“ฟุอ้าาา”

 

พอฉันตื่นมาเพราะได้กลิ่นหอมๆ ลอยมาแตะจมูก ฉันก็เห็นคน 2 คนยังหลับอยู่ กับอีกคนที่ตื่นแล้วกำลังคนอะไรซักอย่างอยู่ในหม้อ

 

“อะ ตื่นแล้วเหรอหนู รุณสวัสดิ์นะ”

“อรุณสวัสดิ์ค่ะ เมื่อคืนนี้ ขอบคุณที่ช่วยจริงๆ นะคะ”

 

คนที่กำลังคนซุปอยู่ในหม้อคือพี่สาวผมสีน้ำตาลที่แต่งตัวเหมือนแม่มด

 

“เดี๋ยวก็เสร็จแล้วล่ะ แต่ว่า หนูจะกินด้วยมั้ย?”

“กินด้วยได้หรือเปล่าคะ?”

“มีเด็กตัวน้อยคนเดียวเอง จะไม่เลี้ยงอาหารให้อิ่มท้องได้ยังไงเล่า”

 

พอพี่สาวพูดแบบนั้น เธอก็ยื่นชามมาให้ใบนึง

 

“ขอบคุณนะคะ”

“เอ นี่พวกนาย! ตื่นกันได้แล้วน่า!”

“อ- อือ……”

“อืม……”

 

เสียงดังลั่นของพี่สาวก็ปลุกให้พี่ชายกับลุงยักษ์งัวเงียตื่นขึ้นมากันช้าๆ แล้วก็รับชามกันไปคนละใบ

 

“โห หน้าตาดูดีเลยนะวันนี้ มีเนื้อด้วย”

“ก็นะบางที”

 

รสชาติเบาๆ แต่ก็เป็นอาหารเช้าชั้นดีเลยล่ะที่ช่วยเติมกำลัง นอกจากจะมีผักเต็มหม้อ กับสารอาหารเต็มชาม ก็ยังมีเนื้อหั่นเป็นชิ้นๆ ใส่ไว้ด้วยนะ

 

“รสชาติเป็นไงบ้าง?”

“อร่อยดีค่ะ นานมากเลยที่ฉันไม่ได้กินอาหารร้อนๆ ให้อุ่นท้องแบบนี้”

“งั้นเหรอ ดีแล้วล่ะ”

 

แวบนึง

แค่แวบนึง ฉันรู้สึกเหมือนกับว่าเห็นเหมือนรอยยิ้มของเธอจางหายไปนะ แต่แค่พริบตาเดียว มันก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว

ฉันคงจะมองผิดไปล่ะมั้ง

 

“มีหลายเรื่องอยู่นะที่พวกเราต้องบอกเธอให้รู้เอาไว้ แต่จะเป็นอะไรถ้าเราจะเดินไปคุยไปกัน? ที่หมายของพวกเราค่อนข้างจะไกลไปจากที่นี่นิดนึงน่ะ”

“เข้าใจแล้วค่ะ”

 

หลังจากที่กินมื้อเช้ากันเสร็จ พวกเขาก็เริ่มเตรียมตัวกันทันทีเลย

จัดเรียงอาวุธเป็นระเบียบ เก็บของให้เรียบร้อย แล้วก็ยกพวกมันขึ้นหลัง

ฉันเองก็ช่วยยกของบางส่วนของพวกเขาด้วยเหมือนกัน ก่อนที่จะเริ่มเดินไปพร้อมกับ 3 คนนั้น

 

“เออ หนูรู้เรื่องของผมสีดำมากแค่ไหนล่ะ?”

“เป็นผมสีที่หายากเป็นพิเศษเลยล่ะแม้แต่ในเหล่าเส้นผมชั้นต่ำที่ใช้เวทมนตร์ไม่ได้ก็ตาม แถมยังถูกมองเป็นกาลกิณีที่นำพาความโชคร้ายมาให้ แล้วพอรู้ว่ามีคนแบบนั้นอยู่ พวกผู้ใหญ่ก็จะเปลี่ยนใจ แล้วก็พยายามออกไล่ตามจับคนที่มีผมสีดำให้ได้กัน ก็ประมาณนี้แหละค่ะ”

“ยังงี้นี่เอง ก่อนอื่น มาพูดถึงพวกผู้ชายเมื่อวานนี้กันก่อนก็แล้วกันนะ พวกเขาเป็นชาวบ้านที่เดินกันไปทั่วๆ ไปเลยล่ะ พวกเขาก็ทำงานของตัวเองกันตามปกติในตอนเช้า เพราะแบบนั้นแหละพวกเขาถึงได้ไม่ไล่ล่าหนูจนกว่าดวงอาทิตย์จะตกดิน”

 

นี่สินะ พี่ชายถึงได้บอกไว้เมื่อวานว่าพรุ่งนี้เช้าเดี๋ยวพวกเขาก็ล้มเลิกกันไปเอง

 

“แต่ ทำไมชาวบ้านทั่วไปถึงต้องไล่ตามจับฉันด้วยล่ะคะ? ถ้าเป็นพวกทหารยามนี่ฉันพอเข้าใจได้อยู่นะ”

“หัวไวมากเลยนะที่หนูสังเกตเห็นเรื่องนั้นได้ เพราะพวกเขาเป็นพวกเหยียดสีผมแบบสุดขั้วไงล่ะ แถมยังค่อนข้างจะหัวรุนแรงกันมากพอควรเลยด้วย พวกนั้นจะเหยียดพวกเส้นผมชั้นต่ำมากกว่าปกติ แล้วก็กลัวคนผมสีดำด้วย เพราแบบนั้นแหละ หนูถึงได้โดนไล่ล่าไงล่ะ”

“เพราะกลัวว่าจะเป็นตัวซวยงั้นเหรอคะ?”

“ทุกวันนี้เนี่ย มีหลายคนเลยนะที่มองว่าเรื่องกาลิกิณีพาซวยเนี่ยมันก็เป็นแค่เรื่องงมงาย พวกผมเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน แต่ว่า ก็มีอีกหลายคนเลยที่ไม่เชื่อแบบนั้น คนพวกนั้นส่วนมากก็คงจะได้ยินเรื่องที่คนผมสีดำ (หนู) เข้ามาที่เมืองนี้แน่ แล้วก็คิดว่าจะมีโชคร้ายถูกนำเข้ามาในเมืองนี้ เลยต้องพากันมาไล่ตามจับตัวเธออย่างเอาเป็นเอาตายไงล่ะ”

 

น่าขนลุกนิดๆ เลยแฮะ

นี่ถ้าฉันโดนพวกนั้นจับไปจะเป็นยังไงล่ะเนี่ย

 

“ข- ขอบคุณมากจริงๆ นะคะที่ช่วยซ่อนตัวฉันให้”

“ไม่ใช่เรื่องใหญ่เลยจ้ะ”

“ว่าแต่ แล้วทำไมผมสีดำถึงได้โดนเกลียดมากขนาดนี้ล่ะคะ?”

“จะว่ายังไงดี?”

 

จะว่ายังไงดี งั้นเหรอ

 

“แบบว่า ตัวละครฝ่ายร้ายในหนังสือภาพที่พ่อแม่ฉันอ่านให้ฟังตอนเด็กก็มีผมสีดำนะ แต่ก็ไม่มีใครรู้เลยล่ะว่ามันมีที่มามาจากไหนกันแน่”

“เออ…”

“ตัวร้ายในนิทาน ตัวละครผมดำก็จะเป็นฝ่ายชั่วร้าย ทุกคนก็เลยมีภาพจำแบบนั้นน่ะ”

 

ก็อยากจะบอกว่าไม่อยากจะเชื่อเรื่องนั้นเลย แต่โชคร้ายจังที่พอฉันจำเรื่องราวในชาติก่อนได้ ฉันก็เลยค่อนข้างจะเชื่อเรื่องแบบนั้นอยู่นะ

การเหยียดเชื้อชาติ การดูถูกคนกลุ่มน้อย

มันไม่สำคัญหรอกว่าคนที่โดนเลือกปฏิบัติกลุ่มนั้นเขาจะทำดีมากขนาดไหนก็ตาม แต่พวกเขาจะถูกมองว่าเป็นคนไม่ดี หรือพวกโง่ๆ แล้วก็จะโดนดูถูกเหยียดหยาม แค่เพราะว่าพวกเขา ‘เป็นคนแบบนั้น’ เท่านั้นเอง

จะโลกนั้นหรือโลกนี้ ในเรื่องแบบนี้นี่เหมือนกันเลยแฮะ

แต่ในเวลาเดียวกันนี่ ก็ยังมีคนแบบพวกเขาสินะ ที่ไม่ได้ตัดสินคนจากหน้าตาหรือเสียงลือที่ไม่ดี แต่มองที่ข้างในแทน

เรื่องนี้แหละ ทำให้ฉันดีใจมากเลยล่ะ

ฉันชาติก่อน ไม่มีคนแปลกหน้าที่ไหนมาสนใจฉันเลยด้วยซ้ำ

 

“…-ย โอ้~ย”

“อ๊ะ… ข- ขอโทษค่ะ ฉันเหม่อไปหน่อย”

“ไม่เป็นไรใช่มั้ย? เข้าใจนะว่าเธอคงตกใจน่าดูเลย”

“เปล่าค่ะ ที่จริง ก็ช่วยได้บ้างนะคะที่ทำให้ฉันรู้ด้วยว่ามีกลุ่มคนที่ไม่ได้รังเกียจคนผมสีดำด้วย น่าตกใจอยู่พอควรเลย”

 

ประเมินจากปฏิกิริยาตอบรับที่ฉันได้มาจากตอนอยู่ใกล้ๆ เมืองแล้วนี่ การแบ่งแยกดูท่าจะเรื้อรังมานานเลยนะ

แต่ว่า ถึงยังงั้น ก็ยังมีคนที่ไม่ได้มองแต่รูปร่างภายนอกสินะ

บางที ฉันอาจจะหาความหมายของชีวิตเจอที่นี่ก็ได้นะ

 

“ก็นะ การบอกว่าเรื่องเหยียดสีผมนี่มันเป็นขนบที่เลวร้ายของอาณาจักรน่ะก็ไม่ได้เป็นเรื่องเกินจริงเลยล่ะ”

“โอ้ย หยุดคุยกันก่อน พวกเรามาถึงแล้วนะ”

 

ตอนที่พวกเราได้ยินเสียงของคุณลุงยักษ์ที่เดินมาขวางข้างหน้า พวกเราก็หยุดเดินกัน

พอฉันเอี้ยวตัวมาดูข้างๆ แล้วมองดูไปข้างหน้า ฉันก็เห็นช่องว่างเล็กๆ แล้วก็มีถ้ำอยู่ด้วย

 

“นี่คือรังของคิลลิงเซอเพนท์เหรอ?”

“อ้า”

 

งูยักษ์จอมสังหาร (คิลลิงเซอเพนท์)

เป็นชื่อที่ดูชั่วร้ายอะไรแบบนี้เนี่ย

 

“จะลองไปดูก่อนนะ เป้าหมายครั้งนี้เราไม่ได้มาปราบงูซักหน่อย แค่มาเอาไข่กลับออกมาก็พอ มันเป็นสัตว์นักล่ากลางคืน แต่ประสาทสัมผัสก็ยังเฉียบคม แค่รู้สึกไม่สบายตัวนิดเดียวมันก็ตื่นแล้ว แล้วถ้ามันพุ่งเข้าใส่ล่ะก็ นั่นก็จบเลยล่ะ”

“เอ๋!?”

“รู้อยู่แล้วล่ะ”

“เรื่องนั้นรู้อยู่แล้ว”

 

ตอนที่ได้ยินว่าพวกเขาเป็นทหารรับจ้าง ฉันก็นึกว่าพวกเขาจะรับงานต่อสู้อะไรซักอย่างซะอีก แต่กลับไปงานที่ต้องทำงานโหดหินเพื่อแค่เอาชีวิตรอดงั้นเหรอเนี่ย?

 

“เออ ค- คือว่า จะไม่เป็นไรใช่มั้ยคะ?”

“อ้า ไม่เป็นไรหรอก ลบกลิ่นอายให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ขยับช้าๆ ช้าๆ แล้วก็แค่เอาไข่ออกมาใบนึง ต่อให้แผนมันจะล้มเหลว ก็ยังมีแผนลับอยู่”

 

ตอนที่พี่ชายพูดถึงแผนลับ เขาก็ยิ้มแหยๆ ออกมายังกับว่าเขาไม่อยากจะใช้มันเท่าไหร่เลย

 

“อันที่จริง มันเป็นภารกิจระดับยากที่ทหารรับจ้างที่มีประสบการณ์มากกว่านี้จะได้รับไปนะ อันที่จริง พวกเรามีเรื่องต้องใช้เงินนิดหน่อย พวกเราก็เลยตกลงกันแล้วว่าจะรับภารกิจนี้น่ะ”

“เรื่องมันก็เป็นแบบนี้แหละ ต่อให้จะมีใครหายไป มันก็เป็นทางที่เราเลือกเอง ไม่มีแค้นเคืองกันอยู่แล้ว”

 

งานทหารรับจ้างเป็นงานที่หาเลี้ยงชีพด้วยการต่อสู้

ยังงี้นี่เอง ในโลกนี้ที่มีพวกสัตว์ประหลาดอยู่ด้วย ศัตรูที่เหล่าทหารรับจ้างต้องรับมือก็เลยไม่ได้มีแต่มนุษย์สินะ

 

ที่ฉันมาได้ไกลขนาดนี้มันก็มาด้วยความบังเอิญด้วย แต่ฉันว่าฉันไม่ควรจะไปไกลกว่านี้แล้วล่ะนะ

ตั้งแต่ตรงนี้ไป เป็นพื้นที่ของเหล่ามืออาชีพแล้ว เหงาเหมือนกันนะ แต่คงต้องบอกลาพวกเขา 3 คนแค่นี้แล้วล่ะ

 

“เออ คือ ถ้างั้น ฉันขอตัวก่อนนะคะ ขอบคุณมากนะคะที่ช่วยสอนอะไรให้ฉันเยอะแยะเลย ถึงฉันจะทำอะไรให้ไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็อวยพรขอให้ทุกคนปลอดภัยนะคะ”

 

“เอ๊ะ?”

“เอ๊ะ?”

“หือ?”

“เอ๊ะ?”

 

…?

บรรยากาศดูแปลกๆ ยังไงไม่รู้แฮะ

 

“…อ๊า! แย่แล้วสิ! จริงด้วย! เผลอพาเด็กคนนี้มาด้วยถึงที่นี่เลยนี่นา!”

“เอ๊ะ? เอ๊ะ??”

“แย่แล้ว จะทิ้งเอาไว้ที่นี่ก็ไม่ได้ด้วยสิ”

 

??

เริ่มตามเรื่องนี้ไม่ทันแล้วสิ

 

“คือ มีปัญหาอะไรงั้นเหรอคะ?”

“นั่นสินะ มันออกจะพูดยากน่ะสิ แถวนี้มันมีสัตว์ประหลาดขนาดตัวปานกลางป้วนเปี้ยนอยู่บ้างเหมือนกันนะ”

“เห งั้นเองเหรอคะ แล้วตัวมันใหญ่… เออ… แค่ไหน…?”

 

ทีนี้อะไรอีกล่ะเนี่ย?

หรือก็คือ ถ้าเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ มาเดินร่อนไปร่อนมาอยู่ที่นี่ล่ะก็

จะเป็นยังไงล่ะถ้าเกิดเด็กผู้หญิง 5 ขวบ ร่างกายอ่อนแอ โง่ๆ แถมใช้เวทมนตร์อะไรยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำมาเดินแถวนี้น่ะ

 

“พนัน 9 ใน 10 เลย เธอโดนกินแน่นอน”

“อะไรกัน”

“เอายังไงดีล่ะ? พาเด็กคนนี้ออกจากป่าก่อนค่อยมาดีมั้ย?”

“ไม่ไหวหรอก เส้นตายของภารกิจคือวันนี้ด้วย เราไม่มีเวลาพอจะเดินไปเดินกลับตัดป่านี่หรอกนะ”

“แต่ว่า จะปล่อยเด็กคนนี้เอาไว้ที่นี่ก็ไม่ได้ด้วย”

 

พวกเขา 3 คนเริ่มคุยกันแบบไม่รู้เลยว่าจะทำยังไงต่อดี

ฉันทำได้แค่ยืนนิ่งอึ้งอยู่ตรงนั้น ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำยังไงต่อดี

แล้วก็

 

“ให้ตาย มีแค่วิธีนี้แล้วสินะ”

“มันช่วยไม่ได้นี่นา…”

“ไม่มีข้อโต้แย้ง”

 

“นี่ หนูพอจะเข้ามาในถ้ำนี้พร้อมกับพวกเราหน่อยได้หรือเปล่า?”

 

เขาพูดอะไรที่มันน่ากลัวสุดๆ ออกมาซะแล้ว

 

TN: แต่การเหยียดผิว เอ้ย เหยียดผมแบบนี้น่ากลัวนะ ยังกับล่าแม่มดเลยที่ชาวบ้านกรูกันมาลงมือเองแบบนี้ ย้ำอีกครั้งว่าน้องนางเอกตอนนี้เป็นแค่เด็ก 5 ขวบนะ