บทที่ 6 การหาเงินครั้งยิ่งใหญ่
บทที่ 6 การหาเงินครั้งยิ่งใหญ่
ใบหน้าของคุณย่าซูซีดขาว
เด็กคนนี้คงจะหวาดกลัวอย่างยิ่ง จึงเริ่มพูดจามั่วซั่วออกมา
ตอนเย็น หล่อนออกจากห้องไปอย่างเงียบ ๆ เพื่อไปเรียกหมอทำขวัญมา
จากนั้นซูเสี่ยวเถียนก็จำได้ว่ายุคนี้เป็นช่วงพิฆาตสี่เก่า*[1] และไม่สามารถพูดถึงปีศาจและผีได้!
เธอทำผิดพลาด!
แต่อย่างไรก็พูดออกไปแล้ว แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว
“คุณย่าคะ หนูบอกคุณย่าเพียงคนเดียว!” ซูเสี่ยวเถียนพูดอย่างรีบเร่ง “แต่หนูจะไม่บอกใคร!”
“หลานรัก ย่าว่าหลานป่วยจนพูดเลอะเทอะไปเรื่อย อาการของหลานยังไม่ดีขึ้น” คุณย่าซูแตะหน้าผากของซูเสี่ยวเถียนเพื่อตรวจสอบว่าหลานสาวของเธอมีไข้อีกครั้งหรือไม่
“จริง ๆ นะคะคุณย่า! หนูฝันจริง ๆ” ซูเสี่ยวเถียนพูดอย่างเคร่งขรึม ใบหน้าเล็ก ๆ ของเธอเผยเห็นถึงความกระวนกระวาย
ใบหน้าของคุณย่าเต็มไปด้วยความโอบอ้อมอารี บางทีเด็กน้อยอาจจะไปได้ยินคำพูดของราชามังกรโดนบังเอิญและเก็บเอาไปฝัน มันคงจะไม่เป็นอะไรหรอกกระมัง?
เป็นเธอที่คิดมากเกินไป
“ย่าเผามันเทศเอาไว้หลานอยู่ในเตา มันเกือบจะสุกแล้ว หลานกินเสร็จก็นอนซะ เดี๋ยวก็ลืมมันไปเอง”
ซูเสี่ยวเถียนส่ายหัวอย่างหนักแน่นและหันหลังกลับเพื่อเอาเงินห้าเหมาออกจากกล่องเล็ก ๆ บนหัวเตียง
เงินห้าเหมาถูกส่งมอบให้กับผู้เป็นย่า คุณย่าซูตกตะลึง
“หลานรัก เอาเงินนี่มาจากไหนน่ะ?”
แม้ว่าซูเสี่ยวเถียนจะเป็นที่รัก แต่การเป็นเด็กไม่น่าจะมีเงินสักหยวนในครอบครอง บางครั้งในช่วงปีใหม่เธอจะมีเงินปีใหม่หนึ่งหรือสองเหมาเพื่อซื้อขนม และเป็นไปไม่ได้ที่จะเอาเงินออกมาทีเดียวถึงห้าเหมา
“คุณย่า นี่คือสิ่งที่ราชามังกรบอกว่าให้หนูเอาไว้ซื้อลูกกวาด!” ใบหน้าเล็ก ๆ นั้นไร้เดียงสาและการแสดงออกอย่างซื่อสัตย์
คุณย่าซูกำลังสับสน
ความคิดล้าสมัยและการเชื่อเรื่องผีสางจะต้องถูกจับกุม แต่เงินที่หลานสาวตัวน้อยของเธอเอาออกมานั้นเป็นของจริง มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ!
“คุณย่ารับเงินห้าเหมานี้ไว้ ถ้าคุณปู่ราชามังกรให้เงินหนูมากขึ้นในอนาคต หนูจะเอามาให้คุณย่าอีก” ซูเสี่ยวเถียนพูดอย่างจริงจัง
ตลอดชีวิตของคุณย่าซูลำบากลำเข็ญ ทันทีที่หลานสาวของเธอพูดออกมาเช่นนี้ จึงกลัวมากว่าหลานสาวของตนจะถูกจับตามอง
“เด็กดีอย่าพูดอย่างนั้น คำพูดเหล่านี้ไม่สามารถพูดได้” หญิงชรารีบกอดซูเสี่ยวเถียนไว้ในอ้อมแล้วระดับเสียงลงต่ำ
ซูเสี่ยวเถียนพยักหน้าอย่างจริงจัง “หนูจะไม่บอกใครนอกจากคุณย่าค่ะ”
คุณย่าซูพยักหน้าอย่างกังวล แต่เธอก็ยังรู้สึกว่ามันไม่เหมาะสาม จึงรีบพูดออกมาอีกว่า “แม้แต่แม่ของหลานก็ไม่สามารถบอกได้”
ไม่ใช่ว่าลูกสะใภ้ไม่สามารถเชื่อถือได้ แต่ยิ่งมีคนรู้เรื่องแบบนี้น้อยเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น หากมีคนจับกุมพวกเขาได้ ทั้งครอบครัวจะประสบพบเจอความชั่วร้าย
ซูเสี่ยวเถียนพยักหน้าหงึกหงัก “หนูจะไม่บอกแม้แต่กับคุณพ่อและคุณแม่”
เมื่อคุณย่าซูได้หลานรักรับปากเช่นนี้ก็ออกไปข้างนอก
ซูเสี่ยวเถียนเริ่มอ่านหนังสืออีกครั้ง
เด็กหญิงตัวน้อยที่อ่านหนังสือนิทานอย่างจริงจังไม่รู้ว่าคำพูดของเธอทำให้หัวใจของคุณย่าซูกระวนกระวายจนแม้แต่ข้าวก็ลืมทำ
ไม่ใช่ว่าคุณย่าซูไม่เคยเห็นเงิน แต่เธอไม่เห็นเงินที่ราชามังกรมอบให้
เธอทั้งมีความสุขและเศร้า!
ฉันจะทำอย่างไรถ้าผู้คนรู้เรื่องนี้ พวกเขาทั้งหมดอาจจะถูกจับกุม?
ทันใดนั้น หญิงชราก็รู้ชัดกระจ่างแจ้ง
ตราบใดที่เธอไม่พูด และหลานสาวตัวน้อยของเธอไม่พูด ใครจะรู้ว่าเงินของครอบครัวเรามาจากไหน?
ใครจะไปพิสูจน์ได้ว่ามันมาจากราชามังกร
เพียงแต่ว่าราชามังกรได้ช่วยหลานสาวสุดที่รักของครอบครัวเรา แต่เธอไม่สามารถจุดธูปขอบคุณได้ด้วยซ้ำ นี่มันน่าอายจริง ๆ!
ถ้าช่วงเวลาใดไม่ถูกชาวบ้านในชุมชนจับตามอง ค่อยไปจุดธูปให้ราชามังกรกันเถอะ!
เมื่อนึกขึ้นได้ คุณย่าซูก็กลับไปทำอาหาร อย่างไรก็ตาม เธอสูญเสียเวลาไปเพราะความคิดไร้สาระ และมื้อกลางวันของตระกูลซูก็เริ่มสายไปเล็กน้อย
โชคดีที่ไม่ใช่เรื่องรับมือยากของตระกูลซู ครั้นสะใภ้สามคนกลับมาจากการทำงานและเห็นว่าอาหารยังไม่พร้อม จึงกุลีกุจอช่วยกันทำอาหารโดยไม่ปริปากบ่นแม้แต่น้อย
หญิงทั้งสี่ช่วยกันทำอาหารเสร็จอย่างรวดเร็ว มื้อกลางวันของคนในครอบครัวคือแป้งทอด ซึ่งทำจากแป้งข้าวโพดและน้ำแกงผัก
มีเพียงซูเสี่ยวเถียนเท่านั้นที่ได้กินแป้งทอดจากแป้งสาลี ซึ่งแตกต่างจากอาหารของทุกคนบนโต๊ะอาหาร
ซูเสี่ยวเถียนมองดูแต่รู้สึกละอายใจ เธอเป็นคนที่ไร้ประโยชน์ที่สุดในครอบครัว แต่เธอก็ได้กินดื่มอย่างดีที่สุดในครอบครัว
“คุณย่าคะ ในอนาคตหนูอยากกินเหมือนกับทุกคน”
“หลานรัก น้ำแกงผักป่าไม่อร่อยหรอกลูก”
“คุณย่า ในอนาคตพวกเราทุกคนควรกินอาหารดี ๆ ไม่ใช่แค่น้ำผักป่าเท่านั้น” ซูเสี่ยวเถียนกล่าวกับคุณย่าซูอย่างจริงจัง
เมื่อได้ยิน ย่าซูรู้สึกเจ็บปวด ถ้าไม่กินซุปผักป่า จะกินอะไร?
แต่เมื่อคิดว่าราชามังกรให้เงินหลานสาวของเธอ บางทีเธออาจจะสามารถดูแลครอบครัวและมีชีวิตที่ดีขึ้นในอนาคตได้
หลังจากจัดการอาหารมื้อนี้เรียบร้อย ซูเสี่ยวเถียนก็กลับไปที่ห้องและรีบอ่านหนังสือต่อทันที
หนังสือเปรียบเหมือนดั่งทองเต็มบ้าน*[2] และไม่อยากเสียเวลาตรงนี้ไป
ในยุคนี้ ยังคงเป็นระบบเศรษฐกิจแบบวางแผน*[3] และซูเสี่ยวเถียน หาเงินด้วยวิธีดี ๆ ไม่ได้ เนื่องจากเธอเกิดใหม่และให้ระบบนี้แก่เธอ เธอต้องรีบใช้
ในบ่ายวันหนึ่ง ซูเสี่ยวเถียนอ่านหนังสือจบอีกสองเล่ม เนื่องจากเธอตั้งใจมากจึงได้เงินห้าถึงหกเหมาเป็นรางวัล
ซูเซียวเถียนมีความสุขมากจนแทบโบยบิน เธอมีรายได้หนึ่งหยวนหกเหมาต่อวัน หากเธอพูดไป คนอื่นจะตะลึงจนต้องอ้าปากค้างแน่ ๆ
อย่างไรก็ตาม ซูเสี่ยวเถียนไม่ได้วางแผนที่จะให้เงินแก่คุณย่าซูในทันที การให้เงินคุณย่าซูวันละหลายครั้งเกินไปจะทำให้เกิดความสงสัย
ดังนั้นจึงเก็บมันเอาไว้ก่อยแล้วค่อยให้เธอทีหลัง
เวลานี้คุณย่าซูกำลังอาหารอยู่ในห้องครัว เนื่องจากตอนเที่ยงซูเสี่ยวเถียนพูดว่าเธออยากกินอาหารเหมือนกับทุกคน คุณย่าซูคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตักแป้งสาลีหนึ่งช้อนออกมาผสมกับแป้งข้าวโพดและทำเป็นแป้งทอด
ตอนทอดแป้งทอดต้องทาน้ำมันลงบนแป้งทั้งสองด้าน
เมื่อแป้งสาลีและแป้งข้าวโพดถูกตระตุ้นด้วยน้ำมัน ทำให้กลิ่นของมันหอมกรุ่น
แต่เธอก็ยังรู้สึกว่าอาหารประเภทนี้ไม่มีคุณค่าทางโภชนาการเพียงพอ ดังนั้นจึงต้มไข่อีกฟองให้ซูเสี่ยวเถียน
ไม่ใช่ว่าเธอไม่อยากให้ไข่กับหลานคนอื่น ๆ แต่ชุมชนเข้มงวดมาก คนสามคนเลี้ยงไก่ได้แค่หนึ่งตัว ครอบครัวของเขามีสมาชิกจำนวนสิบแปดคนจึงเลี้ยงไก่ได้แค่หกตัว
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ มันไม่ง่ายเลยที่ประชาชนจะกินได้อย่างพอเพียง นับประสาอะไรกับไก่ที่โดยทั่วไปจะออกไข่ได้วันละสามฟองเท่านั้น
ไม่ต้องพูดถึงหลานสิบคนที่จะได้กินมัน น้ำมัน เกลือ ซอส และน้ำส้มสายชูของครอบครัว ไข่ใบนี้ล้วนแล้วแต่ไม่มีส่วนเกินจริง ๆ
ตอนที่ท้องฟ้ามืดลง คุณย่าซูก็ทอดแป้งทอดได้หนึ่งกะละมัง
เด็ก ๆ ที่ไปเรียนหนังสือต่างกลับมาแล้ว พอดีกับคุณย่าซูที่ถือกะละมังแป้งทอดออกมา
ครั้นเห็นไข่ไก่หนึ่งฟองตรงหน้า ซูเสี่ยวเถี่ยนก็ได้แต่ขมวดคิ้ว
ที่บ้านมีไก่น้อยเกินไป พวกมันกินแต่วัชพืชจึงวางไข่ได้น้อย มิฉะนั้นพวกเขาจะได้กินไข่มากกว่านี้
ถ้าห้องสมุดสามารถจัดหาหนังสือวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับการเลี้ยงไก่ให้อ่านได้ก็คงจะดี น่าเสียดายที่ฉันไม่สามารถพูดได้ว่าอ่านหนังสืออะไรได้บ้าง
ในท้ายที่สุด ซูเสี่ยวเถียนตัดไข่แบ่งออก
ไข่ฟองเล็กนถูกตัดแบ่งออกเป็นสี่ชิ้น นอกจากของซูเสี่ยวเถียนแล้ว เธอก็แบ่งคุณปู่ซู คุณย่าซู และพี่ ๆ อีกเก้าคน คนละชิ้น
คุณปู่ซูและคุณย่าซูมองดูหลานสาวแสนกตัญญูของพวกเขา และอดไม่ได้ที่จะเช็ดน้ำตาอย่างลับ ๆ พวกเขามันผู้ใหญ่ที่ไร้อนาคต ทำให้เด็กเหล่านี้ต้องทุกข์ทรมาน
แม้จะเป็นเพียงไข่ไก่ชิ้นเล็ก ๆ แต่ก็ทำให้หัวใจของผู้คนรู้สึกอบอุ่น
ทั้งครอบครัวทานอาหารเย็นด้วยกัน เหล่าผู้หญิงนั่งเล่นรับลมเย็นอยู่ในลานบ้าน พูดคุย และทำงานปักผ้าไปด้วย
มีผู้คนในครอบครัวมากกว่าสิบคน ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ การทำรองเท้าก็ไม่เกินมือของสตรีสี่คนภายในบ้าน
*[1] พิฆาตสี่เก่า เป็นคำที่ใช้ระหว่างการปฏิวัติวัฒนธรรมโดย Red Guards นำโดยนักศึกษาในสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยอ้างอิงถึงองค์ประกอบก่อนคอมมิวนิสต์ของวัฒนธรรมจีนที่พวกเขาพยายามทำลาย สี่เก่าแก่ ได้แก่ ความคิดเก่า วัฒนธรรมเก่า ขนบธรรมเนียมเก่า และนิสัยเก่า การรณรงค์เพื่อทำลายสี่เก่าเริ่มขึ้นในกรุงปักกิ่งเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 1966 (สิงหาคมแดง ซึ่งเป็นช่วงที่มีการสังหารหมู่ในกรุงปักกิ่ง) ไม่นานหลังจากการปฏิวัติวัฒนธรรมเริ่มขึ้น
*[2] หมายความว่า มีความรู้อันทรงคุณค่ามหาศาลอยู่ในหนังสือ
*[3] ระบบเศรษฐกิจแบบวาง หรือ ระบบเศรษฐกิจแบบบังคับ ลักษณะสำคัญของระบบนี้ คือ ส่วนรวมหรืออีกนัยหนึ่งคือ รัฐเป็นเจ้าของทรัพยากรต่าง ๆ รวมทั้งปัจจัยการผลิตเกือบทุกอย่างแม้กระทั่งแรงงาน การตัดสินใจเกี่ยวกับปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจดำเนินไปตามแผนที่วางไว้
https://www.bloggang.com/m/viewdiary.php?id=taew-miracle&month=03-2011&date=29&group=4&gblog=3:~:text=2.%20%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%A9%E0%B8%90%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%9C%E0%B8%99,%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%B3%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%96%E0%B8%B6%E0%B8%87