ซิฟหยิบดาบและโล่ขึ้นมาและจ้องมองไปที่มาเลคิธอย่างจริงจัง

ในฐานะที่เขาเป็นผู้นำของเผ่าดาร์กเอลฟ์ ทำให้มาเลคิธนั้นมีหน้าตาที่ดูดีกว่าพวกดาร์กเอลฟ์โดยทั่วไป แต่เมื่อเอาเขามาเปรียบเทียบกับซู่เจิน มันช่างต่างกันราวฟ้ากับเหวเลยจริง ๆ !

“ข้ามาที่นี่ก็เพื่อมารับสิ่งของที่ควรจะเป็นของข้าคืน!”

มาเลคิธไม่ได้มองมาที่ซิฟ แต่เขากับมองไปที่ซู่เจินแทนและพูดขึ้นมาอย่างช้า ๆ

“ในเมื่อมันอยู่ที่ผม แล้วทำไมผมถึงจะต้องยกให้คุณด้วยล่ะ? ถ้าคุณอยากได้คุณก็มาแย่งมันไปเองสิ!” ซู่เจินพูดขึ้นมาอย่างเย็นช้าและจู่ ๆ อนุภาคอีเธอร์ที่อยู่ในร่างกายของเขามันก็หายไป

“เป็นไปได้ยังไง ?” มาเลคิธพบว่าอยู่ดี ๆ เขาก็ไม่สามารถจับสัมผัสของอนุภาคอีเทอร์จากร่างกายของซู่เจินได้อีกต่อไป

“ถ้าคุณสามารถเอาชนะผมได้ ผมจะคืนมันให้คุณเอง!”

ซู่เจินขยับข้อมือของเขาไปมาและเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้

“เจ้ามนุษย์โลกชั้นต่ำ เดี๋ยวข้าจะแสดงพลังแห่งความมืดให้เจ้าได้ประจักษ์เอง!”

มาเลคิธตะโกนขึ้นมาด้วยความโกรธและพุ่งตรงไปที่ซู่เจินอย่างรวดเร็ว

ซิฟเตรียมพร้อมที่จะโจมตีตอบโต้ แต่จู่ ๆ เธอก็พบว่าร่างกายของเธอไม่สามารถขยับเขยื้อนไปไหนได้

“เฮ้! ซิฟคุณตกลงกับผมแล้วไม่ใช่หรอว่าจะไม่เข้ามายุ่งกับการต่อสู้ครั้งนี้ ดังนั้นคุณควรยืนอยู่เฉย ๆ ตรงนั้นห้ามขยับไปไหน!” ซู่เจินใช้พลังจิตของเขาห่อหุ้มไปที่ร่างกายของซิฟ ทำให้เธอไม่สามารถขยับเขยื้อนไปไหนได้ โดยมีสายตาของเธอที่จ้องมองมาที่เขาด้วยความประหลาดใจ และซู่เจินก็รีบหันไปมองมาเลคิธอย่างรวดเร็ว

ตูม!

กำปั้นต่อกำปั้นปะทะเข้าหากันอย่างรุนแรง

มาเลคิธและซิฟรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก ที่ซู่เจินสามารถรับหมัดนั้นเอาไว้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นว่าปากของซู่เจินค่อย ๆ ยกยิ้มขึ้นมาและซู่เจินก็ไม่ได้โจมตีสวนกลับมาเลคิธในทันที ทำให้ก่อเกิดความประทับใจขึ้นในใจของซิฟอย่างรวดเร็ว

แค่ซู่เจินกล้าเผชิญหน้ากับมาเลคิธและมีความกล้าหาญที่จะต่อสู้กับศัตรูที่แข็งแกร่งกว่า แค่นี้เขาก็ถูกเรียกว่าเป็น นักรบเต็มตัวแล้ว!

ยิ่งไปกว่านั้นดูเหมือนว่าซู่เจินจะไม่ค่อยเสียเปรียบสักเท่าไหร่

กำปั้น! ศอก! และเตะไปที่ลำตัว!

แม้ว่าซู่เจินจะไม่ได้เรียนวิธีการต่อสู้มามากนัก แต่มันก็สามารถทดแทนได้ด้วยสมรรถภาพทางร่างกายและความเร็วในการตอบสนองของเขา แต่อย่างไรก็ตามมาเลคิธก็เป็นถึงผู้นำของเผ่าดาร์กเอลฟ์ ดังนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่ซู่เจินจะสามารถจัดการกับเขาได้

แม้ว่าพลังโจมตีของซู่เจินจะทรงพลัง แต่มันก็ไม่ได้สร้างความเสียหายให้กับมาเลคิธได้มากนัก

“มีพลังแค่นี้เองงั้นหรอ ? พวกมนุษย์โลกชั้นต่ำแบบพวกเจ้ามันก็ทำได้แค่นี้แหละ เพราะว่าพวกเจ้ามันก็เป็นเพียงแค่มดตัวเล็ก ๆ ตัวหนึ่ง ที่รอคอยให้ข้ามาบดขยี้ก็แค่นั้น! ดังนั้นเจ้าควรยอมแพ้และเอาอนุภาคอีเทอร์มาให้ข้า ไม่แน่ว่าข้าอาจจะไว้ชีวิตของเจ้า!” มาเลคิธพูดขึ้นมาอย่างเย่อหยิ่ง

“มดงั้นเหรอ ? ได้ เดี๋ยวผมจะแสดงให้ดูเองว่าใครกันแน่ที่เป็นมด!”

ซู่เจินหัวเราะเยาะเย้ยออกมา และกระโดดถอยไปด้านหลัง

“ซิฟคุณควรออกไปห่าง ๆ !”

“นักรบที่แท้จริง จะไม่มีวันหันหลังให้กับศัตรูเด็ดขาด!” ซิฟไม่รู้ว่าซู่เจินกำลังจะทำอะไรกันแน่ แต่เธอรู้สึกว่าร่างกายของเธอค่อย ๆ กลับมาขยับได้ เธอจึงรีบยกดาบขึ้นมาและพูดออกมาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ

“ผมไม่อยากทำร้ายคุณ!”

ซู่เจินก็กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำเช่นกัน

“ข้าปกป้องตัวเองได้!” ซิฟยังคงดื้อดึงแล้วไม่ยอมขยับไปไหน

ซู่เจินก็ไม่สามารถทำอะไรได้อีก เพราะว่าถึงเขาจะพูดยังไง เธอก็คงจะไม่ฟังเขาอย่างแน่นอนแน่นอน

และตอนนี้เขาอยากจะบอกให้มาเลคิธได้รู้ว่า ใครกันแน่ที่คือมดตัวเล็ก ๆ ตัวนั้น!

ตูม!

เปลวเพลิงค่อย ๆ ถูกปล่อยออกมาจากร่างของซู่เจินอย่างรวดเร็ว และไม่นานมันก็ค่อย ๆ หมุนไปรอบ ๆ ตัวของซู่เจิน และอุณหภูมิก็ค่อย ๆ สูงขึ้นเรื่อย ๆ สูงขึ้นเรื่อย ๆ สูงขึ้นเรื่อย ๆ จนซิฟไม่สามารถทำมันได้อีกต่อไป แต่อุณหภูมิมันก็ยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

และร่างกายของซู่เจิน ค่อย ๆ จมลงไปในเปลวเพลิงอย่างรวดเร็ว จนทำให้สามารถมองเห็นเขาได้แค่เพียงภาพเบลอ ๆ เท่านั้น

“คุณรู้ไหมว่าพลังการระเบิดของซูเปอร์โนวามันเป็นยังไง? และผมก็ไม่รู้ว่าอุณหภูมิขนาดนี้จะสามารถละลายคุณที่เป็นดาร์กเอลฟ์ได้หรือไม่ ? แต่ว่ามันก็เป็นอุณหภูมิที่สูงที่สุดที่ผมสามารถทำได้และมีอุณหภูมิสูงเทียบเท่ากับการเกิดของซูเปอร์โนวา ดังนั้น …. ผมจึงอยากจะรู้ว่าใครกันแน่ที่เป็นมดตัวเล็ก ๆ ตัวนั้น!“

เสียงพูดของซู่เจินค่อย ๆ ดังออกมาจากเปลวเพลิงอย่างช้า ๆ โดยที่พื้นดินและกำแพงรอบ ๆ เริ่มละลายและไหม้เป็นเถ้าถ่านจากอุณหภูมิความร้อนสูงที่ซู่เจินได้ปล่อยออกมาอย่างต่อเนื่อง

ซิฟที่ยืนอยู่ห่างออกไปไม่ไกลมากนัก กำลังมองไปที่ซู่เจินที่อยู่ในกองเพลิงด้วยดวงตาเบิกกว้าง

ตอนแรกมาเลคิธนั้นสงบมาก เพราะเขาคิดว่าซู่เจินไม่ได้อยู่ในสายตาของเขาเลยแม้แต่น้อย แต่เมื่อมาเลคิธเห็นว่าอุณหภูมิของเปลวเพลิงที่ซู่เจินปล่อยออกมามันเริ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้เขาเริ่มตื่นตระหนกและหวาดกลัวขึ้นมาเล็กน้อย

ในฐานะที่เขามีเผ่าพันธ์เป็นดาร์กเอลฟ์ แสงและไฟถือว่าเป็นสิ่งที่ต้องห้ามสำหรับเขาและเป็นสิ่งที่เขาชิงชังมากที่สุด

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนนี้อุณหภูมิมันสูงขึ้นถึงระดับของซูเปอร์โนวาเรียบร้อย ทำให้มาเลคิธเริ่มรู้สึกว่าความตายกำลังคืบคลานเข้ามาใกล้เขาเรื่อย ๆ

หนี!

เขาจะต้องรีบหนีให้เร็วที่สุด เพราะว่าอุณหภูมิขนาดนี้เขาไม่สามารถต้านทานมันได้อย่างแน่นอน

“จะหนีงั้นหรอ ? ดูเหมือนว่าคุณจะไม่ได้แค่แข็งแกร่งอย่างที่พูดเลยนะ… ”

เมื่อเห็นว่ามาเลคิธกำลังหันหลังกลับและวิ่งหนีไป ซู่เจินก็หัวเราะเยาะเย้ยออกมาและบินตามไปอย่างรวดเร็ว

ซู่เจินที่บินมาอย่างรวดเร็ว เขาเอาเปลวเพลิงมาห่อหุ้มไว้ที่หมัดของเขาและโจมตีไปที่มาเลคิธ ทำให้มาเลคิธกรีดร้องออกมาด้วยความทรมาณและกระเด็นไปกระแทกเข้ากับกำแพงจนทะลุและบินหายไป

ในพริบตาเดียวคนอย่างมาเลคิธที่เขาบอกกันว่าแข็งแกร่งนักแข็งแกร่งหนา ก็ถูกซู่เจินอัดจนเหมือนหมูเหมือนหมาและบินหายไปอย่างรวดเร็ว!

“หยุด…ได้โปรดหยุดก่อน!”

ซิฟที่เห็นว่าพระราชวังทั้งหลังมันถูกเผาจนไม่เหลือชิ้นดี เธอจึงรีบตะโกนบอกให้ซู่เจินหยุดโดยทันที ก่อนที่มันจะสายเกินไปมากไปกว่านี้

ซู่เจินไม่ได้ตอบและบินเข้าไปหามาเลคิธอย่างรวดเร็ว

ในขณะที่ซู่เจินกำลังบินเข้าไปหามาเลคิธอย่างรวดเร็ว เขาก็ยื่นมือของเขาออกไปด้านหน้า ทำให้เปลวเพลิงที่อยู่รอบ ๆ ตัวของเขา มารวมกันอยู่ที่มือของเขาจุดเดียวและโจมตีไปที่มาเลคิธอย่างแม่นยำ ทำให้เกิดการระเบิดอย่างรุนแรง และเผาร่างของมาเลคิธให้กลายเป็นเถ้าถ่านอย่างรวดเร็ว!

ตูม! ตูม! ตูม! ตูม!

เสียงระเบิดดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ดึงดูดความสนใจจากทุกในแอสการ์ดทันที และยานรบทั้งหมดก็ถูกทำลายทิ้งไปในพริบตาพร้อมกับกองทัพของดาร์กเอลฟ์ทั้งหมด

“เฮ้!!“

เสียงตะโกนโห่ร้องแสดงความดีใจดังขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง

ซู่เจินค่อย ๆ ลดอุณหภูมิเปลวเพลิงของเขาลงอย่างช้า ๆ และบินกลับไปหาซิฟในทันที เมื่อขาของซู่เจินแตะถึงพื้นเปลวเพลิงบนร่างกายของเขาก็หายไป

“อย่าลืมที่เราตกลงกันไว้ล่ะว่า…คุณมีนัดเดทกับผมอยู่!”

เมื่อเห็นซิฟที่ยืนอยู่ตรงหน้า ซู่เจินก็ยิ้มออกมาและพูดขึ้นมาสองสามประโยค หลังจากนั้นตัวของซู่เจินก็เอนล้มลงไปด้านหน้าโดยทันที

ซิฟรีบวิ่งเข้าไปพยุงตัวของซู่เจินอย่างรวดเร็ว และตรวจอาการของเขาดูโดยทันที และก็พบว่าเขาแค่เป็นลมหมดสติไปเท่านั้น ทำให้เธอรู้สึกโล่งอกอย่างบอกไม่ถูก และเมื่อเธอมองไปที่ซู่เจินที่กำลังนอนไม่ได้สติอยู่ในอ้อมแขนของเธอ ดวงตาของเธอก็ค่อย ๆ แดงขึ้น …. แสดงถึงความเคารพนับถือต่อซู่เจินขึ้นมาอย่างไม่ตั้งใจ