ตอนที่ 19 แม่ใหญ่มอบปิ่น ตอนที่ 20 ผู้มีพระคุณจากไหน

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 19 แม่ใหญ่มอบปิ่น / ตอนที่ 20 ผู้มีพระคุณจากไหน

ตอนที่ 19 แม่ใหญ่มอบปิ่น

สะใภ้หวังยืนอยู่ในเรือนเล็กที่อยู่ห่างไกลของฉินหลิวซี ก่อนจะมองไปรอบๆ

ไม่ใช่เรือนหลังใหญ่โตอะไร และไม่ได้มีต้นไม้ดอกไม้อะไรมากมายด้วย พื้นที่เป็นทรงสี่เหลี่ยม ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือมีภูเขาจำลองเล็กๆ ประดับอยู่มุมหนึ่ง ด้านล่างภูเขาจำลองมีสระน้ำเล็กๆ ในสระน้ำปลูกดอกบัวไว้สองสามต้น บัดนี้ใกล้จะสิ้นเดือนเจ็ดอยู่แล้ว แต่ในสระก็ยังมีดอกบัวดอกหนึ่งบานไหวระริก มีปลาตัวเล็กหน้าตาแปลกๆ สองตัวสีดำตัวหนึ่งและสีขาวตัวหนึ่งว่ายวนอยู่ในนั้นด้วย

ทิวทัศน์เช่นนั้นทำให้สะใภ้หวังเอ้อระเหยอ้อยอิ่ง เมื่อมองไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ก็เห็นว่ามีต้นทับทิมปลูกไว้อยู่ต้นหนึ่ง ดอกทับทิมบนต้นยังคงบานสะพรั่ง สีแดงสดใสให้ความรู้สึกมีชีวิตชีวานัก

ลมพัดโชยมาและหอบเอากลิ่นดอกไม้จากที่ไหนสักแห่งลอยตามลมมาด้วย สะใภ้หวังกำลังจะตามกลิ่นนั้นไป ฉินหลิวซีก็ออกมาต้อนรับนางเสียก่อน

“ท่านแม่มาที่นี่ได้เช่นไรเจ้าคะ” ฉินหลิวซีคารวะสะใภ้หวัง

สะใภ้หวังชะงักฝีเท้าและแย้มยิ้ม “ฟ้ายังไม่ทันมืด ข้าจะมาพูดคุยกับเจ้าสักหน่อย”

ฉินหลิวซีหันข้างหลีกทางให้และเชิญนางเข้าไปในห้อง

สะใภ้หวังเองก็ไม่ได้ปฏิเสธ ยกเท้าก้าวเข้าไปข้างใน พอเข้าไปในห้องแล้วก็มองไปรอบๆ

ในห้องไม่มีเครื่องเรือนหรือการตกแต่งที่หรูหราแต่อย่างใด มีเพียงโต๊ะตัวหนึ่งวางอยู่ข้างหน้าต่าง และมีอุปกรณ์การเขียนและหนังสือที่พับไว้ลวกๆ จำนวนหนึ่ง ข้างโต๊ะมีตั่งตัวหนึ่งและผ้าห่มผืนบางสีน้ำเงินเรียบๆ ผืนหนึ่ง

ตรงกลางห้องมีโต๊ะกลมตัวหนึ่งพร้อมชุดน้ำชา สะใภ้หวังนั่งลง ฉีหวงยกน้ำชาให้

สะใภ้หวังจิบชาพลางหันไปมองฉินหลิว เอ่ย “บ้านหลังนี้ก็ไม่ได้เล็กอะไร ห้องที่ว่างก็มีตั้งมาก เหตุใดหลายปีนี้เจ้าจึงได้เลือกที่จะอยู่ในเรือนที่ห่างไกลเช่นนี้เล่า”

ฉินหลิวซีเอ่ยเรียบๆ “สะดวก สงบเจ้าค่ะ”

สะใภ้หวังสำลักไปทันที ที่นี่จะนับว่าสงบได้อย่างไร ตำแหน่งของเรือนหลังนี้อยู่ใกล้กับถนนด้านหลัง มีประตูด้านข้างเปิดเข้าออกได้ ทั้งยังได้ยินเสียงต่างๆ อยู่บ้าง

ที่นางบอกว่าสะดวกคงไม่ได้หมายถึงเข้าออกสะดวกหรอกกระมัง?

สะใภ้หวังระงับความคิดนั้นทันที มองใบหน้าที่จืดชืดนั้นและเอ่ยไม่ออกไปชั่วขณะ

มารดาผู้ให้กำเนิดของฉินหลิวซีหน้าตางดงาม ยิ่งไม่ต้องพูดถึงรูปร่างของนางเลย แต่ฉินหลิวซีกลับดูไม่เหมือนมารดาของเลย

ใบหน้าของฉินหลิวซีไม่ได้นุ่มนวลและมีเสน่ห์ แก้มตอบเล็กน้อย ริมฝีปากบางเป็นสีแดง แต่แววตากลับฉลาดเฉลียว เมื่อใดที่เชิดหางตาขึ้น นางยิ่งดูเย่อหยิ่งดูแคลนใครต่อใครไปหมดทุกคน

แต่ผิวพรรณของนางยังพอดูได้

สะใภ้หวังเอ่ย “หลายปีมานี้เจ้าอยู่ที่บ้านเก่านี่คนเดียวลำบากแล้ว”

ฉินหลิวซีเลิกคิ้วขึ้นก่อนจะเอ่ย “ก็ไม่นับว่าลำบากอะไร แบบนี้ก็ดี ข้าชินแล้วเจ้าค่ะ”

สะใภ้หวังได้ยินเช่นนั้นก็ชะงักค้างไปทันที ไม่เอ่ยอะไรมาก เพียงหยิบปิ่นออกมาจากแขนเสื้อและส่งให้ “ที่จริงเราก็ควรจะจัดงานพิธีปักปิ่นให้เจ้า แต่ที่บ้านเกิดเรื่องกะทันหัน ข้าเองก็ไม่สามารถหยิบจับอะไรมาได้ ปิ่นเงินอันนี้ข้าเพิ่งจะซื้อมาเมื่อวาน เป็นของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ให้เจ้า”

ฉินหลิวซีมองดูปิ่นเงินลวดลายดอกไห่ถังนั้นแล้วก็อึ้งงันไปครู่หนึ่ง สักพักก็รับไปแล้วเอ่ยว่า “ขอบคุณท่านแม่เจ้าค่ะ”

สะใภ้หวังเผยยิ้ม “ขอบคุณอะไรกัน นี่เป็นสิ่งที่ตระกูลฉินควรจะต้องให้เจ้าอยู่แล้ว หากไม่เกิดเรื่องขึ้นเสียก่อน เจ้าก็ควรได้ปิ่นที่ดีกว่านี้ เพราะถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลฉินเรา แม้ว่าจะเป็นเพียงในนาม แต่เจ้าก็ได้ชื่อว่าเป็นบุตรสาวของภรรยาเอก”

ฉินหลิวซีนิ่งเงียบและปักปิ่นเงินบนศีรษะของตน ก่อนจะเอื้อมมือไปแตะข้อมือของนางแล้วจึงเอ่ย “ท่านผ่อนคลายลงหน่อย”

ทันทีที่ฉินหลิวซีจับเจอชีพจรก็นิ่วหน้าเล็กน้อย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองตำแหน่งเรือนบุตรธิดาของสะใภ้หวังซึ่งคล้ำลงเล็กน้อย นางอดเม้มริมฝีปากไม่ได้

“ท่านแม่นอนไม่หลับ ไฟในตับมากเพราะความโศกเศร้า นานเข้าจะทำร้ายร่างกาย ส่งผลต่ออายุขัย ผ่อนคลายจึงจะมีความหวัง”

แววตาของสะใภ้หวังสั่นไหวเล็กน้อย ดวงตาทั้งคู่ประสานสบกัน

ตอนที่ 20 ผู้มีพระคุณจากไหน

ยามที่สะใภ้หวังเดินออกมาจากเรือนของฉินหลิวซี นางก้มหน้าเล็กน้อยมองของที่อยู่มือตนขณะที่ตกอยู่ในภวังค์ความคิดชั่วขณะ

นางเอาปิ่นครบอายุสิบห้าปีมามอบให้ฉินหลิวซี แต่อีกฝ่ายกลับมอบปิ่นหยกคืนมาให้นาง

ปิ่นหยกสีขาวนวลราวกับแสงจันทร์นั้นแกะสลักเป็นลวดลายเงื่อนหรูอี้[1] แม้ว่าคุณภาพจะไม่ดีเท่าหยกชนิดต่างๆ ที่นางเป็นเจ้าของมาก่อน แต่สัมผัสเรียบลื่นในมือย่อมไม่ใช่สิ่งที่ปิ่นเงินเล่มหนึ่งจะเทียบได้อยู่แล้ว

“ปิ่นหรูอี้ ทำใจให้สบาย สมปรารถนาในทุกเรื่อง” ตอนนั้นฉินหลิวซีเอ่ยไว้เช่นนั้น

นัยน์ตาของนางแห้งผากเล็กน้อย “นังหนูนี่…”

นางกดหน้าอกตนเองก่อนจะดึงแถบผ้าที่ใช้รัดผมลงมา แล้วมวยผมด้วยปิ่นหยกก่อนจะเดินจากไปช้าๆ

ภายในห้อง ฉีหวงมองปิ่นเงินในมือของฉินหลิวซีแล้วเอ่ยพึมพำ “คุณหนู ปิ่นหยกอันนั้นเอาไปซื้อปิ่นเงินแบบนี้ได้ตั้งหลายอัน ท่านตัดใจได้ด้วยหรือเจ้าคะ”

อย่าเห็นว่าเป็นเพียงปิ่นหยกคุณภาพต่ำ แต่นั่นเป็นอาวุธวิเศษที่ฉินหลิวซีหล่อเลี้ยงขึ้นมา ปัดเป่าความชั่วร้ายและเรียกโชคลาภได้ ไม่เหมือนปิ่นหยกทั่วๆ ไป

ฉินหลิวซีเล่นปิ่นเงินในมือพลางเอ่ย “เพียงปิ่นหยกอันเดียว ควรค่าให้เจ้าปกป้องด้วยหรือ พวกเจ้าบอกว่าพวกเขาไม่ได้ส่งของขวัญวันปักปิ่นให้ข้าด้วยซ้ำ นี่ไม่ใช่ของขวัญอวยพรจากผู้ใหญ่หรืออย่างไร”

ฉีหวงหยัน “ท่านชอบปิ่นเงินเช่นนี้ด้วยหรือเจ้าคะ”

“บ้านตระกูลฉินถูกยึดทรัพย์ ต้องใช้เงินซื้อความสะดวกในซีเป่ย ทั้งยังต้องกินต้องใช้ในบ้าน เงินทองต้องใช้อย่างรัดกุม คนไม่มีใจไหนเลยจะคิดได้ว่าข้าไม่ได้รับของขวัญวันปักปิ่นด้วยซ้ำ สำหรับคนที่มีใจ ปิ่นเงินอันเดียวก็นับว่าเป็นน้ำใจแล้ว” น้ำเสียงของฉินหลิวซีเรียบเฉย

ฉีหวงเอ่ย “คุณหนูจิตใจดีและใจกว้าง”

ฉินหลิวซียิ้มไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ “นางปักปิ่นอันนั้นแล้วเรามาดูกันว่ามันจะช่วยเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของนางได้หรือไม่ หากสวรรค์ไร้เมตตา บ้านเราคงต้องจัดงานอวมงคล”

ฉีหวงตะตะลึงทันที “คุณหนูหมายถึง?”

ฉินหลิวซีเอ่ยด้วยสีหน้าลึกลับ “พี่น้องของข้าจะได้พบผู้มีพระคุณหรือไม่ ก็ต้องดูโชคชะตาของเขาแล้ว!”

ขณะที่พวกนางกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น ข้างนอกก็มีเสียงลุงหลี่ขอเข้าพบ ฉีหวงท่าทางเหมือนกำลังจะได้ดูเรื่องสนุกขึ้นมาทันที

ฉินหลิวซีรู้สึกชาไปเล็กน้อย

จนแล้วลำบากจริงๆ!

ไกลออกไประหว่างทางไปซีเป่ย ใกล้ถึงเดือนแปดเข้ามาทุกที อุณหภูมิในตอนกลางคืนหนาวเย็นแล้ว คนที่นุ่งห่มเสื้อผ้าน้อยก็ยิ่งหนาวเหน็บเข้าไปถึงกระดูก

“เยี่ยนเอ๋อร์ เยี่ยนเอ๋อร์” เสียงร้องแหลมด้วยความตกใจดังก้องไปทั่วถนนทางการ

เจ้าหน้าที่คุ้มกันสองคนมองหน้ากันแล้วเดินเข้าไป “เกิดอะไรขึ้น”

ชายวัยกลางคนสวมเพียงเสื้อผ้าชั้นในเนื้อตัวมอมแมม ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง ใบหน้าซีดเซียว เขากอดบุตรชายไว้พลางมองหน้าเจ้าหน้าที่คุ้มกัน เอ่ยขอร้องด้วยสีหน้าเจ็บปวด “ใต้เท้า บุตรชายของข้ามีไข้สูงไม่ลดลงเลยจนหมดสติไปแล้ว ขอให้ใต้เท้าพาเขาไปหาหมอด้วยเถิด”

ขณะที่พูดเขาก็คุกเข่าลงและโขกศีรษะคำนับไปหลายครั้ง

“ใต้เท้า” ชายชราผมหงอกตัวสั่นเทามีบุตรชายอีกคนคอยประคองให้คุกเข่าลงเช่นกัน “ใต้เท้ามีเมตตา ตระกูลฉินของข้าจะไม่มีวันลืมเลย”

เจ้าหน้าที่คุ้มกันมองไปยังเด็กชายผอมบางคนนั้นก่อนจะหันไปมองชายชรา และเอ่ยกับเจ้าหน้าที่คุ้มกันอีกคนหนึ่งว่า “โรงพักม้าถัดไปอยู่ไม่ไกลแล้ว ข้าจะรีบพาเขาไปที่นั่นก่อน ดูว่ามีหมอหรือไม่ เขาจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตาแล้ว”

“ขอบคุณใต้เท้า”

เจ้าหน้าที่อุ้มเด็กชายขึ้นบนหลังม้า สะบัดแส้ฟาดแล้วจากไปอย่างรวดเร็ว

ณ โรงพักม้าเวลานี้กำลังมีกองคาราวานใกล้เข้ามา เมื่อพวกเขาเห็นเจ้าหน้าที่ทางการกำลังควบม้ามาอย่างรวดเร็วก็ค่อยๆ ทยอยหลีกทางให้

พ่อบ้านคนหนึ่งออกมาจากโรงพักม้าและเดินเข้าไปที่รถม้าก่อนจะเอ่ย “นายท่าน ลงจากรถม้าได้แล้วขอรับ”

“ข้าได้ยินเสียงดังมาจากข้างในเมื่อครู่นี้ เกิดอะไรขึ้นหรือ” เสียงแหบแห้งเล็กน้อยดังมาจากภายในรถม้า แล้วผ้าม่านก็เปิดขึ้น

“เด็กคนหนึ่งมีไข้สูงขอรับ เจ้าหน้าที่คุ้มกันก็เลยพามาหาหมอ ดูเหมือนว่าจะเป็นนักโทษที่ถูกเนรเทศไปซีเป่ยพร้อมกับบิดา”

ชายวัยกลางคนจมูกงุ้มส่งเสียงรับทราบทีหนึ่งและไม่ได้สนใจ เขาเห็นคนที่ถูกเนรเทศไปซีเป่ยมามากแล้ว

“จริงสิ ข้าได้ยินมาว่าเด็กคนนั้นแซ่ฉิน ดูเหมือนว่าจะถูกเทรเทศมาจากเมืองหลวงนะขอรับ”

ชายผู้นั้นชะงักเท้าทันที แซ่ฉินหรือ?

[1]เงื่อนหรูอี้ สมปรารถนา