สัปดาห์แห่งการสอบผ่านพ้นไปแล้ว ต้องขอบคุณการทำงานของตัวเองทำให้ฉันทำข้อสอบได้อย่างไม่มีปัญหา เซริเองก็สบายหายห่วง เห็นเธอชิลๆ แบบนั้นแต่เธอเรียนเก่งกว่าฉันอีก
โรงเรียนของเราเข้มงวดในเรื่องการเรียนมาก แม้ครั้งนี้จะเป็นการสอบกลางภาค แต่การแข่งขันกันระหว่างนักเรียนกลับดุเดือดไม่น้อย เห็นแบบนี้แล้วก็รู้สึกผิดต่อโรงเรียนที่ตัวเองไม่ได้ตั้งใจแข่งขันกับใครขนาดนั้น
ผลคะแนนสอบทั้งหมดถูกแจกให้กับนักเรียนทุกคนเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา นักเรียนทุกคนจะได้รับใบรายงานคะแนนของตัวเอง นอกจากนี้ 30 คนแรกที่ได้คะแนนสูงสุดของแต่ละชั้นปีจะมีรายชื่ออยู่บนป้ายประกาศให้นักเรียนทุกคนดูได้
การมีชื่อขึ้นป้ายประกาศนี้ไม่ได้มีดีแค่ความภาคภูมิใจเท่านั้น แต่คนที่อยู่ในรายชื่อ 30 คนนี้จะได้รับสิทธิพิเศษบางอย่างจากโรงเรียน อย่างเช่นทุนการศึกษา หรือการละเว้นจากกฎหรือกิจกรรมบางอย่างของโรงเรียน
การมีสิ่งล่อใจแบบนี้อยู่ก็มีส่วนช่วยกระตุ้นให้นักเรียนตั้งใจเรียนมากขึ้น แต่สำหรับนักเรียนบางคนแล้วสิ่งเหล่านี้ไม่ได้มีความหมายอะไรนัก เพราะการจะเบียดตัวเองให้เข้าไปอยู่ในรายชื่อ 30 คนแรกได้นั้นช่างยากเย็นซะจนการเข็นครกขึ้นภูเขาดูจะง่ายกว่า มีเพียงคนกลุ่มน้อยที่สมองไม่ปกติเท่านั้นแหละถึงจะเรียนเก่งจนแทบจะได้คะแนนเต็มทุกวิชาแบบนั้น
แน่นอนว่าฉันเป็นคนกลุ่มใหญ่ที่สมองปกติค่ะ ยอมเข็นครกขึ้นภูเขาดีกว่าไปเบียดแย่งตำแหน่ง 1 ใน 30 คนแรกที่เรียนเก่งที่สุดในชั้นปี
“คุณโอโตเมะ ช่วยตรวจดูความเรียบร้อยของเอกสารประชาสัมพันธ์งานเทศกาลดนตรีฤดูฝนให้ทีค่ะ ถ้าเรียบร้อยแล้วส่งต่อให้คุณทาเคโนะอุจิไปจัดการต่อเลย”
“ได้ค่ะ เอกสารเรียบร้อยแล้ว จะส่งต่อให้ค่ะ”
ฉันรับมอบงานจากประธานนักเรียนคนใหม่ที่ขึ้นมาทำหน้าที่แทนรุ่นพี่คาวากุจิที่หมดวาระไปเมื่อเดือนที่แล้ว
ถือต้นฉบับของเอกสารประชาสัมพันธ์ไปหาคุณทาเคโนะอุจิเพื่อคุยเรื่องจัดพิมพ์เอกสารประชาสัมพันธ์งานเทศกาลดนตรีฤดูฝนสำหรับประชาสัมพันธ์ในโรงเรียนเรา
งานเทศกาลดนตรีฤดูฝนปีนี้จัดขึ้นที่สนามกีฬากลางของเมืองและเป็นครั้งแรกที่จัดงานกลางแจ้งแบบไม่กลัวฟ้ากลัวฝนแบบนี้
ปีก่อนๆ เทศกาลดนตรีฤดูฝนนี้จะจัดขึ้นที่ศูนย์ประชุมหลักของเมืองและรอบๆ ก็จะเป็นงานเทศกาลที่มีการตั้งบูทจำหน่ายสินค้าต่างๆ
การจัดงานแบ่งเป็น 2 วัน วันแรกเป็นการเปิดโอกาสให้นักเรียน นักศึกษาได้มีโอกาสแสดงความสามารถทางดนตรีโดยสามารถยื่นสมัครเข้าร่วมแสดงในงานเทศกาลผ่านทางสถาบันต้นสังกัดของตนเอง แต่ทั้งนี้มีการกำหนดไว้ว่าโรงเรียนมัธยมปลายได้โควต้าการแสดง 2 ชุดต่อโรงเรียน และระดับอุดมศึกษา ได้ไม่เกิน 5 ชุด
ส่วนวันที่ 2 เป็นการแสดงดนตรีจากนักดนตรีอาชีพ มีทั้งนักร้องเดี่ยวและวงดนตรีทั้งที่มีชื่อเสียงโด่งดังและเป็นวงดนตรีน้องใหม่หมุนเวียนสลับกันไป
“ขอโทษนะคุณทาเคโนะอุจิ พอจะมีเวลาไหม? ฉันอยากคุยเรื่องเอกสารประชาสัมพันธ์หน่อยน่ะ”
ฉันทักคุณทาเคโนะอุจิที่กำลังยืนหาอะไรสักอย่างหนึ่งอยู่ เธอหันมาเห็นฉันก่อนจะยิ้มให้และเชิญฉันนั่ง
[‘เป็นคนสวยจริงๆ เลยนะ รอยยิ้มนั่นก็หวานซะ ถ้าฉันเป็นผู้ชายคงจะละลายไปแล้วแน่ๆ’]
ทั้งฉันและคุณทาเคโนะอุจิต่างเป็นคณะทำงานทั้งคู่เนื่องจากเป็นกรรมการสภานักเรียน หน้าที่ของพวกเราคืองานประชาสัมพันธ์และประสานงาน
แม้จะอยู่สภานักเรียนเหมือนกันแถมยังเคยไปติวด้วยกันมาแล้ว แต่ฉันก็ยังไม่สนิทกับคุณทาเคโนะอุจิมากนัก เรียกว่าเป็นเพื่อนร่วมชั้นกันได้ แต่จะเรียกว่าเป็นเพื่อนกันได้หรือเปล่านะ
ฉันคิดเพ้อเจ้อขณะนั่งลงตามคำเชิญ คุณทาเคโนะอุจินั่งลงข้างฉันทำให้ฉันมีโอกาสสังเกตเธอมากขึ้น
ครั้งก่อนตอนที่ไปติวนั่นได้เห็นเธอใกล้ๆ ไปทีนึงแล้ว แต่ครั้งนี้ใกล้กว่าเดิม เธอช่างสวยจริงๆ นัยน์ตาสีดำสนิท ผมปล่อยยาวราวกับน้ำตกสีดำ ผิวขาวแต่ไม่ซีด ดูละเอียดยังกับผิวเด็กๆ ใบหน้าสวยได้รูป ทรวดทรงองค์เอวก็ดูพอดีไม่มากไม่น้อยเกินไป นิสัยเอาการเอางาน ความสามารถด้านอื่นๆ ยังไม่รู้ แต่ด้านการเรียนโดดเด่นมาก การันตีด้วยอันดับหนึ่งบนป้ายรายชื่อผู้มีคะแนนสอบสูงสุด โดยรวมแล้วน่าจะเป็นผู้หญิงในอุดมคติของผู้ชายแทบทุกคน
“หน้าฉันเลอะอะไรหรือปล่าคะ?”
เผลอนั่งมองหน้าคุณทาเคโนะอุจิมากไปหน่อย เธอคงรู้สึกตัวเลยถามฉันแบบนั้น
“อ๊ะ..เปล่าค่ะ กำลังคิดว่าคุณทาเคโนะอุจิมีผิวสวยจัง มีเคล็ดลับอะไรพิเศษหรือเปล่าน่ะ”
คุณทาเคโนะอุจิทำหน้าแปลกใจแล้วหัวเราะออกมา
“ไม่มีไรพิเศษหรอกค่ะ แต่ถ้าคุณโอโตเมะสนใจ ฉันแนะนำครีมบำรุงที่ใช้ประจำให้ได้นะคะ”
เธอยิ้มให้ฉัน คราวนี้รอยยิ้มดูเป็นกันเองมากขึ้น ฉันเองก็ยิ้มให้เธอ
[‘ดูแล้วก็เป็นคนคุยง่ายดีเหมือนกันนะ’]
เราพูดคุยนอกเรื่องกันเล็กน้อย แล้ววกเข้าเรื่องงานตรงหน้า
“นี่เป็นต้นฉบับเอกสารที่จะใช้ประชาสัมพันธ์งานเทศกาลดนตรีฤดูฝนที่จะใช้ครั้งนี้ค่ะ คุณทาเคโนะอุจิลองตรวจดูนะคะ ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดประธานก็ให้ดำเนินการสั่งพิมพ์ได้เลย”
“ทราบแล้วค่ะ เดี๋ยวฉันจะจัดการต่อให้เอง”
เราคุยรายละเอียดของงานกันอีกเล็กน้อย ก่อนแยกกันฉันแลกไลน์กับคุณทาเคโนะอุจิ เธอบอกว่าจะส่งยี่ห้อครีมบำรุงมาให้ฉันหลังจากกลับบ้านแล้ว ใจดีสุดๆ ไปเลย
ฉันกลับไปช่วยงานที่ห้องสภานักเรียนต่อจนกระทั่งประธานไล่ให้กลับบ้าน ทุกคนจึงบอกลาและแยกย้ายกันกลับ
ดูเวลาแล้วยังไม่ถึง 1 ทุ่ม ฉันเดินกลับไปที่ห้องเรียนของตัวเองเพราะลืมของไว้
งานเทศกาลฤดูฝนปีนี้ถือเป็นครั้งแรกของพวกเราในฐานะเด็ก ม.ปลาย หลายๆ คนจึงให้ความสนใจกับมันมาก โดยเฉพาะพวกชมรมดนตรีที่พอรู้ข่าวก็กระตือรือร้นกันมากเป็นพิเศษ
นอกจากพวกชมรมดนตรีแล้ว นักเรียนบางคนที่มีความสามารถหรือมีวงของตนเองก็ให้ความสนใจกับงานเทศกาลนี้เช่นกัน ตอนการประชุมห้องเรียนเมื่อสัปดาห์ก่อน มีการแจ้งเรื่องนี้ในที่ประชุม ตอนนั้นสมาชิกในห้องบางคนยังเสนอให้นิโนะมิยะกับพวกลงชื่อไปแสดงโชว์ นั่นเป็นครั้งแรกที่ฉันรู้ว่าเขามีความสามารถด้านดนตรีด้วย
ตอนที่ถูกเสนอชื่อขึ้นมานิโนะมิยะทำหน้าแปลกๆ แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร คิดดูแล้วในบางแง่มุมเขาก็น่าสงสาร แต่บางแง่มุมเขาก็เป็นที่อิจฉาของผู้ชายคนอื่นๆ
เหตุผลแค่เพราะนิโนะมิยะรูปร่างหน้าตาดีมาก นิสัยก็ดี กีฬาก็เก่งเป็นหนึ่งในตัวเต็งของทีมกรีฑาตั้งแต่เริ่มเข้าชมรม แถมยังเรียนเก่งอีก หนนี้เขาอยู่อันดับสองรองจากคุณทาเคโนะอุจิเท่านั้น แล้วนี่ก็ยังเล่นดนตรีได้อีก
[‘เหตุผลแค่นี้ก็ต้องอิจฉากัน ผู้ชายนี่แปลกจริงๆ’]
ห้องเรียนยังคงเปิดไฟสว่าง ฉันเปิดประตูเข้าไปเห็นเพื่อนๆ บางคนกำลังเตรียมซ้อมการแสดงดนตรีสำหรับคัดเลือกตัวแทนโรงเรียนไปร่วมงานเทศกาลดนตรีฤดูฝน
หนึ่งในนั้นคือนิโนะมิยะ เรียว ผู้ถูกเสนอชื่อเมื่อครั้งก่อน
นอกจากนี้ก็ยังมีนักเรียนคนอื่นที่ฉันไม่รู้จักอยู่อีก 3-4 คน ฉันผงกศีรษะทักทายพวกเขาแล้วเดินเลี่ยงไปที่โต๊ะของตนเอง
“เหนื่อยหน่อยนะ คุณโอโตเมะ”
จู่ๆ นิโนะมิยะก็ทักขึ้น ทำเอามือที่ล้วงเข้าไปหยิบของกระตุกนิดนึง ฉันเก็บสีหน้าอาการสุดกำลังและหันไปทักทายเขาตอบ
“เช่นกันนิโนะมิยะคุง… ฉันกลับก่อนนะ เจอกันพรุ่งนี้”
พูดจบแล้วก็เดินหนีออกมาจากห้อง รู้สึกได้ถึงสายตาที่มองตามหลังมาแต่ไม่กล้าหันไปดู คิดว่าน่าจะมาจากผู้หญิงที่นั่งอยู่ในห้องนั่นแหละ
[‘หวังว่าคงไม่มีข่าวลืออะไรแปลกๆ ออกมาอีกนะ’]
แต่ความหวังของฉันก็พังทลาย…
เช้าวันต่อมาฉันได้รับสายตาไม่เป็นมิตรทันทีที่เดินเข้าโรงเรียน ตอนแรกเข้าใจว่าคิดไปเอง แต่พอเดินเข้าอาคารเรียนก็ชัดเจนแล้วว่ามีสายตามองมาจากหลายๆ ที่
[‘นี่มันเรื่องอะไรกัน’]
ฉันเปลี่ยนรองเท้าที่ตู้ใส่รองเท้าเสร็จก็รีบเดินขึ้นห้องทันที กะว่าถ้าเจอเซริจะได้ถามสักหน่อยว่ารู้เรื่องอะไรหรือเปล่า
เดินมาถึงห้องเรียนก็เห็นประตูเปิดอยู่ เสียงจากในห้องลอยออกมา
“ทำหน้าตาใสซื่อจริงใจ แต่เมื่อคืนก็อ่อยให้นิโนะมิยะคุงไปส่งที่บ้าน แบบนี้ถ้าไม่เรียกว่าร่านจะให้เรียกว่าอะไร”
ฉันชะงักกึกเพราะประโยคที่ได้ยิน สมองประมวลผลว่าคนพูดหมายถึงใคร
“พูดแบบนี้ก็แรงไปนะ เพื่อนฉันไม่เคยไปข้องแวะอะไรกับเธอ จะพูดจะจาอะไรก็ระวังปากบ้าง”
[‘เสียงเซรินิ’]
“เธอเองก็คงไม่ได้ดีกว่ายัยนั่นนักหรอก ข้างนอกสุกใส ข้างในคงกลวงโบ๋หมดแล้ว สัปดาห์ก่อนเห็นว่าควงผู้ชายเข้าคาราโอเกะ 2 ต่อ 2 เข้าไปทำอะไรกันบ้างล่ะ”
เสียงคนหัวเราะดังออกมาจากในห้องหลายเสียง ตามด้วยเสียงเซริ
“อ้ออ… นั่นน่ะหรอ แฟนฉันเองแหละ แต่ถ้าอยากรู้ว่าเข้าไปทำอะไรกันบ้างก็ลองก้มหัวขอร้องฉันดูซิ เผื่อจะใจอ่อนบอกพวกเธอก็ได้นะ”
“ฮึ ทำปากดีไป ยังไงก็แค่ยัยร่านเหมือนกันนั่นแหละ ดีแต่เที่ยวอ่อยผู้ชาย ทั้งเธอทั้งเพื่อนเธอ”
“เอาเถอะ ถ้าเธอมองว่าร่าน แต่ก็ร่านแล้วได้ผู้ชายนะ พวกเธอต่างหากที่ร่านแล้วไม่ได้ผู้ชายแถมยังมาปากร้ายว่าฉันกับเพื่อนถึงห้องเรียนเนี่ย ไม่มียางอายเหลือแล้วหรอ”
เซริสวนกลับคำต่อว่าของอีกฝ่ายด้วยคำพูดที่รุนแรงไม่แพ้กัน ฉันเดาว่าเหตุการณ์คงรุนแรงขึ้นอีกจึงรีบเดินเข้าห้องเพื่อไปสมทบกับเซริ
ฉันมองหาเซริก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นจึงมองคู่กรณีขณะที่เดินไปหยุดอยู่ข้างเซริ
ทั้งห้องเงียบกริบเหมือนไม่มีใครอยู่ ฝ่ายตรงข้ามมีกันสามคน ดูจากเครื่องแบบแล้วเป็นนักเรียนปี 1 เหมือนกัน มาจากห้องไหนกันนะ
ฉันยืนนิ่งเงียบๆ มองสำรวจอีกฝ่าย อีกฝ่ายก็มองสำรวจฉัน พักนึงจึงเอ่ยปาก
“หยุดอ่อยนิโนะมิยะคุงซะ ฉันเตือนเธอดีๆ แล้ว ถ้ายังไม่หยุด ฉันจะทำให้เธออยู่ในโรงเรียนนี้ไม่ได้”
“ทำได้ก็ลองดู”
ฉันตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง นิ่งจนตัวเองยังตกใจ ฝ่ายตรงข้ามเหมือนจะไม่คิดว่าฉันจะตอบแบบนั้น หลังเงียบไปพักนึงจึงชี้นิ้วมาที่ฉันปากพึมพำขมุบขมิบพออ่านริมฝีปากได้ว่า
“ (ปากดีให้ตลอดเถอะมึง เดี๋ยวเจอกูแน่ อีร่านเอ๊ย) ”
จบแล้วก็เดินออกไป
ฉันกับเซริหันมองหน้ากัน เราไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่จับมือกันและกันเท่านั้น
หลังเลิกเรียน ประธานถามฉันเรื่องเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเช้า ฉันหันไปมองเพื่อนร่วมห้องคนนึงที่อยู่ในสภานักเรียนด้วยกันก่อนจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดตั้งแต่พวกนั้นมาหาฉันที่ห้องแต่เจอเซริแทนและมีปากเสียงกัน จนกระทั่งฉันมาถึง
ประธานฟังฉันเล่าเงียบๆ ด้วยสีหน้าครุ่นคิด พอเล่าจบก็บอกให้ฉันระวังตัว
“ช่วงนี้ก็เว้นระยะห่างจากนิโนะมิยะซะหน่อยล่ะ ไม่ได้เป็นอะไรกันคงไม่มีปัญหาใช่ไหม?”
ฉันพยักหน้า ไม่ได้พูดอะไร และเตรียมตัวจะไปทำงานต่อ
“อ่อ คุณโอโตเมะ รุ่นพี่คาวากุจิบอกว่าอยากเจอคุณน่ะ ถ้ายังไงทำงานเสร็จแล้วลองติดต่อไปหารุ่นพี่ดูนะ”
“ค่ะ”
ตอบรับประธานสั้นๆ แล้วก็เริ่มทำงานต่อ แต่กลับไม่มีสมาธิสักเท่าไร
ฝืนทำงานจนเสร็จก็พบว่าเป็นเวลาเกือบ 6 โมงเย็นแล้ว สำหรับโรงเรียนฮิบิยะจะเปิดให้นักเรียนทำกิจกรรมอยู่ที่โรงเรียนได้ถึง 1 ทุ่ม แต่ในช่วงที่มีกิจกรรมพิเศษอย่างเช่นช่วงงานวัฒนธรรมหรืองานกีฬาประเพณีที่ 4 ปีจะเวียนมาจัดที่โรงเรียนครั้งหนึ่งนักเรียนสามารถทำเรื่องขออยู่ต่อได้ หรือขอค้างที่โรงเรียนก็ได้หากผู้ปกครองอนุญาต แต่ต้องทำเรื่องผ่านครูที่ปรึกษาเพราะครูที่ปรึกษาจะต้องเป็นคนมาดูแลนักเรียน
เก็บข้าวของเสร็จแล้วก็ลาประธานกับคนอื่นๆ ที่ยังไม่กลับ
ระเบียงทางเดินปราศจากผู้คนให้ความรู้สึกวังเวงเล็กน้อย เสียงร้องเท้ากระทืบพื้นแม้จะเบาแต่พออยู่คนเดียวแบบนี้กลับได้ยินค่อนข้างชัด
ฉันมุ่งหน้าออกจากอาคารในสภาพกึ่งๆ เหม่อลอย สมองยังคงนึกภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเช้าวนไปซ้ำๆ ตัวฉันน่ะไม่ได้กลัวการข่มขู่พวกนั้นหรอก ต่อให้มีการกลั่นแกล้งกันจริงๆก็ใช่ว่าจะหาหลักฐานมาเล่นงานคืนไม่ได้ แต่ถ้าการกลั่นแกล้งมันไม่ใช่แค่ตัวฉันล่ะ ถ้าเซริต้องมาเดือดร้อนไปด้วยจะทำยังไง…