ไม่เคยข้องแวะกัน

 

 บางทีเขาอาจไม่ต้องเอาอาการไข้มาเป็นข้ออ้างก็ได้

 

“ทำตัวสบายๆเข้าไว้ ที่นี่ไม่ใช่วังจอมมาร เพราะงั้นไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไร เราเป็นพี่ชายของนาย เพราะงั้นเรียกเราว่าฮยองก็พอ”

 

 คริสต์ขยิบตาให้ อินกองรู้สึกโล่งขึ้นมา แต่ใบหน้าของคริสต์ก็ทำให้เข้าเสียสมาธิ

 

‘คริสต์ เป็นคนง่ายกว่าที่คิดแฮะ’

 

 ปัญหาเรื่องราชาศัพท์แก้ได้โดยง่าย

 

“เข้าใจแล้วครับ ฮยอง”

 

 คริสต์หัวเราะให้อินกอง แล้วชี้มือไปที่เคทลิน

 

 ถ้าเขาเรียกคริสต์ว่าฮยอง งั้นเขาจะเรียกเคทลินยังไงดี?

 

“เอ่อ…นูนะ?”

 

 เคทลินหรี่ตาลงแล้วบู้ยปากหลังได้ยินเสียงอินกองที่แฝงไปด้วยความเขิน

 

‘เดี๋ยวดิ อาการแบบนี้คือต้องการอะไร?’

 

 มันน่าจะเป็นสัญญาณที่ดีใช่ไหม? แล้วทำไมหูของเธอถึงเริ่มแดงขึ้นมา?

 

 คริสต์เห็นแล้วก็หัวเราะอีกครั้ง

 

“ใครเป็นนูนะกัน? ฉันแก่กว่าเธอแค่เท่าไรเอง”

 

 ท่าทางเคอะเขินของเคทลิน ทำเอาอินกองเสียหลัก

 

‘นี่คือคริสต์กับเคทลินที่โหดร้ายคู่นั้นจริงหรือเนี่ย?’

 

“คุยเรื่องภารกิจกันเถอะ”

 

 เคทลินพูดหยุดความคิดของอินกองเอาไว้ เธอลุกขึ้นเอานิ้วชี้ไปยังจุดยุทธศาสตร์บนแผนที่

 

“ฉันตรวจพบตำแหน่งของเผ่าสายฟ้าชาดตรงนี้ ฉันจะบุกเข้าไปทางนี้ แล้วให้คริสต์อบป้าบุกทางนี้”

 

 หมากสีน้ำเงินคือพันธมิตร และหมากสีแดงแทนศัตรู

 

 ขณะที่อินกองจ้องมองแผนที่พลางฟังคำอธิบายของเคทลิน ก็มีเสียงผู้หญิงดังขึ้นในหัวเขา

 

 [คุณได้เรียนรู้ การอ่านแผนที่ ขั้น1]

 

 เหมือนกับตอน วิชาดาบ มันก็เป็นแผนที่อันเดิม แต่อินกองรับรู้ได้ละเอียดขึ้น

 

‘เราจะเรียนทักษะอื่นๆได้ด้วยวิธีนี้สินะ?’

 

 เขาเรียนวิชาดาบหลังจากที่ได้กวัดแกว่งดาบ เรียนการอ่านแผนที่ทันทีที่มองมัน

 

 ถึงแม้จะแค่ขั้น1 แต่เขาก็ได้ทักษะมาแล้ว เขาสามารถใช้แต้มที่มีเพื่อเลื่อนขั้นเมื่อไรก็ได้

 

‘วิธีนี้จะใช้กับเวทมนตร์ได้ไหมนะ? นี่ถ้าเราใช้เวทมนตร์ไปพร้อมกับโจมตีปกติได้ละก็…’

 

 สุดยอดอาชีพสารพัดประโยชน์ ได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว

 

 แน่นอนว่าแต้มทักษะมีจำกัด ถ้าวางแผนไม่ดี เขาจะกลายเป็นตัวละครกิ๊กก๊อกตัวหนึ่ง แต่อินกองจัดว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญของบทกวีแห่งผู้กล้า ปัญหานี้ไม่มีทางเกิดขึ้นกับเขา แนวทางหลากหลายเริ่มก่อตัวขึ้นมาในหัวให้เขาเลือก

 

“ฉัตร เธอไปสำรวจบริเวณนี้”

 

 เคทลินพูดแทรกจินตนาการของเขาขึ้นมาอีกครั้ง อินกองรีบมองไปตรงจุดที่เธอชี้ มันเป็นบริเวณที่ไม่มีหมากสีแดงอยู่เลย

 

“สำรวจ?”

 

“ใช่แล้ว ภารกิจลาดตระเวณนั่นแหละ พื้นที่ตรงนี้เคยเป็นที่อยู่ของพวกเผ่าสายฟ้าชาด เท่าที่ดูจากการเคลื่อนไหวพวกมัน แถวนี้ไม่น่าจะมีศัตรูเยอะ เธอไม่ต้องกังวล”

 

 เคทลินกัดริมฝีปากเบาๆแล้วหันมามองอินกองอีกรอบ

 

“ขอโทษทีตัดสินใจอยู่คนเดียว ว่าแต่เธอจะเอายังไงดี?”

 

‘เอ๋?’

 

 อะไรนะ? เอายังไงงั้นหรือ?

 

 นี่เธออยากจะบอกอะไรกันแน่?

 

“มันพูดยากสินะ เอางี้ ฉัตร”

 

 คริสต์ที่นั่งหัวเราะสบายอารมณ์อยู่เรียกอินกอง

 

“ขอโทษนะ แต่นายดูไม่ค่อยมีทหารเท่าไร ถ้าให้ไปที่จุดอื่นมันน่าจะอันตราย”

 

 ฟังดูมีเหตุผล เพราะเขาคือฉัตรแปะฮอ

 ฉัตร ผสมกับ เงียมแปะฮอ

 

“แต่ถ้านายไม่ทำอะอะไรเลย กลับไปนายลำบากแน่ การกระทำของพวกเราต้องถูกรายงานให้ที่วังรับรู้ เราไม่อยากจะรายงานไปว่านายไม่ได้ทำอะไรเลย”

 

 นี่ก็ฟังดูมีเหตุผลอีกเช่นกัน

 

‘เดี๋ยวนะ หรือว่า?

 

“เราก็อยากจะแบ่งคนให้อยู่หรอก แต่ถ้าทำแบบนั้น ความดีความชอบมันก็จะเป็นของเรา ไม่ใช่นาย”

 

 ฉัตรมาที่นี้เพื่อที่จะฝึกคุมการรบ เพราะเขาเป็นเจ้าชาย ก็เลยได้รับทหารมาบ้าง

 

 แต่มันจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าเขาไม่มีผลงานอะไรเลย?

 

 กิจกรรมทุกอย่างของลูกๆจอมมารถูกนำมาให้คะแนน ผลงานของแต่ละคนจะเป็นตัวกำหนดสายตาของคนรอบข้าง เพราะงั้นเวลาไปไหนก็ควรจะสร้างผลงานให้มากที่สุด ซึ่งฉัตรในตอนนี้ยังไม่มีอะไรเลย

 

 ไม่ว่าจะมองเป็นรูปธรรมหรือว่านามธรรม ฉัตรก็อ่อนแอสุดๆ ไม่มีแม้แต่ทหารส่วนตัวสักคน จนทางวังต้องส่งทหารท้องที่มาให้คุมแทน

 

 มันต้องย่อยยับแน่นอนถ้าให้เขาไปเป็นทัพหน้า

 

 และเขาก็ไม่สามารถขอทหารไลแคนโทรปจากคริสต์กับเคทลินมาใช้ได้ ถึงทั้งคู่จะแบ่งให้ ผลงานที่ฉัตรสร้างก็จะกลายเป็นของทั้งคู่

 

 ถ้าเขาอยากมีส่วนร่วมกับทัพหน้า เขาต้องมีทหารเป็นของตัวเองก่อน

 

“เคทเป็นคนคิดเรื่องพวกนี้ทั้งหมด”

 

 คริสต์ยิ้มอย่างมีเลศนัยในขณะที่เคทลินปิดปากเงียบ

 

 อินกองมองสลับไปมาระหว่างทั้งสองคน

 

‘หรือว่าพวกนี้…จะนิสัยดี?’

 

 คริสต์กับเคทลินที่อินกองรู้จักสามารถใช้คำจำกัดความได้อย่างเดียว อสูรกายกระหายเลือด

 

 แต่บางทีนั่นอาจจะเป็นเพราะแซเฟียร์?

 

 ยิ่งไปกว่านั้น ที่ที่แซเฟียร์เจอทั้งคู่ส่วนใหญ่ก็จะเป็นกลางสมรภูมิรบ ซึ่งทั้งสองฝั่งก็เป็นศัตรู

 

“ตกลงฉัตร นายจะเอายังไงดี? เราคิดว่างานของนายพอเสร็จแล้วมันต้องเป็นประโยชน์แน่ ยังไงซะศึกครั้งนี้มันก็ยังไม่จบง่ายๆแค่นี้แน่นอน”

 

 อินกองหันมองเคทลินหลังจากที่ฟังคริสต์พูด เธอดูเหมือนสาวน้อยวัย 15 ที่กำลังเขินอายมากกว่าที่จะเป็นแม่ทัพกระหายเลือดบนสมรภูมิรบ

 

“เข้าใจแล้วครับ ผมจะทำอย่างที่นูนะแนะนำ ขอบคุณสำหรับความหวังดีครับ”

 

 เคทลินไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมาหลังจากที่ได้ยินอินกองพูด ทว่าแววตาของเธอแสดงความยิ้มแย้มออกมา แม้แต่มุมปากของเธอก็เผยให้เห็นรอยยิ้มเล็กน้อย

 

“หุหุหุ หล่อนก็แค่จริงใจกับนาย”

 

 เคทลินชี้ไปกลางแผนที่โดยไม่สนใจเสียงหัวเราะจากพี่ชายของเธอ

 

“งั้น ฉันจะอธิบายรายละเอียดเพิ่มละนะ”

 

 คริสต์กับเคทลินอธิบายแผนการรบสำหรับวันพรุ่งนี้ หลังจากได้ยินทั้งคู่ อินกองก็มีสีหน้าที่ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไปดี

 

 สมมติว่าพวกนี้เป็นศัตรูกับแซเฟียร์ ทั้งคริสต์และเคทลินต่างก็เป็นพันธมิตรที่ดีแน่ แต่ทั้งคู่ก็มีเงื่อนไขอะไรบางอย่าง

 

 คริสต์กับเคทลินตายก่อนเหตุการณ์วันล้างบาง 1 ปี เนื่องมาจากแซเฟียร์รวมหัวกับลูกจอมมารคนอื่นๆบุกโจมตีกระทันหัน

 

 ส่วนเหตุผลที่ทุกคนเข้าร่วมการโจมตีกับแซเฟียร์ก็ง่ายนิดเดียว

 

 เคทลิน มูนไลท์ องค์หญิงลำดับที่ 8

 

 แท้ที่จริงแล้ว เธอไม่ใช่บุตรีของจอมมาร

 

 

คำฝากจากผู้แต่ง:

ในโลกมารมีเผ่าพันธุ์อยู่หลากหลาย

ราชินีทั้ง 5 ของจอมมารก็เป็นคนละเผ่ากันทั้งหมด

เพราะงั้น องค์หญิงองค์ชายแต่ละคนก็จะมีลักษณะประจำตัวต่างกันไปตามเผ่าพันธุ์

ส่วนคนไหนเป็นเผ่าอะไร ยังไงจะค่อยๆเฉลยออกมา