ตอนที่ 6 ฉันชื่อเนีย อายุสี่ขวบ! งานอ

คุณหนูโลลิคลั่งเนีย・ลิสตัน

06 ฉันชื่อเนีย อายุสี่ขวบ! งานอดิเรกคือการต่อสู้กับความเจ็บป่วย!

” ――คุณหนู วันนี้อากาศดีมากทำไมไม่ลองออกไปข้างนอกหน่อยล่ะคะ?”

ริโนกิสพูดแบบนั้น ตอนที่ฉันกำลังทานอาหารกลางวันอยู่

สามสัปดาห์ตั้งแต่ฉันกลายเป็นเนีย

อาการป่วยก็ฟื้นตัวอย่างราบรื่น ดูเหมือนว่าในไม่ช้าฉันจะสามารถนอนหลับได้อย่างเต็มอิ่มโดยไม่ต้องตื่นจากอาการไอ

ข้างนอกเหรอ

หน้าต่างที่สามารถมองเห็นทัศนียภาพได้เสมอ ตอนนี้ถูกปิดไว้ด้วยผ้าม่านลูกไม้

ถึงอย่างงั้น แสงระยิบระยับก็ส่องผ่านเข้ามา

คงจะเป็นอากาศดีเป็นแน่

……อืม ข้างนอกเหรอ

น่าจะเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศที่ดี แต่ฉันต้องการฝึกซาเซนมากกว่า

ความพยายามในแต่ละวันของฉันได้ผล และตะกอน「คิ」ก็ลดลงเป็นอย่างมาก ฉันสัมผัสได้ถึง「คิ」ที่ใสสะอาดเติมเต็มในทุกส่วนของร่างกาย เป็นท่วงทำนองที่ดีมากเลย

หากมีร่างกายและกล้ามเนื้อที่แข็งแรง คิดว่าน่าจะสามารถขยับร่างกายได้อย่างหนักหน่วงแน่นอน

“ไม่ล่ะ จะพักผ่อนอยู่แบบนี้ต่อ”

ซาเซนนั้นต้องใช้เวลายาวนานตั้งแต่ค่ำจรดเช้า

จากนั้ทานอาหารเช้า ส่งพ่อแม่ และงีบหลับ

หลังทานกลางวันเสร็จ ก็ซาเซ็นอีกครั้ง

ยังไงซะคนที่ป่วยอยู่อย่างฉันก็คงไม่มีอะไรให้ทำ และไม่ควรสามารถทำอะไรได้ด้วย

ฉันคิดว่าจะเป็นการดีกว่าที่จะออกไปข้างนอกหลังจากที่หายดีทุกอย่างแล้ว

เป็นการตั้งเป้าหมายการแสดงความยินดีที่หายป่วยส่วนตัวที่ไม่เลวเลย

“แต่ว่าควรออกไปรับแสงแดดสักครู่ก็ยังดี……ไม่ได้ออกไปข้างนอกมาเกินสามเดือนแล้วด้วยยนะคะ อย่างน้อยไปดูรอบ ๆ สวนกันไหมคะ?”

งั้นเหรอ แสงแดดสินะ

ฉันไม่รู้แน่ชัดว่ามันคืออะไร แต่ฉันรู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งที่ดีต่อร่างกายเมื่อถูกแสงแดด

จะเรียกว่าเหมือนกับได้รับถ่ายทอดพลังของดวงอาทิตย์สู่ร่างกาย หรือถูกแทรกซึมเข้ามาดี แต่บางทีอาจเป็นแค่จินตนาการของฉันก็ได้

แต่ว่า ม๊า ร่างกายของฉันก็ขาวจนริโนกิสเกิดความกังวลขึ้นมาได้แน่นอน

“จ๊า ออกไปข้างนอกกันสักหน่อยก็ได้”

ริโนกิสดีใจราวกับเป็นเรื่องของตัวเอง และเริ่มเตรียมเสื้อผ้าและรองเท้าสำหรับออกไปข้างนอกที่ฉันไม่ได้ใส่มาสักพัก……มายาวนาน

ไม่ ไม่ ฉันนั่งรถเข็นนะ จะเอารองเท้ามาทำไม อย่างน้อยเป็นรองเท้าแตะก็ยังดี

เป็นสวนในบ้านของฉันไม่ไช่เหรอ

เปลี่ยนเสื้อผ้า รองเท้าไม่ดีงั้นเหรอ?

ไม่ต้องการงั้นเหรอ?

……ฉันพยายามจะบอกกับเธอแบบอ้อม ๆ แต่ดูเหมือนว่าการเปลี่ยนเสื้อผ้าจะตกอยู่ภายใต้การตัดสินใจของเธอไปซะแล้ว

ฉันก็ไม่ได้ใส่ใจและไม่มีเหตุผลที่ต้องดื้อดึงปฏิเสธเป็นพิเศษ เพราะยังไงก็มีคนสวมให้ ฉันไม่ต้องพยายามออกแรงเองเลยด้วยซ้ำ

ม๊า แต่ฉันก็อยากเปลี่ยนผ้าได้ด้วยตัวเองเร็ว ๆ อยู่ดี ส่วนตอนนี้ก็ช่วยไม่ได้ล่ะนะ

พูดไปแล้ว ทุกครั้งที่ถูกถามว่า แล้วเสื้อผ้าล่ะ แล้วรองเท้าล่ะ แล้วทรงผมล่ะ แล้วเครื่องประดับล่ะ ฉันรู้สึกเหมือนถูกเร่งว่า”รีบ ๆ ทานอาหารกลางวันให้เสร็จได้แล้ว”

เมื่อเป็นแบบนั้น ฉันก็รีบทานอาหารกลางวันให้เสร็จ และกินยา ก่อนถูกบังคับให้เปลี่ยนเสื้อผ้าทันที

เป็นเดรสสีขาวที่มีลูกไม้และจีบมากมาย เน้นด้วยริบบิ้นสีแดง ดูเหมือนว่ารองเท้าจะมีสีเดียวกับริบบิ้น ――ฉันไม่คิดว่าสีขาวจะดีมากนัก เพราะว่าเลือดที่กระเด็นมาโดนจะโดดเด่นไป

“เป็นยังไงบ้างคะ?” ฉันเห็นตัวเองผ่านกระจกเต็มตัว――ฉันคิดว่าขาวไปหมดเลย

และยังเด็กด้วย

เนีย・ลิสตัน

เด็กหญิงอายุสี่ขวบ

ร่างกายที่ในที่สุดก็ได้รับอาหารเมื่อไม่นานมานี้ยังคงผอมบางอยู่ ผิวที่ไม่ได้โดนแดดมาเนินนาน ขาวซีดเซียว

ดวงตาสีฟ้ากลมโตที่ควรจะดูน่ารักหากมีเนื้อหนังเหมาะสม แต่เพราะร่างกายที่ผอมทำให้ดูใหญ่อย่างประหลาด ราวกับว่าจะทะลักออกมาจากเบ้าตา

สรุปคือ เป็นร่างกายที่เสียสมดุลในด้านต่าง ๆ

ยิ่งไปกว่านั้นที่จะไม่พูดถึงไม่ได้คือ ผมยาวสีเทา

สำหรับพ่อแม่ของฉัน พ่อมีผมสีบลอนด์ซีด และแม่มีผมสีน้ำตาลอ่อน

ทั้งสองมีผมสีซีด แต่ไม่ใช่สีขาว

ผมสีขาวหม่นหมองที่ดูไม่เหมือนของพ่อแม่เลย……บางทีอาจจะเป็นผลลัพธ์ของการใช้พลังชีวิตจนถึงขีดสุดเพื่อยื้อตัวเองจากขอบเหวแห่งความตาย จึงกลายเป็นส่วนที่พลังชีวิตได้หมดสิ้นไปแล้ว

อันที่จริง เนียตัวจริงนั้นถูกผลักออกจากขอบหน้าผาและร่วงหล่น

และยังเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อใช้พลังเวทมนตร์มากเกินไป

แต่การใช้พลังเวทมนตร์มากเกินไปสามารถหายกลับมาเป็นปกติได้ แต่……หลังจากตอนนั้นก็ผ่านมาประมาณสามสัปดาห์แล้วก็ยังไม่มีสัญญาณว่าสีผมจะกลับมา บางทีอาจจะเป็นแบบนี้ไปตลอดชีวิตก็ได้

――มาคิดดูอีกครั้งตอนนี้ ต้องเป็นชีวิตที่ยากลำบากมากสำหรับเด็กอายสี่ขวบ

หากมีเรื่องที่สามารถทำแทนได้ก็อยากที่จะทำแทนให้ แต่ไม่มีทางเป็นจริง

เนียไม่อยู่แล้ว

“ฉันคือ เนีย・ลิสตัน

เด็กหญิงอายุ 4 ขวบที่มีงานอดิเรกคือกินยาและพักผ่อน และกำลังต่อสู้กับโรคร้ายอย่างสุดกำลัง

เครื่องปรุงรสที่ฉันชอบคือเกลือ เป็นเครื่องปรุงที่เติมแล้วช่วยดึงรสชาติของวัตถุดิบที่ฉันชอบออกมา เรื่องของรสชาติไม่ใช่เรื่องตลก

ความฝันของฉันในอนาคตคือการได้กินสเต็กชิ้นใหญ่พอ ๆ กับรองเท้าหนังของผู้ใหญ่ที่ใส่เครื่องปรุงอื่น ๆ ที่ไม่ใช่เกลือ”

อุมุ ฉันพยายามพูดอะไรก็ไม่รู้ แต่ก็สามารถประกาศนามได้อย่างไม่ติดขัด ด้วยเหตุนี้ ถึงจะถูกขอให้แนะนำตัวเองเมื่อไหร่ก็ไม่มีปัญหา

ถึงจะยังไม่สามารถพูดอย่างมีชีวิตชีวา แข็งแรง ฉะฉานได้ แต่มั่นใจว่าสามารถแสดงความเฉลียวฉลาดและบรรยากาศที่ดูเหมือนว่าจะได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างดีอย่างที่ควรจะเป็นออกไปได้

นอกจากผมสีขาวแล้วก็ไม่มีความประทับใจใดให้พูดถึงเป็นพิเศษ ――แต่ตามความรู้สึกของฉันก็คิดว่าเหมาะกับเด็กสาวคนนี้แล้ว

“อะ ฉันควรเติมคำประจบเฉพาะตัวของเด็ก ๆ อย่างโตขึ้นหนูจะเป็นเจ้าสาวของปะป๊าไปด้วยไหม?พวกปะป๊าส่วนหนึ่งเหมือนจะปลื้มใจกับอะไรแบบนี้?”

“…………..”

“คิดว่ายังไง? ควรจะประจบคนรับใช้ด้วยไหม?”

ริโนกิสยิ้มแห้ง ๆ และไม่มีคำตอบอะไรต่อทุกคำถาม จากนั้นก็อุ้มฉันขึ้นพาไปนั่งรถเข็น

ริโนกิสอุ้มฉันลงบันไดที่ห้องโถงทางเข้า และเรียกให้เมดที่ผ่านมาระหว่างทางเป็นคนนำรถเข็นลงไปที่ชั้นหนึ่ง

“โอยะ จะไปเดินเล่นกันรึขอรับ?”

ฉันพบพ่อบ้านเฒ่าเจย์ที่ชั้นหนึ่ง แต่ถึงจะถามมาแบบนั้นก็ตอบไม่ได้อยู่ดี เพราะฉันแค่ถูกอุ้มแค่อย่างเดียว คนที่เดินเล่นจริง ๆ คือริโนกิส

เจย์เป็นผู้เปิดประตูหน้าให้ และริโนกิสพาฉันไปที่สวน

――ฉันหลับตารับแสงแดดที่อาบไปทั่วร่างกาย

แสงแดดและอากาศภายนอกสร้างความระคายเคืองต่อร่างกายที่ไม่ได้ออกนอกบ้านเป็นเวลาหลายเดือน ม๊า ฉันน่าจะทำความคุ้นเคยได้ง่าย ๆ หรือจะพูดว่าคุ้นเคยแล้วดี

แสงแดดอบอุ่นที่ลูบไล้ผิวเย็นลงเล็กน้อยด้วยสายลม

จากที่คุยดูเหมือนตอนนี้จะเป็นฤดูที่ใช้ชีวิตได้สบายที่สุดแล้ว แต่วันนี้ลมออกจะแรงไปสักหน่อยไหม

และที่ปรากฎต่อหน้าคือ สวนสวยที่ดูสดใสได้รับการปรับระดับแผ่ออกไป

……อืม แผ่ออกไปอย่างไม่รู้จบ

“สวน ใหญ่มากเลย”

“นั่นสินะคะ แต่ก็สมกับเป็นคฤหาสน์ของขุนนางระดับขั้นที่สี่แล้วค่ะ”

หืม? ขั้นที่สี่?

“อะไรคือสิ่งที่เรียกว่าขั้นที่สี่?”

“อาร๊า ไม่เคยได้ยินมาก่อนหรือคะ?”

“ก็ช่วยไม่ได้นี่ ฉันอายุแค่สี่ขวบ เรื่องที่รู้มีน้อยมาก หรือบอกว่าไม่รู้อะไรเลยจะดีกว่า มาตำหนิความไม่รู้ของเด็กอายุสี่ขวบแบบนี้ไม่โหดร้ายไปหน่อยเหรอ?”

“ดิฉันไม่คิดว่านั่นจะเป็นคำตอบที่จะออกมาจากเด็กอายุสี่ขวบได้หรอกนะคะ……”

ขณะที่เดินไปรอบ ๆ สวนอย่างช้า ๆ ริโนกิสก็สอนฉันแบบง่าย ๆ

ประการแรก ประเทศนี้เป็นราชาธิปไตย และมีสิบห้าระดับขั้น โดยมีกษัตริย์อยู่ระดับขั้นที่หนึ่ง

ระดับขั้นที่สิบห้าถึงสิบสองเป็นประชาชนทั่วไป ตั้งแต่ระดับขั้นที่สิบเอ็ดขึ้นมาได้รับการปฏิบัติเป็นชนชั้นสูง……ขุนนาง ชนชั้นสูงนั้นเข้าใจได้ตรงกัน แต่เนื่องเป็นระบบชนชั้นจากต่างชาติ ดังนั้นในประเทศนี้เรียกว่าขุนนางเพื่อความแม่นยำ

จากคำอธิบายข้างต้น ตระกูลลิสตันอยู่ในระดับขั้นที่สี่――นั่นหมายความว่าพวกเขาเป็นชนชั้นสูง ขุนนางระดับขั้นที่สี่จากด้านบนสุด

“สมเหตุสมผลล่ะนะ……”

ทั้งสวนที่กว้างไม่มีที่สิ้นสุด ทั้งคฤหาสน์ก็ใหญ่มากเช่นกัน

ลักษณะของพ่อแม่ก็ดีเช่นกัน นอกจากนี้ยังมีคนรับใช้มากมายเช่น ริโนกิส และเจย์ คนสวนก็มี เท่าที่เห็นมีอยู่ประมาณสามคน

สามารถหายามากให้กับลูกที่ป่วยได้อย่างเพียงพอ――และมีทั้งเงินทั้งอำนาจที่ดึงดูดนักเวทย์น่าสงสัยที่เรียกฉันมา

ดังนั้นถ้าตัวตนที่แท้จริงของพวกเขาจะเป็นชนชั้นสูงที่มีเงินมหาศาล ฉันก็ยอมรับได้

“แล้วระดับขั้นที่สี่สูงแค่ไหน? ต้องพูดจาแบบชนชั้นสูงไหม”

“นั่นสินะคะ……ดิฉันมาจากครอบครัวสามัญชนก็เลยไม่ค่อยรู้รายละเอียดโลกของชนชนั้นสูงเท่าไหร่ แต่ระดับขั้นที่สี่เป็นหนึ่งในระดับขั้นที่มีไม่ถึงสิบตระกูลในประเทศนี้ มีจำนวนไม่มากเลยใช่ไหมละคะ?

นอกจากนี้ ตระกูลลิสตันยังได้รับความไว้วางใจให้ดูแลเกาะลอยฟ้าแห่งนี้ และเกาะรอบ ๆ มาหลายชั่วอายุคนแล้วค่ะ ดิฉันได้ยินมาว่ามีจำนวนถึงสิบเจ็ดเกาะ ทั้งขนาดใหญ่และเล็ก”

ฟู๊ว

หนึ่งในตระกูลที่มีไม่ถึงสิบงั้นเหรอ

ถ้าอย่างนั้นก็อาจจะเป็นตระกูลที่มีอำนาจมากก็ได้

และ

“เกาะลอยฟ้าคืออะไร?”

มีคำที่มากมายที่ติดใจ

เอาจริง ๆ นะ ฉันสนใจที่จะคุยมากกว่าเดินเล่นอีก

ริโนกิส・ฟังก์

ถึงจะมีอันธพาลเป็นร้อยก็หยุดคุณหนูไม่ได้หรอก