บทที่ 8 ชามตะเกียบสามชุด
ในฐานที่มั่นคนเก็บกวาด หัวหน้าเหลยอยู่ด้านหน้า สวี่ชิงอยู่ด้านหลัง แสงแดดกำลังสาดส่องมายังพื้นดิน ตกอยู่บนตัวของพวกเขา
มองไกลๆ หนึ่งสูงหนึ่งเตี้ย หนึ่งชราหนึ่งเยาว์วัย แต่มองแล้วก็ดูลงตัว
เหมือนว่าความลงตัวหาได้ยากยิ่งในโลกที่โหดร้ายนี้
และบางทีอาจเพราะซากงูในมือหัวหน้าเหลยดูน่าสะพรึง จนทำให้คนผ่านทางรอบๆ ที่แม้ไม่เคยเข้าไปในลานประลองสัตว์ส่วนใหญ่ก็ไม่เข้ามารบกวนหลังจากที่ได้เห็น
สวี่ชิงชอบความรู้สึกนี้มาก ไม่ว่าถัดจากนี้จะได้กินงู หรือจะเป็นแสงแดดที่เข้ามาไล้ใบหน้า ก็ยังทำให้เขารู้สึกอบอุ่นขึ้นมา
สบายอย่างยิ่ง และคาดหวังอย่างมาก
และทุกครั้งที่สายตาตกไปยังซากงูที่หัวหน้าเหลยถืออยู่ น้ำลายในปากเขาก็เพิ่มมากขึ้น
เขาก็ชอบกินงูเช่นกัน
บ้านของหัวหน้าเหลย อยู่ในส่วนวงกลางของฐานที่มั่นนี้
เมื่อเทียบกับบ้านกระเบื้องที่อยู่ในพื้นที่วงใน กระโจมง่ายๆ ที่อยู่รอบนอก ที่พักอาศัยในพื้นที่วงกลางส่วนใหญ่ล้วนเป็นโครงสร้างหินและไม้ ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นบ้านเล็กสามหลังเรียงอยู่ด้วยกัน
ทุกหลังแม้จะไม่ใหญ่มาก แต่ตอนที่มองไปก็ยังดีกว่าตอนที่สวี่ชิงอยู่ที่ถ้ำยาจกมากโข
โดยเฉพาะที่พักของหัวหน้าเหลย ยังมีเรือนเล็กอีกแห่งก็ยิ่งหาได้ยากขึ้นไปอีก
ตอนที่เปิดประตูเรือนไม้ไผ่ ขณะสวี่ชิงกำลังพิจารณา หัวหน้าเหลยหิ้วซากงูเดินไปยังห้องสุดท้าย ชี้นิ้วไปยังห้องเล็กห้องที่สอง
“เด็กน้อย หลังจากนี้เจ้าก็อยู่ที่นั่นแล้วกัน เข้าไปทำความคุ้นชินเสียก่อน เดี๋ยวกับข้าวทำเสร็จแล้วข้าจะเรียกเจ้าเอง”
หัวหน้าเหลยพูดพลางเข้าไปในเรือนข้างๆ ไม่นานนักก็มีเสียงสับเนื้อแว่วออกมา
สวี่ชิงกลืนน้ำลายเอื๊อก มองเข้าไปในเรือนเล็กสังเกตอย่างละเอียดก่อนรอบหนึ่ง จากนั้นจึงเดินเข้าไปในห้องเล็กห้องที่สอง ด้านในมีเตียงหนึ่งเตียง เครื่องนอนชุดหนึ่ง โต๊ะเก้าอี้ชุดหนึ่ง นอกจากนี้ก็ไม่มีสิ่งอื่นอีก
บนพื้นสะอาดมาก โต๊ะเก้าอี้ก็ไม่มีฝุ่นจับ เห็นได้ชัดว่ามีคนเช็ดถูเป็นประจำ เครื่องนอนเองก็ซักจนสะอาดอย่างเห็นได้ชัด ด้านบนยังมีกลิ่นถูกตากแดดอยู่
ทั้งหมดนี้ ทำให้สวี่ชิงพอใจมาก
เขาไม่ชอบห้องใหญ่ๆ เขาชอบห้องเล็กๆ ที่ตนเองสามารถมองผาดเดียวแล้วเห็นได้ทั้งหมด เหมือนสามารถสะท้อนภาพทั้งหมดออกมาในหัวได้เช่นนั้น
เช่นนี้ยิ่งทำให้เขารู้สึกปลอดภัย
หลังจากที่สำรวจอย่างละเอียดไปแล้วรอบหนึ่ง สวี่ชิงมองเตียงสะอาดสะอ้าน เพียงคิดแล้วแต่ก็ไม่ได้เดินไป เลือกที่จะทิ้งตัวนั่งลงบนพื้นแทน
ขัดสมาธิหลับตา เริ่มการฝึกบำเพ็ญของวันนี้
ในการฝึกบำเพ็ญนี้ จากการหลั่งทะลักของจิตวิญญาณ ข้างหูเขายังมีเสียงเดือดพลั่กของน้ำมันจากห้องสุดท้ายที่อยู่ข้างๆ อีกด้วย
เพียงไม่นานกลิ่นหอมก็ลอยเข้ามาจากในร่องหินและไม้ของผนัง ขณะที่แผ่กระจายไปทั้งห้องเล็ก ก็ยังทำเอาในท้องของสวี่ชิงส่งเสียงโครกครากออกมาด้วย
หอมมาก
ลูกกระเดือกของสวี่ชิงขยับขึ้นลงอย่างควบคุมไม่ได้ ลืมตามองไปทางห้องสุดท้าย
ชีวิตในถ้ำยาจกหลายปี เขาจำไม่ได้แล้วว่าได้กลิ่นหอมแบบนี้เมื่อครั้งที่แล้วมันคือเมื่อไร
ดังนั้นเขาจึงสะกดเสียงความปรารถนาในท้องที่แว่วออกมา หลับตาลงเพื่อให้ตนเองสงบลง ฝึกบำเพ็ญต่อ
เวลาผ่านไปช้าๆ เช่นนี้ เพียงไม่นานก็พลบค่ำ
ขณะที่ด้านนอกห้องมีเสียงร้องเรียกให้กินข้าวของหัวหน้าเหลย สวี่ชิงที่เพิ่งฝึกบำเพ็ญของหนึ่งวันจบ ดวงตาก็เบิกโพลงขึ้นอย่างรวดเร็ว
เขาลุกขึ้นเดินออกจากห้องทันที มองเห็นหัวหน้าเหลยยืนอยู่ที่ประตูห้องข้างๆ กวักมือเรียกเขา
สวี่ชิงมองเห็นบนโต๊ะอาหารในห้องจากช่องว่างข้างตัวหัวหน้าเหลย เป็นงานเลี้ยงเนื้องูนานาชนิดถูกจัดวางไว้แล้วเรียบร้อย มีทั้งทอดน้ำมัน ผัดไฟแดง นึ่ง และยังมีน้ำแกงงูเข้มข้นอีก
เห็นได้ชัดว่าหัวหน้าเหลยมีฝีมือทำอาหารที่ดีมาก สีกลิ่นรสมาครบ
สวี่ชิงมองผาดหนึ่ง สายตาก็แข็งขึ้นมา หัวหน้าเหลยยิ้มๆ หันตัวเดินเข้าไปหยิบชามตะเกียบออกมาวาง
สวี่ชิงเองก็เข้าประชิดทันที เมื่อเดินเข้าไปในห้องสุดท้ายนี้ กลิ่นหอมก็ชัดเจนขึ้น แต่เขาก็ไม่ได้นั่งลงทันที แต่หลังจากรอจนหัวหน้าเหลยวางชามตะเกียบเสร็จ ดวงตาก็แข็งค้างฉับพลัน
ชามตะเกียบ คือสามชุด
“ยังมีคนอื่นอีกหรือ” ถึงแม้กลิ่นหอมจะยั่วยวนแค่ไหน แต่การปรากฏตัวของชามตะเกียบสามชุดนี้ ร่างกายสวี่ชิงก็ถอยออกห่างมาในพริบตา
เขามองหัวหน้าเหลยอย่างระแวดระวัง เอ่ยถามขึ้นเสียงเบา
“ไม่ต้องตึงเครียด นี่เป็นความเคยชินของข้า นั่นเป็น…คนที่ไม่มีทางเข้ามาได้ตลอดกาลคนหนึ่ง”
หัวหน้าเหลยเอ่ยตอบเสียงเรียบ ส่วนลึกของดวงตามีภาพเงาในความทรงจำปรากฏขึ้นและสลายไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงนั่งลงบนเก้าอี้
สวี่ชิงพยักหน้า หลังจากนั่งลง เขาก็คว้าเนื้องูทอดขึ้นมาก้อนหนึ่งอย่างอดใจไม่อยู่ ยัดใส่ปากเคี้ยวกร้วมๆ
ร้อนมาก แต่เขาก็กินอย่างมีความสุข น้ำมันท่วมไปทั้งปาก
เพิ่งกินหมดไปชิ้นหนึ่ง เขาก็เลียคราบน้ำมันบนปาก ขณะกำลังจะคว้างูผัดไฟแดง หัวหน้าเหลยก็กระแอมขึ้นมาเสียงหนึ่ง
“ใช้ตะเกียบ”
“โอ้” สวี่ชิงจับตะเกียบอย่างเงอะๆ งะๆ หลังจากปรับตัวได้สักพัก ก็แทงลงไปบนเนื้องูผัดไฟแดงชิ้นหนึ่ง กลืนลงไปคำใหญ่
ระหว่างกินข้าวทั้งสองคนไม่ได้พูดคุยกัน เพียงแต่ท่าทางการกินไม่เข้ากันอย่างมาก
หัวหน้าเหลยเคี้ยวและกลืนอย่างละเอียด ไม่เหมือนกับคนเก็บกวาดเลยแม้แต่น้อย อาหารทุกจานกินเพียงสองสามคำ ส่วนสวี่ชิงทางนั้นกลับกินเหมือนตายอดตายอยาก ปริมาณอาหารที่กินเข้าไปมากกว่าหัวหน้าเหลยอย่างยิ่ง
เมื่อเห็นสวี่ชิงกินเช่นนี้ หัวหน้าเหลยก็อดถามขึ้นมาไม่ได้
“ทำไมไม่เหมือนกับตอนที่ข้าให้หมั่นโถวกับเจ้าก่อนหน้านี้ที่กินทีละเล็กที่ละน้อยแบบนั้นล่ะ”
สวี่ชิงออกแรงกลืนเนื้องูในปากลงไป เงยหน้าขึ้นมองหัวหน้าเหลย ตอบกลับอย่างตั้งใจ
“หมั่นโถวเป็นของท่าน แต่เนื้องูเป็นของข้า”
สิ่งหนึ่งคืออาหารของคนอื่นที่แบ่งให้ตนเองกิน ส่วนอีกสิ่งหนึ่งคืออาหารของตนเองที่เชิญให้คนอื่นกิน
ความคิดง่ายๆ ของเด็กหนุ่ม สิ่งของที่เป็นของตนเอง แน่นอนว่าตนเองจะกินอย่างไรก็ได้
หัวหน้าเหลยพอได้ยินก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออก มองสวี่ชิงใช้ตะเกียบแทงเนื้องูอย่างต่อเนื่อง ซดน้ำแกงงูเข้มข้น แต่ก็ยังสังเกตเห็นว่าเด็กหนุ่มไม่ได้มาแตะต้องอาหารส่วนที่อยู่ใกล้เขาทางนี้เลย น้ำแกงงูเข้มข้นก็ดื่มอย่างยั้งมืออยู่
เขากินอย่างมูมมามเฉพาะส่วนของตนเองเท่านั้น
“งูเหลือมของเจ้าตัวนั้น มีเนื้อเยอะมาก น่าจะพอกินไปถึงครึ่งเดือน ยิ่งไปกว่านั้นหนังกับกระดูกงูก็ยังมีมูลค่าพอสมควร ดังนั้น…” หัวหน้าเหลยเอ่ยขึ้นมาประโยคหนึ่ง
“ค่าเช่าเดี๋ยวข้าจะจ่ายให้ ไม่ต้องใช้สิ่งนี้มาหักออก” จุ่ๆ สวี่ชิงก็เอ่ยขึ้น
เนื้องูเป็นสิ่งที่ใช้ตอบแทนหมั่นโถวและถุงนอนตลอดการเดินทาง ส่วนมูลค่าของหนังงูกระดูกงูก็เพื่อตอบแทนที่เขาช่วยตนเองปกปิดเรื่องของกระทิงโฉด
ส่วนที่อีกฝ่ายพาตนเองออกจากซากเมืองแล้วเข้ามาในฐานที่มั่น นี่ก็เป็นบุญคุณ เป็นสินน้ำใจ
สวี่ชิงรู้สึกว่าการใช้มูลค่าของมาลบล้างมันไม่เหมาะสม ดังนั้นจึงจดจำไว้แล้วในใจ
หัวหน้าเหลยจดจ้องสวี่ชิง มองความตั้งใจในสายตาเขารวมไปถึงความคิดที่แบ่งแยกบุญคุณความแค้นออกอย่างชัดเจน จึงพยักหน้า หลังจากคิดแล้วก็ส่งเสียงตอบมาอีกครั้ง
“เด็กน้อย ดูแล้วตลอดทางมานี้เจ้าคงจะเดาเรื่องเกี่ยวกับฐานะข้าไว้เยอะ”
สวี่ชิงไม่พูดอะไร แต่ท่าทางการกินก็ช้าลง
“คนอื่นล้วนเรียกข้าว่าหัวหน้าเหลย ส่วนเรื่องชื่อนั้นไม่สำคัญ ในฐานที่มั่นคนเก็บกวาด ไม่มีใครใช้ชื่อจริงกัน”
หัวหน้าเหลยคีบเนื้องูนึ่งชิ้นหนึ่งขึ้นมา วางเข้าไปในปากเคี้ยวอย่างเชื่องช้า
“สาเหตุที่มีชื่อเรียกเช่นนี้ เป็นเพราะตอนที่ข้าอยู่ในฐานที่มั่นคนเก็บกวาดแห่งนี้ มีเพื่อนที่สามารถฝากฝังความเป็นความตายได้อยู่หลายคน
“พวกเราสร้างกลุ่มเล็กๆ ของตนเองขึ้นมา ชื่อของกลุ่มเล็กๆ นี้ก็ค่อนข้างธรรมดา มีชื่อว่าสายอัสนี
“ปกติแล้วทุกคนล้วนรับงานของตนเอง ถ้าหากเจอกับงานยากหน่อย ก็จะรวมกลุ่มกันออกไปทำงาน นับข้ารวมด้วยก็มีทั้งหมดสี่คน เวลานี้พวกเขาทั้งสามคนออกไปด้านนอกยังไม่กลับมา
“รอจนกลับมาแล้ว ข้าจะแนะนำให้เจ้ารู้จักทีละคน จากนี้เจ้าก็ติดตามพวกเรา ในฐานะสมาชิกใหม่ของกลุ่ม ออกไปรับงานหาทรัพยากรในการฝึกบำเพ็ญเพื่อความอยู่รอด”
เหมือนหัวหน้าเหลยอิ่มแล้ว วางตะเกียบลง จ้องมองสวี่ชิง
ประโยคสุดท้ายของเขา สวี่ชิงไม่ได้รู้สึกเกินคาดมากนัก
สวี่ชิงรู้สึกว่าที่ตนเองสังเกตได้ว่าหัวหน้าเหลยคือผู้บำเพ็ญไร้สังกัด ดังนั้นพออยู่ไปด้วยนานเข้า เรื่องที่ตนเองเป็นผู้ฝึกกายา อีกฝ่ายต้องสังเกตได้ถึงพลังของเขาอยู่แล้ว
“ได้” สวี่ชิงไม่ชักช้า พยักหน้าตอบทันที
เรื่องนี้ทำให้เขาผ่อนลมหายใจออกมาจากส่วนลึกจิตใจ เขาที่เติบโตมาในถ้ำยาจกรู้เป็นอย่างดี ว่าโลกใบนี้ไม่มีการมอบให้และความช่วยเหลือที่ไม่มีต้นสายปลายเหตุ ทั้งหมดล้วนมีเหตุผลของมัน
“เจ้ากินต่อเถอะ ข้าแก่แล้ว กินมากไปก็ย่อยไม่ไหว”
หัวหน้าเหลยไอออกมาหลายครั้ง หน้าแดงก่ำ แต่ไม่นานก็กลับเป็นปกติ ยืนขึ้นแล้วเดินออกไปด้านนอก ปากก็เอ่ยพูดออกมาว่า
“พลังวิญญาณในโลกนี้ก็เหมือนกับยาพิษ การฝึกบำเพ็ญที่ลำบากตลอดทางของเจ้าเช่นนั้น เป็นไปได้ว่าตัวเจ้ายังเดินไปได้ไม่ไกล ก็คงถูกไอพลังประหลาดทำให้กลายพันธุ์ไปแล้ว ฝึกบำเพ็ญต้องดำเนินอย่างมั่นคง จะรีบร้อนไม่ได้”
สวี่ชิงนิ่งงัน ไม่พูดไม่จา
ชายชราที่เดินไปถึงข้างประตู หันตัวกลับมามองสวี่ชิง ส่ายศีรษะ
“แต่ว่าเจ้าฝึกบำเพ็ญเช่นนี้ มันก็ถูกต้อง
“ฐานที่มั่นคนเก็บกวาดกับพื้นที่ต้องห้ามข้างๆ แตกต่างกับสถานที่ที่เจ้าเคยอยู่แต่ก่อนคนละเรื่อง และเนื่องจากวัตถุดิบที่อยู่ในพื้นที่ต้องห้าม จึงทำให้ที่นี่ส่วนใหญ่จึงกลายเป็นศูนย์รวมของผู้บำเพ็ญไร้สังกัดระดับล่างรวมไปถึงพวกเดนตายด้วย
“เจ้าพักอยู่ที่นี่ จำเป็นต้องไปยังพื้นที่ต้องห้ามด้วยเหมือนกัน ฝึกบำเพ็ญไว้มากหน่อยก็ดี”
หัวหน้าเหลยจากไป
สวี่ชิงนั่งอยู่คนเดียวตรงนั้น หลังจากที่กินเนื้องูทั้งหมดลงไปแล้ว เขาไม่ได้จากไปทันที แต่จัดการเก็บชามตะเกียบ หลังจากที่ล้างจนสะอาด จึงกลับไปยังห้องเล็กของตนเอง
นั่งขัดสมาธิลง ฝึกบำเพ็ญต่อ
สวี่ชิงเข้าใจเป็นอย่างดี หากไม่อยากจะอยู่อย่างดิ้นรนไปวันๆ ก็ต้องค้อมตัวลงเพื่อเอาตัวรอด ฝากอำนาจควบคุมความเป็นความตายไว้ในมือคนอื่น เช่นนั้นพลังของร่างกายตนเองก็คือรากฐานของทั้งหมด
โดยเฉพาะในฐานที่มั่นคนเก็บกวาดนี้ ผู้บำเพ็ญไร้สังกัดมีมากกว่าที่เขาเคยเห็นในช่วงหกปีรวมกันเสียอีก และทุกคนก็ล้วนเป็นคนไม่ดีทั้งสิ้น
ถ้าหากถ้ำยาจกเป็นรังสุนัขล่ะก็ ที่นี่ก็เหมือนกับรังหมาป่า
ถ้าไม่หมั่นเพียร เช่นนั้นก็ไม่ต้องรอให้กลายพันธุ์หรอก แต่คงตายอย่างไร้ที่กลบฝังเพียงเพราะความขัดแย้งหรือข้อพิพาทครั้งหนึ่งเท่านั้น
ส่วนเรื่องไอพลังประหลาด สวี่ชิงรู้มาจากตำราไม้ไผ่ว่ามียาลูกกลอนที่สามารถบรรเทาลงได้
ถึงแม้การรักษาจะยังไม่ตรงจุด แต่ก็พอรับมือได้ และชื่อของยานี้ เขาเองก็รู้มาจากการพูดคุยกันของคนเก็บกวาดเหล่านั้นระหว่างเดินทางที่ชื่อว่าลูกกลอนขาว
สิ่งที่มีอยู่มากมายใกล้ๆ พื้นที่ต้องห้าม ก็คือยาสมุนไพรที่จำเป็นในการสร้างยาลูกกลอนขาว ดังนั้นในฐานที่มั่นแห่งนี้ต้องมีการจำหน่ายยาลูกกลอนขาวแน่
เมื่อคิดถึงจุดนี้ สวี่ชิงก็ลูบตำแหน่งที่ฝังผลึกวารีสีม่วงในหน้าอก
ช่วงนี้เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนแล้ว ว่าร่างกายตนเองนอกเหนือจากพลังการฟื้นฟู ไม่ว่าจะความเร็วหรือว่าพละกำลัง ก็ยังล้วนยกระดับขึ้นมหาศาล
สืบเนื่องกับการยกระดับไปถึงขั้นที่หนึ่งของเคล็ดคีรีสมุทร แต่สวี่ชิงรู้สึกว่าขั้นที่หนึ่งของตนเองนี้เหมือนจะแตกต่างกับพลังหนึ่งหู่ที่บรรยายไว้ในเคล็ดคีรีสมุทรไปหน่อย
“ข้าสามารถตีพยัคฆ์ตายได้หลายตัว”
สวี่ชิงงึมงำ สัมผัสถึงพลังวิญญาณในร่างกาย การฝึกบำเพ็ญที่ยากลำบากมาตลอดทางนี้ ดูเหมือนใกล้จะไปถึงระดับสองแล้ว
“คืนนี้ จะทะลวงระดับที่สอง” สายตาสวี่ชิงเผยความแน่วแน่ออกมา หลับตาทั้งสองลง เริ่มหายใจเข้าออก
เพียงไม่นานจิตวิญญาณก็หลั่งทะลักออกไปทั่วสารทิศ พลังวิญญาณของด้านนอกพื้นที่ต้องห้ามเมื่อเทียบกับในพื้นที่ต้องห้ามแล้ว ไอพลังประหลาดมีน้อยกว่าอยู่มาก จึงทำให้ความเร็วการฝึกบำเพ็ญยกระดับขึ้นมาไม่น้อย
จุดนี้ชิงสวี่เองก็สังเกตเห็นที่ห้องแถวในลานประลองสัตว์ได้ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว
เวลานี้ปล่อยวางร่างกาย ระหว่างการออกแรงสูดรับและหายใจออก หน้าอกที่ถูกเสื้อขนสัตว์คลุมไว้ของเขาก็มีแสงสีม่วงจางๆ เปล่งประกายขึ้น
เวลาไหลผ่านไป ร่างกายของสวี่ชิง ค่อยๆ ส่งเสียงปึงปึงเบาๆ ออกมา สิ่งแปลกปลอมสีดำก็ถูกขับออกมาจากรูขุมขนอีกครั้ง
เลือดเนื้อในร่างกายที่ถูกบำรุงก็ราวกับจะแข็งแกร่งมากขึ้น มีพลังที่แกร่งยิ่งกว่า ค่อยๆ พุ่งออกมาจากด้านในจางๆ
ขณะเดียวกัน ภายนอกยามค่ำคืน เด็กสาวที่ถูกสวี่ชิงเปลี่ยนเข็มไม้ไผ่เมื่อตอนกลางวัน ก็เดินเข้ามาในเรือนด้านนอกที่สวี่ชิงพักอยู่
นางยืนลังเลอยู่ที่นั่นราวกับคิดจะเคาะประตู แต่ก็ยังรู้สึกใจเต้นตึกตัก
ผ่านไปนาน นางเหมือนจะรวบรวมความกล้าได้แล้ว เคาะลงไปบนประตูไม้ไผ่เบาๆ เพียงแต่เสียงแผ่วเกินไป ไม่สามารถส่งเข้าไปได้เลย
และตอนที่เด็กสาวเคาะประตูไม้ไผ่นั้น ก็เป็นช่วงที่เสียงปึงปึงในร่างกายสวี่ชิงดังขึ้นรุนแรงที่สุด
สวี่ชิงเบิกตาโพลงเพราะเสียงครืนครันในหัวเสียงหนึ่ง แสงม่วงเปล่งประกายในดวงตาเขาอีกครั้ง สีหน้าเขาก็เผยความยินดี ก้มหน้ามองลงไปที่ท่อนแขนของตนเอง ตรงนั่นปรากฏจุดกลายพันธุ์จุดที่สองขึ้นมาแล้ว
รวมปราณ ขั้นที่สอง