ณ ทางเดินเล็กแคบเส้นหนึ่ง มีหลอดไฟดวงเล็กที่กะพริบริบหรี่อยู่บนกำแพงราวกับกำลังจะกลั่นแกล้งกัน ชวีเสี่ยวปอมองไปรอบๆ เขาเองก็ไม่รู้ว่าเหมือนกันทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ กระทั่งตนเองยังสงสัยเลยว่ามีสถานที่แบบนี้อยู่ในเมืองด้วยเหรอ แต่การอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้เพียงลำพังก็ทำให้เขารู้สึกเสียวสันหลังขึ้นมาเหมือนกัน ราวกับมีดวงตาคู่หนึ่งกำลังเฝ้ามองเขาอยู่ในความมืด ชวีเสี่ยวปอทำเพียงตะโกนเสียงดังออกมาโดยไม่รู้ว่าตัวเองกำลังเรียกหาใครอยู่ ก็ไร้ซึ่งสุ่มเสียงใดๆ ตอบกลับมาซึ่งนั่นทำให้มันดูน่าขันและแปลกประหลาดยิ่งกว่าเดิม

        กระทั่งมีเสียงแผ่วเบาดังแว่วอยู่ข้างหู “ลูกรัก?”

        ชวีเสียวปอพลันลืมตาขึ้นทันที เขาเห็นใบหน้าที่แสดงความไม่พอใจอย่างมากของเวินลี่ปรากฏอยู่ตรงหน้าตัวเอง ดวงตาของเธอเจือแววเศร้าเสียใจเล็กน้อย

        “แม่!” ชวีเสี่ยวปอเด้งตัวขึ้นทั้งๆ ที่ยังไม่ทันได้สติเท่าไรนัก แม้จะรู้สึกปวดตึงที่เปลือกตาแต่ก็ไม่อาจขัดขวางการเบิกตาโพล่งของเขาได้ ในตอนนี้เขาถึงได้รู้ว่าเมื่อครู่เขาเพียงแค่ฝันไปเท่านั้น

        เป็นเพียงแค่ฝันร้ายเท่านั้น

        “อืม” เวินลี่ขานตอบอย่างแผ่วเบา พลางตำหนิชวีเสี่ยวปอที่ส่งเสียงดังเกินไปด้วย “เอะอะเสียงดังทำไม เมื่อคืนลูกกลับมากี่โมง?”

        “แม่ครับ ผมโตแล้วนะ ทำไมแม่ไม่เคาะประตูก่อนเข้ามาล่ะครับ” ชวีเสี่ยวปอหยิบเสื้อตัวหนึ่งขึ้นมาสวมลวกๆ ไม่ให้เวินลี่สังเกตเห็นแผลบนหลังของเขาพร้อมกับเปลี่ยนเรื่องคุย

        “แม่เห็นว่าประตูห้องลูกไม่ได้ปิดเลยคิดว่าลูกตื่นแล้ว” เวินลี่อธิบายและยังคงเอ่ยถามต่อไปราวกับจะไม่ยอมปล่อยชวีเสี่ยวปอไปง่ายๆ “เมื่อวานแม่โทรไปทำไมไม่รับสาย? ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับลูก แม่…”

        ชวีเสี่ยวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ดูเหมือนว่าเมื่อคืนเขาจะไม่ได้ปิดประตูจริงๆ เขาพลันหลับตาลงและค่อยๆ สงบสติอารมณ์และหัวใจที่กำลังเต้นอย่างบ้าคลั่งเพราะถูกทำให้ตกใจตื่นเมื่อครู่ “ถ้ากลับมาแล้วเจอชวีอี้เจี๋ยพูดเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกอะไรนั่นแหละครับ ผมถึงจะเป็นอะไรขึ้นมาจริงๆ”

        เวินลี่มักจะเป็นแบบนี้เสมอ ความจริงเธอเองรู้คำตอบทุกอย่างดี ทว่ากลับแสร้งทำเป็นโง่และรอให้ชวีเสี่ยวปอเป็นฝ่ายเอ่ยออกมาเอง เธอเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังคาดหวังอะไรที่มากเกินไปอยู่หรือเปล่า

        “เมื่อวานพ่อเขาดูผิดหวังมากเลยนะที่ไม่เจอหน้าลูกน่ะ” เวินลี่เอามือแตะหน้าผากพลางทำท่าทางปวดศีรษะ “ลูกน่ะดื้อเกินไปแล้วนะ”

        “ช่างเถอะครับ” ชวีเสี่ยวปอพยายามดึงผ้าห่มมาคลุมศีรษะ ถ้าร่างกายท่อนล่างของเขาไม่ได้มีแค่กางเกงในตัวเดียว เขาก็อยากจะวิ่งหนีจากตรงนี้โดยเร็วที่สุด

        “พ่อเขาบอกว่าพรุ่งนี้จะพาลูกไปตกปลา” แต่เวินลี่ไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยเขาไป “ไม่ว่ายังไงก็เป็นพ่อลูกกัน ลูกจะหนีพ่อเขาไปตลอดชีวิตเลยเหรอ? ”

        “ตกปลาเหรอครับ?” ชวีเสี่ยวปอขมวดคิ้ว รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ “แค่ผมกับพ่อเหรอ?”

        “มีชวีจิ่งด้วย” เวินลี่เอ่ยด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์และไม่กล้าสบตาลูกชาย

        ชวีจิ่งอายุมากกว่าชวีเสี่ยวปอสองเดือน อีกฝ่ายเป็นพี่ชายต่างแม่ของเขา ชวีจิ่งยังมีพี่สาวอีกคนหนึ่งชื่อว่าชวีจิง ไม่รู้ว่าเพราะเกลียดเรื่องแย่ๆ เหล่านี้ในครอบครัวหรือเปล่า เธอถึงอาศัยอยู่ต่างประเทศตลอด ไม่ค่อยกลับมาเท่าไรนัก

        อีกทั้งชวีอี้เจี๋ยยังมานอกใจภรรยาของตัวเองตอนที่ยังตั้งครรภ์ท้องโตอีก ชวีเสี่ยวปอจึงรู้สึกว่าไม่แปลกที่ชวีจิ่งและแม่จะเกลียดเขากับเวินลี่

        เมื่อก่อนเวลาที่ชวีเสี่ยวปอกับชวีจิ่งเจอหน้ากันทีไรก็มักจะทะเลาะกันตลอด ทั้งยังทักทายพ่อแม่ของอีกฝ่ายด้วยถ้อยคำหยาบคายโดยไม่สนใจว่าพวกเขาต่างก็มีพ่อคนเดียวกัน ต่อมาเมื่อโตขึ้นพวกเขาก็ไม่ค่อยจะทะเลาะกันเท่าไรแล้ว แต่ก็ยังคงมองหน้ากันอย่างไม่ชอบใจเช่นเดิม จะมีก็แต่ชวีอี้เจี๋ยที่รู้สึกยินดีเวลาที่พวกเขาสองคนอยู่ด้วยกัน

        เหตุผลก็คล้ายกับที่เวินลี่บอก ‘ความสัมพันธ์ทางสายเลือด’ ที่ไม่อาจหลีกหนีได้ “ต่อไปถ้าพ่อกับแม่ไม่อยู่แล้ว พี่เขาก็คือญาติพี่น้องที่สนิทชิดเชื้อของลูกนะ” ชวีเสี่ยวปอรู้สึกว่าชวีอี้เจี๋ยมีความสามารถในการพูดจาไร้สาระเป็นที่สุด เห็นๆ อยู่ว่าพวกเขาสองคนแทบจะตีกันตายมาตั้งแต่เด็ก แต่ก็ยังจะพูดเรื่องเหล่านี้ออกมาได้อีก ช่างเป็นคนที่มีความสามารถจริงๆ

        แต่ชวีเสี่ยวปอเองก็รู้ตัวดีว่าเขาไม่อาจหลีกหนีได้ ชวีอี้เจี๋ยไม่มีทางรามือแน่หากสิ่งที่เขาต้องการยังไม่สำเร็จผล เช้าวันรุ่งขึ้น รถที่จอดอยู่ชั้นล่างจอดรอจนแทบไม่ไหวแล้วจึงบีบแตรเร่งอีกสองครั้ง เมื่อนั้นชวีเสี่ยวปอถึงค่อยๆ เดินทอดน่องออกมา

        เวินลี่กำชับอีกครั้งว่าห้ามทะเลาะกัน

        “เข้าใจแล้วน่า” ชวีเสี่ยวปอสวมหมวกเอาไว้บนศีรษะอย่างเกียจคร้านพร้อมทั้งอดกลั้นไม่เอ่ยประโยคหลังออกไป

        ตราบใดที่ชวีจิ่งไม่มาหาเรื่องเขาก่อน จะให้เขาทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น

        “ไม่สวมเสื้อคลุมเหรอ? ข้างนอกมันร้อนนะ”

        ชวีอี้เจี๋ยที่นั่งอยู่ในรถมองมายังชวีเสี่ยวปอ ดูเหมือนวันนี้อีกฝ่ายจะอารมณ์ดีไม่น้อย เพราะเขาไม่ได้ตำหนิเรื่องที่ชวีเสี่ยวปอมาสายเลย

        “ยังไงผมก็ไม่ได้จะไปตกปลาอยู่แล้ว ขอดูอยู่ห่างๆ แล้วกันครับ” ชวีเสี่ยวปอเปิดประตูรถ ชวีจิ่งที่นั่งอยู่เบาะหลัง กำลังเล่นโทรศัพท์มือถืออยู่ อีกฝ่ายทำเพียงเหลือบมองมาอย่างเฉยเมยเท่านั้น นิ้วมือที่เกาะอยู่บนประตูรถของชวีเสี่ยวปอพลันงอเข้าหากันด้วยความอึดอัด แต่ยังคงหย่อนก้นลงไปนั่ง

        น่าหงุดหงิดชะมัด

        “ฮ่าๆ ลองดูหน่อยสิ คราวก่อนพี่ชาย… เสียวจิ่งยังตกได้ตั้งสองสามตัวแน่ะ” ชวีเสี่ยวปอยื่นมือออกไปนอกหน้าต่างรถโบกมือให้เวินลี่ที่อยู่ในบ้าน ในตอนนั้นเองทำให้ชวีเสี่ยวปอได้เห็นว่าชวีจิ่งที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาเล่นมือถือตลอดเวลากำลังเบะปากแสดงท่าทางรังเกียจออกมาอย่างชัดเจน

        รถแล่นออกไปทางชานเมือง ชวีเสี่ยวปอและชวีจิ่งต่างก็เงียบเป็นเป่าสากไปตลอดทาง ทว่าชวีอี้เจี๋ยและเหล่าหูคนขับรถกลับคุยกันอย่างสนุกสนาน คุยกันแม้กระทั่งเรื่องตลกเก่าๆ เป็นระยะๆ ทำให้ชวีเสี่ยวปอที่ได้ยินรู้สึกขนลุกชัน

         “ถึงแล้ว”

        ชวีเสี่ยวปอกำลังงีบหลับอยู่บนรถ เมื่อถูกปลุกให้ตื่นก็เห็นบ่อตกปลาปรากฏอยู่ตรงหน้าแล้ว

        เหล่าหูคนขับรถและชวีอี้เจี๋ยกำลังขนอุปกรณ์ตกปลาลงจากท้ายรถ ส่วนชวีจิ่งก็ไม่รู้ว่าหายไปไหนแล้ว ชวีเสี่ยวปอเปิดปากหาวหวอดพลางยืดเส้นยืดสายก่อนที่จะลงจากรถ

        หลังจากมองไปรอบๆ อยู่ครู่หนึ่ง ชวีเสี่ยวปอก็พบว่าบ่อตกปลาแห่งนี้เป็นเหมือนฟาร์มสเตย์มากกว่า มีเตาบาร์บีคิวหลายเตาวางเรียงรายอยู่ริมแม่น้ำ ชวีเสี่ยวปอไม่ได้สนใจเรื่องการตกปลามากนัก แต่อย่างน้อยบาร์บีคิวก็ทำให้เขารู้สึกสดชื่นขึ้นมาบ้าง

        เพราะพวกเขามาเร็ว บริเวณบ่อตกปลาจึงยังไม่ค่อยมีคนเท่าไรนัก ดูเหมือนชวีอี้เจี๋ยจะเป็นลูกค้าประจำของที่นี่เสียด้วย เถ้าแก่เจ้าของร้านรีบเข้ามาทักทายอย่างกระตือรือร้นและแน่นอนว่าต้องเอ่ยถึงชวีเสี่ยวปออย่างเสียไม่ได้ “นี่ ลูกชายคนเล็กสินะครับ? เหมือนลูกชายคนโตเปี๊ยบเลย! หน้าตาหล่อเหลาทั้งคู่เลยนะครับ” ชวีเสี่ยวปอหัวเราะแห้งและเข้าใจในทันทีว่าทำไมชวีจิ่งถึงรีบปลีกตัวออกไปก่อน ถ้าอีกฝ่ายมาได้ยินคำพูดพวกนี้ คงได้มีเรื่องกันสักตั้งล่ะมั้ง?

        หลังจากเลือกสถานที่ได้แล้ว ชวีอี้เจี๋ยก็ยื่นคันเบ็ดให้ชวีเสี่ยวปอ “ลูกใช้อันนี้ก็พอแล้ว ลอง…” ยังไม่ทันที่ชวีอี้เจี๋ยจะเอ่ยจบ ชวีเสี่ยวปอที่กำลังถือคันเบ็ดอย่างสั่นเทาก็เหวี่ยงมันออกไปไกลจนเกิดเป็นเส้นโค้งขยุกขยิกห้อยอยู่กลางอากาศ

        บ้าเอ๊ย! คันเบ็ดบ้าอะไรเนี่ย!

        ชวีเสี่ยวปอพลันตกตะลึงจนตาค้าง จากนั้นก็ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ของเหล่าหูที่อยู่ข้างหลัง น่าอายชะมัด

        “ไม่เป็นไรหรอก ค่อยเป็นค่อยไปก็ได้” ชวีอี้เจี๋ยยิ้มพลางตบไหล่เขาเบาๆ จากนั้นจึงหยิบคันเบ็ดกลับไปผูกสายเบ็ดใหม่อย่างเงียบๆ ด้วยความอดทนที่ไม่ค่อยแสดงออกมาให้เห็นบ่อยนัก

        แต่ชวีเสี่ยวปอก็ไม่ได้ตกปลาต่อ เพราะทันทีที่ชวีอี้เจี๋ยหยิบกล่องขนาดเล็กที่อัดแน่นไปด้วยไส้เดือนที่กำลังดิ้นทุรนทุรายซึ่งจะนำมาใช้เป็นเหยื่อล่อออกมา ชวีเสี่ยวปอก็แทบจะสติแตก

        “แม่เจ้า อะไรกันเนี่ย?” ชวีเสี่ยวปอกลืนความรู้สึกคลื่นไส้ลงคอและรีบถอยหลังออกไปหลายก้าว

        “ตกปลาก็ต้องใช้เจ้านี่แหละ” ชวีอี้เจี๋ยเงยหน้าขึ้น “มาสิ”

        “ช่างเถอะ” ชวีเสี่ยวปอโยนคันเบ็ดไว้อีกด้าน แต่จู่ๆ ชวีจิ่งที่มาจากไหนรู้ก็นั่งลงข้างๆ พ่อของเขา อีกฝ่ายถือคันเบ็ดไว้ในมือพร้อมกับจ้องมองไปที่ผิวน้ำด้วยท่าทางเหมือนกับชวีอี้เจี๋ยไม่มีผิด

        หลังจากมองดูอยู่สักพักชวีเสี่ยวปอก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนเกินเพราะภาพตรงหน้านี้ดูกลมกลืนกันอย่างบอกไม่ถูก ถ้าถ่ายรูปแล้วปริ้นออกมาให้คนที่เดินผ่านไปมาตามท้องถนนตั้งชื่อภาพ บางทีใครๆ ก็อาจจะตั้งชื่อภาพนี้ว่า ‘พ่อลูกผูกจิต’ สี่คำนี้เป็นแน่

        งี่เง่าชะมัด!

        ชวีเสี่ยวปอรีบตำหนิตัวเองทันทีที่คิดแบบนั้น เขาหันไปมองรอบๆ และไม่ได้สนใจอะไรอีก สภาพแวดล้อมของที่นี่ดีจริงๆ แม้จะเป็นเพียงชานเมืองแต่อากาศก็สดชื่นกว่าใจกลางเมืองหลายเท่าเพราะล้วนมีแต่กลิ่นต้นไม้ใบหญ้าทั้งนั้น เถ้าแก่เจ้าของที่นี่เลี้ยงชิบะอินุไว้ตัวหนึ่ง ชวีเสี่ยวปอวิ่งเล่นกับมันอยู่นาน เหนื่อยจนเหงื่อท่วมตัวไปหมด สุดท้ายเถ้าแก่ก็เอาแตงกวาสองลูกกับแตงโมครึ่งลูกที่ปลูกเอาไว้ในสวนเล็กๆ ของตัวเองมาให้ชวีเสี่ยวปออย่างใจดี ส่วนชวีเสี่ยวปอหลังจากที่พยายามบอกปัดด้วยความเกรงใจแต่ไม่ได้ผล เขาก็เดินแทะแตงกวากลับมา

        ไกลออกไปนั้นเขาเห็นคนกลุ่มหนึ่งกำลังยืนคุยอยู่กับชวีอี้เจี๋ย

        ชวีเสี่ยวปอยืนนิ่งงันพลันรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ

        หลังจากที่ตระหนักได้แล้วว่ามีอะไรผิดปกติ ชวีอี้เจี๋ยที่เห็นเขาเข้าพอดีก็โบกไม้โบกมือมาทางเขา

        และในตอนที่หนึ่งในคนที่ยืนอยู่ตรงข้ามชวีอี้เจี๋ยหันมาเห็นชวีเสี่ยวปอ ทั้งสองคนต่างลอบสบถคำหยาบคายออกมา

        ต้วนเหล่ยมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?

        หากเป็นในละครทีวีทันทีที่คนทั้งสองสบตากันก็จะมีเสียงคมดาบที่ถูกชักออกจากฝักสิถึงจะเหมาะเจาะ

        แต่น่าเสียดายที่ไม่มี

        ชวีเสี่ยวปอยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นด้วยความมึนงง ความคิดบางอย่างแวบเข้ามาในศรีษะ : จะใช้แตงกวาครึ่งลูกในมือเป็นไม้ตะบองหรือเอาแตงโมครึ่งลูกนี่ทุบหน้าผากของต้วนเหล่ยไปเลยดี แล้วอย่างไหนมันเจ็บมากกว่ากัน

        “มานี่สิ”

        แต่ชวีเสี่ยวปอยังไม่ทันได้ทำอะไร ชวีอี้เจี๋ยก็เอ่ยเรียกเขาอีกครั้ง เขาจึงเดินเข้าไปหาอีกฝ่าย

        “ลูกต้องเรียกว่าลุงต้วนนะ” ชวีอี้เจี๋ยชี้ไปที่ชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ข้างตัวเอง

        “สวัสดีครับ ลุงต้วน” ชวีเสี่ยวปอเอ่ยทักทายอย่างสุภาพ แต่เมื่อมองไปยังชายร่างสูงใหญ่ที่สวมสร้อยทองเส้นใหญ่ขนาดเท่านิ้วก้อย ทั้งยังมีรอยสักที่ดูเทอะทะอยู่บนแขน มันจึงเป็นเรื่องยากที่จะให้ชวีเสี่ยวปอมองว่าต้วนเหล่ยที่มีรูปร่างผอมแห้งราวกับท่อนไม้ที่ยืนอยู่ข้างๆ เขาจะมีความเกี่ยวข้องกันกับชายตรงหน้า หรือข้าวบ้านหมอนี่จะเอาไว้ให้พ่อตัวเองกินคนเดียวสินะ?

        “โธ่ พ่อหลานชาย” แม้ใบหน้าพ่อของต้วนเหล่ยจะดูดุดัน แต่เมื่อคุยกับชวีเสี่ยวปอกลับพยายามทำตาหยีราวกับกำลังแสดงคำว่า ‘ใจดี’ ออกมาให้ได้มากที่สุด ความรู้สึกที่ขัดแย้งกันนี้ทำให้ชวีเสี่ยวปออดขนลุกขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้

        “นี่ต้วนเหล่ยลูกชายลุงเอง ต้วนเหล่ย เรียกพี่เขาสิ”

        “ช่างเถอะครับ!”

         “ผมไม่……”

        ชวีเสี่ยวปอและต้วนเหล่ยแทบจะปฏิเสธออกมาพร้อมกัน

        พ่อของต้วนเหล่ยพลันแสดงสีหน้าเคร่งขรึมทันที ความจริงก็ดูออกได้ไม่ค่อยยากเท่าไรว่าอีกฝ่ายดูเหมือนมีเรื่องจะขอร้องชวีอี้เจี๋ย อีกทั้งดูเหมือนอยากจะผูกมิตรด้วย วันๆ มีคนมากมายที่อยากจะมาประจบประแจงชวีอี้เจี๋ยแบบนี้ ดังนั้นชวีเสี่ยวปอเห็นมาจนชินตาแล้วล่ะ แต่พ่อของต้วนเหล่ยไหนเลยจะรู้ว่าลูกชายของตัวเองมีเรื่องบาดหมางกับชวีเสี่ยวปอ อีกฝ่ายรู้เพียงแค่ว่าลูกชายไม่รู้จักกาลเทศะจนเกือบจะทำให้ตัวเองเสียหน้า ฉะนั้นหากจะไม่พอใจก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

        ชวีอี้เจี๋ยหัวเราะชอบใจพร้อมกับเอ่ยราวกับเป็นเรื่องปกติ “ไม่ต้องไปสนใจพวกเขาหรอก ปล่อยให้พวกเด็กๆ เขาเล่นกันไปเถอะ ถ้าเรามัวแต่มองเดี๋ยวพวกเขาจะอึดอัดเอานะ”

        “น่ะ นั่น นั่นสินะครับ ผู้อำนวยการชวีพูดถูกครับ” พ่อของต้วนเหล่ยรีบเห็นดีเห็นงามทันที แต่ก็ยังไม่วายจ้องไปที่ต้วนเหล่ยพลางเอ่ยพึมพำว่า “ทำตัวดีๆ ล่ะ อย่าสร้างปัญหาให้ฉัน”

        ต้วนเหล่ยมีรอยช้ำเลือดที่จมูกเป็นดวงๆ อย่างเห็นได้ชัด

        ชวีเสี่ยวปอครุ่นคิด เขาไม่รู้ว่าตัวเองต่อยไปอิท่าไหน บางทีถ้าต่อยไปอีกสักสองหมัดต้วนเหล่ยอาจจะเละเป็นโจ๊กไปเลยก็ได้ แต่พอเห็นสภาพของอีกฝ่ายแบบนี้ คงต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งสัปดาห์ถึงจะหาย คนอวดดีเช่นอีกฝ่ายก็เสียหน้าเป็นเหมือนกันสินะ ชวีเสี่ยวปอพลันรู้สึกพอใจไม่น้อย

        “มองหาแม่นายหรือไง!”

        ชวีอี้เจี๋ยกับพ่อของต้วนเหล่ยเดินจากไปไกลแล้ว ต้วนหล่ยที่เห็นว่าชวีเสี่ยวปอเอาแต่จับจ้องตัวเองก็กลับมาใช้ถ้อยคำที่ไม่สุภาพอีกครั้ง

        “มองไอ้กระจอกไง ไม่ได้เหรอ?” ชวีเสี่ยวปอโยนแตงกวาที่กินเหลือเพียงขั้วทิ้งไปและชูนิ้วกลางขึ้น

        “ชวีเสี่ยวปอ!” ต้วนเหล่ยคำรามเสียงฮึดอัดพลางกัดฟันราวกับต้องการจะเคี้ยวคำสามคำนี้ให้แหลกละเอียดและเอ่ยเสียงแข็งว่า “เป็นบ้าอะไรของนาย”

        “เป็นพ่อนายมั้ง” ชวีเสี่ยวปอแสร้งยิ้มพลางมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเย็นชา

        “แก!” ต้วนเหล่ยก้าวไปข้างหน้า แต่จู่ๆ ก็พลันหยุดฝีเท้าเอาไว้ ถ้าทั้งสองคนชกต่อยกันที่นี่จริงๆ เรื่องที่พ่อของต้วนเหล่ยต้องการจะทำคงได้คว้าน้ำเหลวอย่างแน่นอน และด้วยรูปร่างของพ่ออีกฝ่าย ต่อให้ตบตีต้วนเหล่ยสักสี่คนคงจะไม่ครณามือเท่าไร

        ชวีเสี่ยวปอยังคงนิ่งเฉย เขาจ้องมองต้วนเหล่ยด้วยสายตาดุดัน

        “ฝากไว้ก่อนเถอะ” ต้วนเหล่ยถ่มน้ำลาย “ฉันจะให้นายไปรวบรวมพรรคพวกก่อนแล้วกัน อ้อ ไอ้คนที่แจ้งตำรวจนั่นด้วย โรงเรียนเดียวกับนายสินะ? อย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะว่าพวกนายรวมหัวกัน คืนนี้ฉันจะเอาเลือดไอ้หมอนั่นออกจากหัว ไอ้หน้าไหนก็อย่าได้คิดจะหนีเด็ดขาด ตัวๆ กันไปเลย” หลังจากเอ่ยจบต้วนเหล่ยก็หมุนตัวเดินจากไป

        “เลือดออกกับผีน่ะสิ” ชวีเสี่ยวปอก่นด่าตามหลัง เขาไม่รู้ว่าต้วนเหล่ยเป็นบ้าอะไร ราวกับมีพลังงานเหลือล้นจนไม่มีที่ให้ปลดปล่อย

        เรื่องอื่นยังพอรับมือได้ แต่ที่ต้วนเหล่ยบอกว่า “ไอ้คนที่แจ้งตำรวจ” ทำให้ชวีเสี่ยวปอรู้สึกไม่สบายใจ

        อีกฝ่ายคงไม่ได้หมายถึง “เลือดตกยางออก” จริงๆ หรอก แต่ฟังจากคำพูดแล้วคงจะต้องไปหาเรื่องเซี่ยเจิงอย่างแน่นอน ต้วนเหล่ยนี่ถนัดทำเรื่องเลวๆ ลับหลังจริงๆ

        เมื่อคิดได้ดังนั้น ชวีเสี่ยวปอก็รีบหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาดูทันที เมื่อคืนเขาแอดวีแชทเซี่ยเจิง แต่ก็ไม่มีข้อความตอบรับคำขอเป็นเพื่อนเลย

        “ไม่ได้เล่นแล้วจริงๆ สินะ…” ชวีเสี่ยวปอพึมพำพลางเปิดรายชื่อเพื่อนในโทรศัพท์มือถือ ความจริงเขาไม่อยากโทรหาเซี่ยเจิงเท่าไร แต่เขารู้ว่าอย่างไรก็ต้องโทร เพราะเรื่องนี้เกิดจากตัวเขาเอง ถ้าเซี่ยเจิงเกิดเจ็บตัวขึ้นมา ทั้งหมดก็เป็นความผิดของเขา

        ชวีเสี่ยวปอไม่อยากเป็นหนี้บุญคุณอะไรอีกฝ่าย

        ทว่ากลับโทรไม่ติด เขาโทรหาอีกสองสามครั้งก็ล้วนเป็นเสียงนี้ตอบกลับมา “เลขหมายที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้ กรุณาติดต่อใหม่อีกครั้ง”

        กระทั่งตอนที่ตัวเองมายืนอยู่ตรงสี่แยกแห่งนี้อีกครั้ง ชวีเสี่ยวปอก็รู้สึกว่าตัวเองมีบางอย่างแปลกไป

        เพราะเซี่ยเจิงไม่รับโทรศัพท์อย่างนั้นเหรอ? ทำไมตัวเขาถึงขอให้ชวีอี้เจี๋ยย้อนกลับมาส่งที่นี่ให้ได้ ทั้งยังโกหกไปว่ามาเล่นกับเพื่อนอีก

        เพื่อนอะไรกันล่ะ

        ชวีเสี่ยวปอยังคงครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องหนึ่ง หรือเพราะเซี่ยเจิงเห็นว่าเบอร์นั้นเป็นเบอร์ของเขาอีกฝ่ายเลยตั้งใจไม่รับโทรศัพท์ ถ้าเป็นแบบนั้นล่ะก็ อีกเดี๋ยวตอนที่เข้าไปในร้านเขาเตะตวัดหมอนั่นสักทีดีไหมนะ

        ถึงไม่มาก็ไม่ถือว่าเสียหายอะไร แต่ไหนๆ ก็มาเพราะความไม่สบายใจแล้ว

        คงไม่มีใครอยากจะปฎิเสธความปรารถนาดีของคนอื่นหรอก

        ชวีเสี่ยวปอมองไปยังป้ายหน้าร้านที่ยังสว่างไสวอยู่ไม่ไกล หลังจากลังเลอยู่พักหนึ่งเขาจึงค่อยๆ เดินไปทางร้านสะดวกซื้อ

        แต่ก่อนจะเดินเข้าประตูก็ดันเจอเรื่องยุ่งยากเข้าเสียได้

        กลิ่นของแอลกอฮอล์รุนแรงจนฉุนจมูก ทั้งยังมีกลิ่นแปลกๆ ที่ไม่สามารถอธิบายได้อีก กลิ่นๆ นี้ทำให้ศีรษะของชวีเสี่ยวปอพลันว่างเปล่าไปชั่วขณะ กระทั่งเขาได้สติจึงคุ้นๆ ว่าเหมือนเคยได้กลิ่นนี้มาก่อน จำได้ว่าคืนหนึ่งที่พวกเขาไปกินบาร์บีคิว ซือจวิ้นดื่มจนเมาและอาเจียนกลิ่นนี้ออกมาสามรอบ!

        ด้านหน้าร้านสะดวกซื้อมีชายวัยกลางคนนอนอยู่แถมยังอาเจียนเอาเศษอาหารออกมาเท่ากับพิซซ่าชิ้นใหญ่ แววตาของชายคนนั้นดูงุนงง ทั้งยังแสร้งทำเป็นไม่ได้สติ ปากยังคงคร่ำครวญไม่หยุด เหมือนกับกำลังคร่ำครวญด้วยความอึดอัดอีกทั้งยังดูเหมือนกำลังพึมพำอะไรบางอย่างอยู่

        “ตกใจหมด”

        ชวีเสี่ยวปอขมวดคิ้วพลางเอ่ยกับคนในร้าน นอกจากเซี่ยเจิงแล้ว ยังมีหญิงสาวอยู่อีกคน ดูจากเสื้อผ้าที่เธอสวมใส่แล้วน่าจะเป็นแคชเชียร์

        “ขอโทษค่ะ…” ทั้งสองพร้อมใจกันมองมาที่เขา หญิงสาวเป็นคนเอ่ยขึ้นมาก่อน เธอชี้ไปทางคนเมาที่นอนอยู่บนพื้น คงคิดว่าเขาเป็นลูกค้าก็พลางทำท่าทางอย่างกับคนทำอะไรไม่ถูก

        “หืม?” สีหน้าของเซี่ยเจิงประหลาดใจเล็กน้อย ราวกับอยากจะถามว่าเขามาได้อย่างไร

        “เดี๋ยวฉันค่อยอธิบายให้ฟังทีหลัง” ชวีเสี่ยวปอที่ถูกมองอยู่ก็รู้สึกเขินอายเล็กน้อย เขาโบกมือและพยักหน้าไปทางคนที่นอนอยู่บนพื้น “ไม่คิดจะทำอะไรหน่อยเหรอ?”

        “พวกนายรู้จักกันเหรอ?” หญิงสาวหันไปถามเซี่ยเจิง

        “อืม เพื่อนที่โรงเรียนน่ะ” เซี่ยเจิงเอ่ยตอบ

        “อ๋อๆ หวัดดีจ้า” หญิงสาวพยักหน้าให้ชวีเสี่ยวปอพลางเอ่ยทักทาย

        สิ้นเสียงหญิงสาว จู่ๆ ชายขี้เมาก็พลิกตัวไปมาราวกับซากศพกระตุก ทั้งยังตะโกนเสียงดัง “ฉันไม่ไป จ่ายเงินมา! ถ้าไม่จ่ายฉันก็ไม่ไปโว้ย!”

        “จ่ายเงินเหรอ?” ชวีเสี่ยวปอมองไปยังเซี่ยเจิง

        “เขาเมาแล้วมาซื้อของ พอตอนเดินออกไปก็ไปชนประตูเข้า” เซี่ยเจิงอธิบายด้วยท่าทางเฉยเมย “ฉันไปช่วยพยุงเขาก็มาหาว่าฉันผลักตัวเองล้ม” หญิงสาวเอ่ยเสริม

        “เธอนั่นแหละทำร้ายฉัน! ช่วยพยุงอะไรกัน! โมเมว่าตัวเองมีน้ำใจแบบนั้นได้ยังไง!” ชายขี้เมาเอ่ยอย่างไม่พอใจ

        “ให้ตายเถอะ คุณเมาจริงๆ หรือเปล่าเนี่ย?” นี่มันพวกอันธพาลชัดๆ ชวีเสี่ยวปอยิ่งฟังยิ่งรู้สึกรำคาญ เขามองเซี่ยเจิงพลางเอ่ยถาม “ที่ร้านไม่มีกล้องวงจรปิดเหรอ? จะได้โยนเขาออกไปและจบเรื่องสักที”

        “มี” เซี่ยเจิงตอบ “แต่มันเก่ามากแล้วน่ะ นายไปยืนอยู่รอข้างนอกแป๊บนึงเถอะ เดี๋ยวตำรวจคงจะมาแล้วละ”

        “โอเค” ชวีเสี่ยวปอพยักหน้าพลันเข้าใจความหมายที่เซี่ยเจิงบอกว่ามันเก่าแล้วหมายถึงอะไรกันแน่ ความจริงเมื่อครู่เขาอยากจะเตะชายขี้เมาคนนั้นสักที แต่เพราะเขาสวมผ้าใบสีขาวอยู่ ซึ่งดูเหมือนเซี่ยเจิงก็คิดแบบเดียวกันกับเขา หมอนี่ก็แสดงความอดทนเป็นเหรอเนี่ย จู่ๆ ไม่รู้ว่าทำไมชวีเสี่ยวปอถึงได้รู้สึกอยากจะหัวเราะออกมา

         “เฮ้อ”

        ขณะที่ชวีเสี่ยวปอกำลังจะเดินออกไปสูดอากาศ เซี่ยเจิงก็เอ่ยเรียกเขาอีกครั้ง

        “สักมวนไหม?” เซี่ยเจิงเขย่าซองบุหรี่ในมือ

        “ไม่อ่ะ” ชวีเสี่ยวปอส่ายศรีษะ เขาพลันเหลือบไปเห็นลูกอมมินต์บนชั้นวางด้านข้าง จากนั้นจึงหยิบขึ้นมากล่องหนึ่งแล้วแกะมันออกมายัดเข้าปากไปสองเม็ด “ไว้จะจ่ายทีหลังนะ”