ตอนที่ 8 เด็กสาวผู้มีพลังวิเศษ
ตอนแรกชายคนนี้สงบสติอารมณ์ลงมากแล้ว แต่เพราะรอตำรวจที่ไปตามเถ้าแก่แต่รออย่างไรก็ไม่เห็นอีกฝ่ายมาเสียที เขาจึงเริ่มกลับมาร้อนรนอีกครั้ง
“เห็นไหม ฉันบอกแล้วว่าพวกคุณมันไว้ใจไม่ได้! ถ้าไม่มีเงินรักษา ลูกสาวของฉันก็ต้องตาย ถ้าลูกสาวฉันตาย ฉันก็ไม่คิดมีชีวิตอยู่ต่อเหมือนกัน ฉันจะลากพวกมันไปลงนรกด้วยกันให้หมด!” ในขณะที่พูด เขาก็กำลังจะแทงมีดไปที่เอวของพนักงานหญิง
ทันใดนั้นรอบด้านก็เต็มไปด้วยเสียงกรีดร้อง
หลายคนปิดตาไม่กล้ามอง
อย่างไรก็ตามกลับไม่มีเสียงร้องโหยหวนเจ็บปวดเกิดขึ้น นานทีเดียวกว่าที่ทุกคนจะปล่อยมือที่ปิดตาอยู่ออกและพบว่ามีดไม่ได้อยู่ในมือของชายคนนั้นอีกต่อไป แต่ไปอยู่ในมือของเด็กสาวตัวเล็กที่ยืนอยู่ข้างๆ เขา แม้แต่พนักงานหญิงที่ถูกมีดจี้เมื่อสักครู่นี้ก็ยังไปยืนหลบอยู่ข้างหลังเด็กสาว
ชั่วขณะหนึ่ง ฉากนั้นเงียบเสียจนได้ยินเสียงสูดลมหายใจ
“ทำไมฉันถึงขยับไม่ได้” ชายคนนั้นถามด้วยความหวาดกลัว
นัยน์ตาลูกกวางของมู่เถาเยาเป็นประกายระยิบระยับ เธอพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ฉันจี้สกัดจุดชีพจรของคุณเอาไว้”
เหล่าชาวมุงมีปฏิกิริยาตอบสนองทันที
สาวน้อยผิวขาวราวกับเต้าหู้นั่นทำไมถึงไปยืนอยู่ตรงตำแหน่งนั้น นอกจากนี้เธอเพิ่งพูดว่าอะไรนะ จี้สกัด…จุดชีพจรงั้นเหรอ
นี่พวกเขาอยู่ในโลกแฟนตาซีกันอยู่หรือเปล่า
ก่อนที่พวกเขาจะเข้าใจ ตำรวจก็พุ่งไปข้างหน้าและรีบใส่กุญแจมือชายคนนั้นอย่างรวดเร็ว
หลังจากอาวุธสังหารในมือถูกส่งมอบให้ตำรวจ มู่เถาเยาก็คลายจุดชีพจรของชายคนนั้น
ชายคนนั้นไม่ได้ขัดขืน ใบหน้าของเขาหม่นหมอง
ตอนนี้เองที่เฉิงอันนั่ววิ่งเข้ามาพร้อมกับกล่องยาขนาดเล็กของมู่เถาเยาที่สะพายอยู่บนไหล่ เขาถามชายคนนั้นว่า “ลูกสาวของคุณอยู่ที่โรงพยาบาลไหน”
“โรงพยาบาลประชาชนเมืองเย่ว์ตู”
“เข้าไปแล้วก็ตั้งใจเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดี ผมรับรองว่าลูกสาวของคุณจะยังมีชีวิตอยู่และกระโดดโลดเต้นได้อย่างแข็งแรงรอคุณกลับออกมา”
อาจารย์ปู่ของเขานั่นคือตำนานแห่งวงการการแพทย์ และอาจารย์อาเล็กของเขาก็เป็นยิ่งกว่าหมอเทวดาของยุคสมัยนี้ ไม่มีโรคอะไรที่อาจารย์อาเล็กของเขารักษาไม่หาย
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่า เรื่องอย่างการปลูกถ่ายไตไม่จำเป็นต้องถึงมืออาจารย์อาเล็กด้วยซ้ำ เขาเองก็ทำได้
เฉิงอันนั่วมองบิดาของตัวเองเป็นเหมือนไอดอลมาตั้งแต่เขายังเป็นเด็ก เมื่อโตขึ้นก็เปลี่ยนมาเป็นอาจารย์ปู่ จนในปัจจุบันต้นแบบที่เขาเทิดทูนและเคารพนับถืออย่างหมดหัวใจก็คืออาจารย์อาเล็กคนนี้!
ดวงตาของชายคนนั้นเป็นประกายอย่างมีความหวัง เขาถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “ลูกสาวของผม…เธอจะมีชีวิตอยู่ต่อจริงๆ เหรอ”
“การปลูกถ่ายไตไม่ใช่เรื่องยาก สิ่งสำคัญคือแหล่งที่มาของไต ถ้าได้ไตที่เหมาะสมและสามารถเข้ากับร่างกายของลูกสาวคุณได้ดี เธอก็จะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้” แต่จะมีชีวิตอยู่ต่อได้นานแค่ไหนนั้นก็ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของผู้ป่วยแต่ละรายด้วย
“ผมมีแหล่งไตอยู่! ใช่! ใช้ไตของผมก็ได้! ผมตรวจดูแล้ว! หมอ…คุณเป็นหมอหรือเปล่า”
“ผมเป็นนักศึกษาปริญญาเอกอยู่ที่มหาวิทยาลัยแพทย์เย่ว์ตู พ่อของผมเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลผิงคัง คุณสบายใจได้ ลูกสาวของคุณจะหายดีและไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องเงิน”
“ขอบคุณคุณหมอ! ขอบคุณคุณหมอ!” ชายคนนั้นร้องไห้โฮด้วยความดีใจ
ผู้คนที่มุงดูอยู่สามารถสัมผัสได้ถึงความสุขของเขาที่เอ่อล้นมาจากหัวใจ ความเครียดและหดหู่ในใจของพวกเขาจึงผ่อนคลายลงตามไปด้วย
วิธีการทวงถามเงินเดือนของเขานั้นผิดและเขาก็เกือบจะทำร้ายผู้บริสุทธิ์ แต่ไม่มีใครในที่นี้ ไม่รู้สึกประทับใจกับความรักที่เขามีต่อลูกสาว
“สหายตำรวจ ขอร้องล่ะ ได้โปรดให้ผมได้ทำการปลูกถ่ายไตให้ลูกสาวก่อนเข้าคุกเถอะนะ หมอบอกว่าลูกสาวผมจะไม่รอดถ้าไม่ได้รับการปลูกถ่ายไต เธอรอต่อไปอีกไม่ไหวแล้ว นั่นเลยเป็นเหตุผลที่ผมมา ได้โปรดเถอะ ผมขอร้อง!”
หลายคนที่มุงดูเหตุการณ์อยู่บริเวณนั้นก็ช่วยขอร้องด้วย ถึงผู้ชายคนนี้จะทำผิดแต่เด็กน้อยเป็นผู้บริสุทธิ์
ตำรวจพูดขึ้น “กฎหมายก็คือกฎหมาย เราเองก็ทำอะไรไม่ได้ แต่คุณสามารถยื่นคำร้องต่อศาลได้ แต่ก็บอกได้ยากว่าจะได้รับการอนุมัติหรือเปล่า”
เฉิงอันนั่วเป็นแพทย์และมีจิตใจเมตตา ดังนั้นเขาจึงเห็นอกเห็นใจลูกสาวของชายคนนั้นมาก
“ลูกสาวคุณชื่ออะไร ผมยังมีเรื่องอื่นที่ต้องทำ แต่ผมขอให้พ่อผมไปช่วยดูให้ก่อนได้”
“ซูเหยา ลูกสาวของผมเธอชื่อหวังซูเหยา คุณหมอ ได้โปรดช่วยเธอด้วย เมื่อผมออกมา ผมจะยอมเป็นวัวเป็นม้าให้คุณ”
เฉิงอันนั่วปลอบโยนเขา “อย่าเพิ่งตื่นเต้นไป เราสัญญาว่าจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อรักษาซูเหยา”
มู่เถาเยา “ไปกันเถอะ”
“อ้อ คุณตำรวจ งั้นพวกเราขอตัวก่อน” เฉิงอันนั่วเดินตามมู่เถาเยาเหมือนเป็นผู้ติดตามตัวน้อย
ชายผู้ซาบซึ้งใจมองตามแผ่นหลังของพวกเขาจนหายลับไปจากฝูงชน
เมื่อเขาฟื้นคืนสติอีกครั้ง ใบหน้าของเขาก็กลับมาสงบนิ่งและปราศจากความดุร้ายที่เคยมี เขาหันไปโค้งตัวและเอ่ยขอโทษพนักงานหญิง จากนั้นตำรวจก็พาตัวเขาออกไป
ฝูงชนอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่ใช้เวลาไม่นาน บทสนทนาที่เบี่ยงประเด็นไปไกลก็เริ่มต้นขึ้น
“มีใครทันเห็นไหมว่าสาวน้อยคนนั้นไปยืนอยู่ตรงนั้นกับพวกเขาสองคนได้ยังไง”
“ไม่นะ อย่างกับว่าปรากฏตัวขึ้นกะทันหัน”
“นี่ใช่การเทเลพอร์ตหรือเปล่า”
“แต่ฉันว่ามันดูเหมือนวิชาตัวเบามากกว่า”
“พวกคุณดูรายการทีวีมากเกินไปหรือเปล่า ยังเทเลพอร์ตกับวิชาตัวเบาอีก จะเป็นไปได้ยังไง! แต่ว่าการที่เธอสามารถปลดอาวุธจากมือชายคนนั้นได้ในช่วงเวลาวิกฤตแบบนั้นมันก็น่าเหลือเชื่อจริงๆ เธอใช้วิธีไหนกัน นี่มัน…” ไม่เป็นวิทยาศาสตร์เอาเสียเลย
“สาวน้อยคนนั้นดูจากภายนอกน่าจะเพิ่งอายุสิบห้าหรือสิบหกปีเองนะ เธอจะใช่น้องสาวของนักศึกษาปริญญาเอกคนนั้นหรือเปล่า เห็นว่าพ่อของเขาเป็นผู้อำนวยการของโรงพยาบาลผิงคังด้วยใช่ไหม”
“โรงพยาบาลผิงคัง! นั่นมันน่าทึ่งมาก! โรงพยาบาลนั้นมีชื่อเสียงมากกว่าโรงพยาบาลประชาชนเมืองเย่ว์ตูเสียอีก!”
“บุคลากรทางการแพทย์ของโรงพยาบาลผิงคังแต่ละคนล้วนมีทักษะสูงและมีทัศนคติที่ดี และค่าใช้จ่ายของที่นั่นก็สมเหตุสมผลมาก ตราบใดที่ฉันสามารถจองคิวของโรงพยาบาลผิงคังได้ ฉันก็ไม่ชายตาแลโรงพยาบาลประชาชนหรอก”
“ฉันด้วย!”
เด็กหนุ่มคนหนึ่งพูดแทรกขึ้นว่า “ผมไม่สนใจเรื่องโรงพยาบาลหรอกนะ ผมอยากรู้แค่ว่าเด็กสาวตัวเล็กๆ คนนั้นชิงมีดปอกผลไม้มาได้อย่างไร นี่มันน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว มีใครทันได้อัดคลิปวิดีโอไว้บ้าง”
หญิงสาวผมยาวในชุดกระโปรงสีขาวพูดขึ้นว่า “ฉันอัดไว้”
“ขอผมดูหน่อยได้รึเปล่า”
“ได้สิ”
หญิงสาวแตะไปที่หน้าจอโทรศัพท์ หลายคนที่อยู่ข้างๆ รีบปรี่เข้ามามุงดู
หลังจากนั้นสีหน้าของหลายคนก็มีอาการคล้ายท้องผูก
ไม่มีช่วงเวลาสำคัญ!
หญิงสาวหน้าแดงและพูดว่า “บางทีฉันอาจจะเผลอกดปุ่มหยุดบันทึกไปโดยไม่ได้ตั้งใจ…”
“จริงสิ กล้องวงจรปิดไง! โรงแรมมีกล้องวงจรปิดใช่ไหม”
แต่…พวกเขาไม่มีสิทธิ์ขอตรวจสอบดู
“แม่ง! ทุกคนดูที่โทรศัพท์เร็วเข้า มีคนโพสต์คลิปวิดีโอเมื่อกี้นี้”
“อยู่ที่ไหน”
“เฮ้ย! เงาดำสายหนึ่ง! นี่มันหมายความว่าไง”
“นั่นสิ แวบเดียวก็…”
“แรงระเบิดในการออกตัวของคนเราแข็งแกร่งได้มากขนาดนี้เลย? น่าทึ่งมาก!”
“ดูสิเดิมทีเธออยู่ตรงนี้ แต่เพียงพริบตาเดียวเธอก็ไปยืนอยู่ข้างๆ สองคนนั้นแล้ว? ฝ่าคนจำนวนมากที่มุงดูอยู่รอบๆ เข้าไป เธอเข้าไปได้ยังไงอะ บินไปเรอะ”
“ว้าว! สาวน้อยซูเปอร์เกิร์ล!”
เด็กหนุ่มสาวหลายคนมองดูภาพติดตานี้ซ้ำๆ แต่พวกเขาก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้ พวกเขาจึงทำได้เพียงให้เหตุผลว่าเป็นเพราะพลังวิเศษ
“เฮ้ ไม่ถูกต้อง! ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้บอกว่าเธอสกัดจุดชีพจรของชายคนนั้นเขาเลยขยับตัวไม่ได้ไม่ใช่รึไง”
“ใช่แล้ว! ฉันเกือบลืมเรื่องนี้ไปแล้ว! สกัดจุดชีพจร? เหมือนการกดจุดเปล่า ที่แสดงกันในละครทีวีแบบกดปุ๊บก็ขยับตัวไม่ได้อีกอะไรทำนองนี้?”
“วรยุทธ์นั้นมีอยู่จริงในโลกนี้ด้วยเหรอ”
หลายคนวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างออกรสออกชาติ สีหน้าของทุกคนดูตื่นเต้นมาก
“เป็นไปไม่ได้หรอกมั้ง”
“ถ้าอย่างนั้นคุณจะอธิบายเรื่องที่เขาขยับตัวไม่ได้ว่าอย่างไร แล้วก็เรื่องที่ผู้หญิงคนนั้นพูดเองกับปากว่า ‘สกัดจุดชีพจร’!”
“ประเทศเหยียนหวงของเรามีประวัติศาสตร์ยาวนานนับหมื่นปี ไม่แน่นะอาจจะมีศิลปะการต่อสู้ในตำนานแบบนั้นอยู่จริงๆ ก็ได้ เพียงแต่พวกเราเป็นคนธรรมดา เลยไม่มีโอกาสได้สัมผัสกับผู้เชี่ยวชาญด้านนั้น”
“นั่นสิ ต้องมีแน่ๆ”
“อ้าาา! ฉันเองก็อยากเรียนวรยุทธ์จริงๆ เหมือนกันนะ ใช้วิชาตัวเบาโดดฟึบเดียวก็ไต่ขึ้นไปบนดาดฟ้าของตึกได้แล้ว! เจ๋งมาก!”
“…คือว่าฉันเป็นเพียงคนเดียวรึไงที่สังเกตว่าผู้หญิงคนนั้นสวยและน่ารักมาก ผิวของเธอเนียนนุ่มยังกับผิวของเด็กทารกแน่ะ ขาวเหมือนน้ำนมและแป้ง” ดวงตาของหญิงสาวเป็นประกาย
“ฉันเองก็สังเกตเห็นเหมือนกัน! ใบหน้าของเธอดูบอบบางมาก หน้าเธอดูเด็กมากและยังนุ่มนิ่มเหมือนทารก เธอดูเรียบร้อยและน่ารักมาก อ๊าาา ฉันอยากจะฟัดเธอจริงๆ…” ผู้หญิงผมสั้นดูทะมัดทะแมงเข้าสู่โหมดสัญชาตญาณความเป็นแม่
“ยังมีผมยาวสลวยสีดำขลับนั่นอีก ไม่รู้ว่าดูแลมันยังไง น่าอิจฉาจัง!” สาวหัวเถิกอิจฉาจนปวดลำไส้
“สิ่งที่โดดเด่นกว่ารูปลักษณ์ของเธอ คือนิสัยของเธอ … ”
“…”
ยิ่งมีคนพูดมาก พวกเขาก็ยิ่งตื่นเต้นมากขึ้น จนลืมไปแล้วว่าหัวข้อสนทนาเริ่มต้นของพวกเขานั้นคืออะไร
จริงอย่างที่คาดไว้ นี่มันยุคแห่งการมองหน้าชัดๆ!