ตอนที่ 254 – ฉินซือเกอ หรือว่า โส่วจิ้งซือเกอ
โม่เทียนเกอเงียบงันไปพักหนึ่งแล้วจึงสั่นศีรษะ “ข้าไม่ได้ถ่อมตัวจนเกินเหตุ เพียงแต่เป็นข้อเท็จจริงเท่านั้น ก่อเกิดตานขั้นสูงสุดกับสร้างฐานพลังขั้นท้ายห่างกันมากมาย ข้ารู้ว่าถึงข้าจะมีพรสวรรค์เหนือคน ก่อนที่จะก่อเกิดตานหรือว่าจิตวิญญาณใหม่ก็ยังคงจะเป็นเพียงผู้ฝึกตนสร้างฐานพลังคนหนึ่งเท่านั้น”
ประมุขเต๋าจิ้งเหอได้ยินคำพูดนี้กลับถอนหายใจ “เหวยซือไม่รู้จริง ๆ ว่าควรจะพูดว่าเจ้าสติแจ่มใสกรือว่าเรียกร้องต่อตนเองมากจนเกินไป” ไม่ว่าศิษย์คนใดของเขาล้วนไม่เป็นเหมือนอย่างนาง มีสถานะเป็นศิษย์ของผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่อย่างเขาแล้วยังคงเห็นว่าตนเองเป็นผู้ฝึกตนสร้างฐานพลังสามัญ
โม่เทียนเกอเงยหน้าขึ้นยิ้ม “ซือฟุ ข้าเคยดูแคลนตัวเองเสียที่ไหน ที่โรงเรียนเสวียนชิงข้าก็เดินได้ทั่ว เพียงแต่ว่าด้านสถานะข้าสามารถดูแคลนพวกเขาได้ ด้านจิตใจกลับไม่สามารถ”
“…..” ผ่านไปเนิ่นนาน ประมุขเต๋าจิ้งเหอจึงเอ่ยว่า “เจ้าเฉลียวฉลาดจริง ๆ ถึงในศิษย์ของเหวยซือไม่ใช่คนที่สติปัญญาสูงสุด แต่เป็นคนที่เฉลียวฉลาดที่สุด” รู้ว่าตนเองควรจะยืนในจุดไหน ทราบชัดว่าตนเองต้องการทำอะไร นี่ก็เป็นความชาญฉลาดประเภทหนึ่ง
พูดประโยคนี้จบแล้ว ประมุขเต๋าจิ้งเหอก็ถามอีกทันทีว่า “เจ้ารู้สึกว่าเจ้าไม่มีสถานะที่จะให้อภัยหรือไม่ให้อภัย เช่นนั้นสุดท้ายแล้วเจ้ามีทัศนคติเช่นไรต่อเขา”
โม่เทียนเกอเงียบไปอีก เรื่องบางเรื่องแม้แต่ตัวนางเองก็ยังไม่แน่ใจ…..
“ซือฟุ ข้า…… โส่วจิ้งซือเกอกับบิดาข้าเป็นสหายกัน เดิมทีข้าควรจะเห็นเข้าเป็นผู้อาวุโส แต่ว่า…… ตอนที่ข้ารู้จักเขากลับรับรู้เพียงว่าเขาเป็นศิษย์ระดับหลอมรวมพลังวิญญาณทั่วไป……”
ประมุขเต๋าจิ้งเหอฟังออกถึงความลังเลในคำพูดของนาง อดกล่าวไม่ได้ว่า “ตอนที่บิดาเจ้ารู้จักกับซีเอ๋อร์เข้าใกล้สามร้อยปีแล้ว ใช่หรือไม่”
“อืม…..”
“ถ้านับอายุ บิดาเจ้าเทียบกับเขาแล้วแก่กว่าร้อยปีจนเกือบจะสองร้อยปี อีกทั้งพวกเขาก็เพียงแค่ตกอยู่ในความลำบากด้วยกันเท่านั้น พวกเจ้าเอาความต่างของรุ่นมาจากตรงไหน จะว่าไปพวกเราคนที่ฝึกเป็นเซียนไม่มีเหตุผลให้เคร่งธรรมเนียมแบ่งอาวุโสตามอายุ ถึงจะเป็นศิษย์อาจารย์ก็มิใช่ว่าไม่เคยมีมาก่อน”
“…………..” โม่เทียนเกอก้มหน้าไม่เอ่ยคำ นางไม่ได้เคร่งธรรมเนียมแบ่งรุ่นเลย เพียงแต่ต้องการจะหาเหตุผลอย่างหนึ่งให้กับตนเอง
“หลายปีนี้ข้าก็ดูออกว่าถ้าหากในใจเจ้าไม่มีเขา ก็จะไม่ใช่ว่าหลายสิบปีไม่เอ่ยถึงเขาสักครึ่งคำเลย……”
“ซือฟุ!” โม่เทียนเกอรีบร้องขึ้นมา เงยหน้าจ้องประมุขเต๋าจิ้งเหอ ก้มหน้าลงไปอีกครั้ง พูดช้า ๆ ว่า “ท่านอย่าได้กล่าวไร้สาระ ข้า…. ข้าไม่ได้คิดอะไรเลย”
ประมุขเต๋าจิ้งเหอชะงัก เอ่ยอย่างกระวนกระวายอยู่บ้างว่า “เจ้าจะไม่คิดอะไรเลยได้อย่างไร เห็นชัด ๆ ว่าเจ้า…..”
“ซือฟุ!” โม่เทียนเกอขัดคำพูดของเขาอีกครั้ง ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ท่านพูดอะไร”
ฟังออกถึงการกล่าวโทษในคำพูดของนาง ประมุขเต๋าจิ้งเหอคิดแล้วไม่พูดดีกว่า กูเหนียงน้อยค่อนข้างยุ่งยากเสมอ พูดมากจนอับอายจะไม่ดี
“…..ก็ได้” ประมุขเต๋าจิ้งเหอถอย “เรื่องนี้ซือฟุจะไม่พูดแล้ว พวกเจ้าสองคนคนหนึ่งอยากผูกจิตวิญญาณ คนหนึ่งอยากก่อเกิดตาน ก็ไม่ใช่เวลาด้วย จริงสิ ถ้าเจ้าหายดีแล้วยังคงไปช่วยซือเกอของเจ้ารักษาตัว เขาตอนนี้พลังวิญญาณคืนสู่ชีพจรปราณแล้ว อาการบาดเจ็บกลับยังไม่หายดี พลังวิญญาณของเจ้ามีผลดีที่สุดในการรักษาเขา — ไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดปัญหาอีก พลังวิญญาณของเขาสงบแล้ว จะไม่บังคับดูดกลืนพลังวิญญาณของเจ้าอีก”
โม่เทียนเกอคิดอยากจะปฏิเสธ แต่ประมุขเต๋าจิ้งเหอไม่ให้โอกาสนางได้ปฏิเสธเลย พูดจบก็ตั้งท่าฝึกตน หลับตาลงกล่าวว่า “รีบไปเถิด ทำเร็วเสร็จเร็ว”
นางลังเลอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายยังออกมาจากวังซ่างชิงอย่างเชื่อฟัง
หลังจากนางออกไป ประมุขเต๋าจิ้งเหอกลับลืมตาขึ้น พูดกับตัวเองว่า “เรื่องประเภทนี้ยังคงให้พวกเจ้าพูดกันเองเถอะ เด็กนั่นจะฟื้นแล้ว ดูโชคของพวกเจ้าแล้วกัน…..”
โม่เทียนเกอในใจสับสนปั่นป่วน ยืนงงอยู่ตรงปากประตูวังซ่างชิงพักหนึ่งแล้วส่งเครื่องรางสื่อสารออกไป
ผ่านไปไม่นานนัก เยี่ยเจินจีรีบมา เอ่ยว่ายินดีว่า “ท่านป้า ท่านหายดีแล้วหรือ”
“อืม….” โม่เทียนเกอยิ้มอย่างจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว “ซือฟุเจ้าเป็นอย่างไร”
“ซือฟุไม่เป็นไร ก็แค่ยังไม่ฟื้น” เยี่ยเจินจีไม่เข้าใจอยู่บ้าง เรียกเขามาเป็นพิเศษก็เพื่อจะถามเรื่องนี้หรือ ถามมาในเครื่องรางสื่อสารเลยก็ได้นี่!
“…..เจ้าพาข้าไปดู”
“เอ๊ะ?”
โม่เทียนเกอตัดสินใจ เอ่ยว่า “ซือจู่เจ้าสั่งข้าไปรักษาซือฟุเจ้า”
เยี่ยเจินจีตะลึงไป แล้วจู่ ๆ ก็เข้าใจความหมายของประมุขเต๋าจิ้งเหอ เขาคิดจะพูดอะไร แต่ก็รู้สึกว่าเรื่องบางเรื่องตนเองพูดออกมาจากปากไม่ได้ ได้แต่กลืนมันกลับลงไป “ทราบแล้ว ท่านป้า ตามข้ามาเถิด”
ทั้งสองคนบินไปที่ยอดเขาไร้ผู้คนแห่งหนึ่ง เยี่ยเจินจีทิ้งตัวลงมาก่อน
โม่เทียนเกอมองไปรอบด้าน รู้สึกอยู่ตลอดเลยว่าที่แห่งนี้คุ้น ๆ มาก เห็นเยี่ยเจินจีเดินไปข้างหน้ากำแพงหินว่างเปล่าแผ่นหนึ่งออกท่ามือหนึ่งชุด แล้วใช้เครื่องรางหยกหนึ่งชิ้นเปิดกำแพงอาคม จู่ ๆ ในสมองก็ปรากฏแสงสว่างขึ้นวูบหนึ่ง รู้ว่าทำไมถึงคุ้นเคยเช่นนี้
นี่คือตอนปีนั้นที่นางถูกไป๋เยี่ยนเฟยพัวพัน สถานที่ที่ปฏิเสธไป๋เยี่ยนเฟย!
“ท่านป้า?” เยี่ยเจินจีเห็นใบหน้านางขาวแล้วกลับแดง ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
พอได้ยินเสียงของเขา โม่เทียนเกอก็ได้สติกลับมา ปาดเหงื่อบนหน้าผาก ฝืนสงบจิตใจตัวเอง เดินเข้าถ้ำพำนัก ลืมเถอะ ๆ เรื่องเก่าแก่ตั้งนานแล้ว นางจำได้แต่เกรงว่าคนเขาคงจะไม่ได้จดจำ
ถ้ำพำนักนี้หน้าตาไม่ได้แตกต่างจากบ้านหมิงซินดั้งเดิมนัก ไม่มีขื่อคานที่สลักเสลาอย่างวิจิตรบรรจง แล้วก็ไม่มีของตกแต่งที่ยิ่งใหญ่ตระการตา เพียงแค่กว้างขวางยิ่งเท่านั้น สำหรับพลังวิญญาณก็นับว่าเป็นแหล่งวิญญาณบนยอดเขาชิงฉวน เทียบกับวังซ่างชิงแล้วก็ไม่ได้แตกต่างกันสักกี่มากกี่น้อย
ซือฟุชมชอบความหรูหรา แต่ศิษย์ทุกคนที่สอนออกมาล้วนไม่เหมือนกับเขา ไม่ว่าจะเป็นเสวียนอินซือซู ซู่ซินซือเจี่ย ยังมีโส่วจิ้งซือเกอผู้นี้หรือว่าตัวนางเอง ไม่มีสักคนที่ชื่นชอบความฟุ่มเฟือย ปรากฏการณ์นี้ก็น่าสนใจดี….. ขณะที่ความคิดในสมองล่องลอยไปเรื่อย เยี่ยเจินจีก็พานางมาถึงหน้าห้องศิลาที่อยู่ด้านในที่สุด หลังจากท่ามืออย่างหนึ่ง ประตูศิลาก็เปิดออก
ห้องศิลานี้ยังคงเรียบง่ายมาก นางมองรอบเดียวก็เห็นฉินซีที่นอนอยู่บนเตียงหยกเย็น
ชุดของเขาเปลี่ยนไปแล้ว ไม่ได้เอนจอนาถอย่างในวันนั้น สีหน้ากลับยังคงซีดเผือด นอนนิ่งอยู่ตรงนั้นไม่ไหวติง
โม่เทียนเกอเดินเข้าใกล้ช้า ๆ มองดูใบหน้าที่ไม่ได้เห็นมาเนิ่นนานแล้ว
รูปลักษณ์ของเขาที่จริงแล้วหล่อเหลายิ่ง แม้แต่ในโลกบำเพ็ญเซียนที่มีบุรุษรูปงามทุกหนทุกแห่งก็ไม่ด้อยกว่าผู้ใด คิ้วล้ำลึกเช่นลายสลัก คาดว่าถึงอายุจะมากก็จะเป็นแบบประมุขเต๋าจิ้งเหอ ยังคงทำให้คนรู้สึกว่าเข้มแข็งกล้าหาญ
แต่ว่านางกลับคิดถึงฉินซีบนเขาอวิ๋นอู้ที่ถึงแม้จะรูปงามอยู่หลายส่วนแต่สวมใส่เครื่องแบบศิษย์ระดับต่ำและไม่สะดุดเลยผู้นั้น
ถึงแม้ตอนนั้นเขาจะไม่ได้มีความสง่างามอย่างในปัจจุบันนี้สักนิด ถึงแม้ตอนนั้นระดับการฝึกตนของเขาจะต่ำยิ่ง
เวลาผ่านมาถึงวันนี้ นางยอมรับว่าเวลาผ่านมาสี่สิบปีไม่ได้ทำให้ความรักของนางผุกร่อนลงเลย ไม่ได้พบมาสามสิบปี ใบหน้านี้ยังคงสลักอยู่ในส่วนลึกของจิตใจนาง
ความรักคืออะไร นางยังคงฉงนสนเท่ห์ แต่จดจำได้ว่าในม่านพลังหมื่นปรัชญาแห่งธรรมชาติ ในด่านห้านิวรณ์พลิกสัมผัส บุรุษที่นางตกหลุมรักก็มีหน้าตาของเขา
ยอมรับแล้วอย่างไรเล่า สองเดือนนั้นที่อยู่ร่วมกัน นางมีความประทับใจที่ดี หลายปีต่อจากนั้นค่อย ๆ จืดจางลง แต่จู่ ๆ ก็พบการหลอกลวงของเขา ดังนั้นเริ่มตั้งแต่ชั่วขณะนั้น ในใจมักจะนึกถึงแล้วก็กระสับกระส่ายไม่สบายใจ จดจำมาก คิดถึงมาก ไม่สามารถเป็นอย่างเดิมต่อไปเรื่อย ๆ จึงค่อย ๆ ลบเขาออกจากใจ
ความรู้สึกบางอย่าง บอกได้ไม่ชัดเจนว่าเริ่มจากไหน ความรู้สึกบางอย่าง ไม่เข้าใจว่าพัฒนาต่อไปในทิศทางใด
นางพยายามอย่างหนักอยากให้ตัวเองลืมเลือน แต่ไม่สามารถ จึงบอกกับตัวเอง ถ้าหากได้รับก็ควรยินดี ไม่ได้รับก็อย่าได้หมกมุ่น
สามสิบปีแล้ว นางทำได้ แต่ก็ต้องยอมรับว่านางอยากยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลกหล้า กำโลกมนุษย์ไว้ในกำมือ แต่ยังหวังว่ายังมีเขายืนอยู่ข้างกายนาง
เช่นเดียวกับความฝันนั้น
“ท่านป้า?” เสียงของเยี่ยเจินจีทะลุเข้าหู โม่เทียนเกอได้สติกลับมา มองเห็นความประหลาดใจบนใบหน้าของเขา
ใบหน้านางร้อนผ่าวอยู่บ้าง หันหน้าไปไม่มองตาของเยี่ยเจินจี กล่าวว่า “ป้าจะรักษาให้ซือฟุของเจ้า เจ้าไปเถิด”
“…..ขอรับ” เยี่ยเจินลังเลอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายยังออกไปอย่างเชื่อฟัง
โม่เทียนเกอโล่งอก ปลุกสติขึ้นมา ยกตัวฉินซีขึ้น นั่งลงข้างหลังเขา ยกฝ่ามือวางลงบนจุดหลิงไท่บนหลังเขา
พลังวิญญาณค่อย ๆ แทรกเข้าไป ราบรื่นมาก ไม่มีอุปสรรคใด ๆ ตอนที่เข้าไปในชีพจรปราณของเขายังคงรับรู้ถึงพลังดึงดูดอย่างหนึ่งแต่ไม่ได้กล้าแข็งอย่างในวันนั้น นางค่อย ๆ ควบคุมพลังวิญญาณของตนเองช้า ๆ เพิ่มเข้าไปในพลังวิญญาณของเขา หยินหยางสองพลังวิญญาณผสมรวมกันได้อย่างเป็นธรรมชาติมาก ท้ายที่สุดถูกเขาแย่งสิทธิ์ควบคุมไป
ถึงแม้ว่าครั้งนี้ยังคงถูกเขาแย่งพลังวิญญาณไปช้า ๆ แต่กระบวนการช้ามาก พลังก็ไม่กล้าแข็งนัก อีกทั้งในกระบวนการรักษาให้ผู้อื่นเดิมก็ต้องสูญเสียพลังวิญญาณอยู่แล้ว
โม่เทียนเกอกลับไม่ทราบว่าตอนที่ตัวนางเองสิ้นสติ ฉินซีรักษาให้นางไม่เพียงไม่สูญเสียพลังวิญญาณแต่ยังมีการเพิ่มขึ้นอีกด้วย นี่ก็มีสาเหตุมาจากการที่ระดับการฝึกตนของทั้งสองคนแตกต่างกันเกินไป สำหรับฉินซี การรักษาและบำรุงร่างกายให้นางไม่ต้องใช้พลังวิญญาณมากจนเกินไปเลย แถมตัวเขาเองยังได้รับพลังวิญญาณนิดหน่อยมาจากนางด้วย แต่พลังวิญญาณของโม่เทียนเกอเมื่อเทียบกับเขาแล้วมีเพียงเท่านี้ ฉินซีดูดกลืนพลังวิญญาณของนางมากจนเกินไปโดยอัตโนมัติ ดังนั้นนางจึงไม่เพิ่มแต่กลับลด
ผ่านไปพักหนึ่ง พลังวิญญาณทั่วร่างลดลงไปครึ่งหนึ่งแล้ว โม่เทียนเกอตัดสินใจทันที หยุดการถ่ายทอดพลังวิญญาณ
ถ้าหากพลังวิญญาณถูกดูดกลืนมากเกินไป ถึงตอนนั้นจะหยุดก็หยุดไม่อยู่แล้ว
วางฉินซีลงอีกครั้ง คิดอยากจะมองดูใบหน้าของเขา แต่กลับสะดุ้งเฮือก
เห็นฉินซีค่อย ๆ ลืมตา ถึงกับฟื้นขึ้นมาแล้ว!
ถึงจะยอมรับเรื่องนั้นต่อหน้าประมุขเต๋าจิ้งเหอไปแล้ว โม่เทียนเกอกลับยังไม่พร้อมจะเผชิญหน้ากับเขา ตะลึงลานไปพักหนึ่งแล้วหมุนตัวจะจากไป
แต่ว่า ข้อมือตึงขึ้นมา ตลอดทั้งร่างนางขยับไม่ได้แล้ว
“เทียนเกอ” ได้ยินเสียงแหบแห้งของเขา “เจ้า….”
โม่เทียนเกอยืนอยู่ตรงนั้น ขยับก็ไม่ขยับ ไปไม่ได้ แต่ก็ไม่อยากจะหันร่างมา
ใบหน้าของฉินซีปรากฏแววสับสน พบว่าในชีพจรปราณของตนเองมีพลังวิญญาณหยินที่ทั้งคุ้นเคยและแปลกหน้าไหลเวียนอยู่ ผ่านไปเนิ่นนานจึงกล่าวออกมาอย่างทอดถอนใจว่า “เจ้ารู้แล้ว…..”
เพียงประโยคเดียวกลับทำให้คนสัมผัสได้ถึงความเปียกชื้นที่หางตา
ทั้งสองคนเงียบใส่กันและกัน เขาไม่ปล่อย นางก็ไม่ได้หันหน้ามา
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาใช้สถานะฉินโส่วจิ้งเผชิญหน้ากับนาง ไม่ได้ปิดบังระดับการฝึกตน แล้วก็ไม่ได้ปิดบังสถานะ
“ข้าควรจะเรียกท่านว่าอะไร” เขาได้ยินเสียงแผ่วเบาของนาง “ฉินซือเกอ หรือว่าโส่วจิ้งซือเกอ”
“……” เขายังคงเงียบงัน พูดไม่ออกสักครึ่งคำ
นางจึงหมุนตัวกลับมา ใช้สายตาที่ห่างเหินและแปลกหน้าชนิดหนึ่งมองดูเขา “บอกข้ามา ข้าควรจะเรียกท่านว่าอะไร”
“….. ข้าเป็นใคร มันสำคัญหรือ” เขาขยับสายตา เงยหน้าขึ้นจ้องมองนาง “ฉินซีคือข้า ฉินโส่วจิ้งก็คือข้า ไม่ว่าจะเป็นฉินซีหรือฉินโส่วจิ้งล้วนเป็นคนคนเดียวกัน”
“ใช่ ล้วนเป็นคนคนเดียวกัน” โม่เทียนเกอจ้องมองเขา ค่อย ๆ คลี่ยิ้ม แววตากลับเย็นเยียบ “แต่ความหมายไม่เหมือนกันเลย”
เขาดูออกถึงความเย็นชาและห่างเหินในดวงตาของนาง ตัวแข็งทื่อไปบ้าง อดถามไม่ได้ว่า “ทำไมถึงไม่เหมือนกัน”
โม่เทียนเกอยิ้ม รอยยิ้มนั้นกลับไปไม่ถึงดวงตา “โส่วจิ้งซือเกอ คำพูดบางอย่างไม่จำเป็นต้องพูดให้ชัดเจนเกินไป”
“…..” เพียงแค่คำเรียกขานเดียวก็ได้อธิบายท่าทีของนางออกมาแล้ว
ฉินซีไม่ได้พูด
นางจึงสะบัดหลุดจากมือของเขาอย่างอ่อนโยน หมุนตัวจากไป
……………………………
ตอนที่ 255 – ปีที่ผันผ่าน